Skip to main content

มีนา


ถึง พันธกุมภา


จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง


หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)


มีใครบ้างไม่อยากมีความรักที่ยิ่งใหญ่ มีใครบ้างที่ไม่อยากได้ชื่อว่าประสบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ...อาจมีเพียงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น ที่ปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ชื่อเสียงหรือการยกย่องในฐานะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประชาชน ผู้คนให้กับท่านเอง ท่านไม่ได้ขอ ไม่ได้ต้องการ

 


ฉันมอง (และฉันก็เป็นคนหนึ่ง) ที่อยากประสบความสำเร็จและมีความรักจากอีกคนหนึ่ง เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นทั่วๆ ไป ฉันอยากมีบ้าน ฉันอยากมีรถ ฉันอยากมีคนที่รักอยู่เคียงข้าง และมีความสุขตลอดไป...ตราบชั่วนิรันดร์ เช่นเดียวกันนิทาน นิยายรักทั้งหลาย ที่สุดท้ายมักจบด้วยความสุขและความสมหวัง ทั้งเรื่องการงานและความรัก


เพื่อนๆ ที่ฉันรู้จัก รวมทั้งตัวเองต่างตั้งใจที่จะมีวันนั้น แต่ฉันพบว่า เมื่อโตขึ้น การต้องต่อสู้กับการทำงานมันช่างนำความเหนื่อยล้ามาให้ การมีคนรักก็เหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน และไม่ใช่รักทุกครั้งจะสมหวังทุกครั้ง บ้างเรารักเขา เขาไม่รักเรา เขารักเรา เราไม่รักเขา ยิ่งปัจจุบันเงื่อนไขอื่นๆ นอกเหนือจากความรัก หรือในนามของ “ความเหมาะสม” ยิ่งถูกให้ค่าเหนือกว่าความรักเสียอีก


เพื่อนผู้หญิงฉันคนหนึ่งยอมรับกับฉันว่า เขารักผู้ชายอีกคนหนึ่งมากกว่าคนรักปัจจุบัน แต่ผู้ชายที่เขารักมีฐานะไม่ดีเท่าผู้ชายคนนี้ ซึ่งพ่อแม่สนับสนุนให้คบหากันอย่างมาก ฉันเคยถามเพื่อนว่า “แล้วความสุขของเธออยู่ตรงไหน?” เธอตอบฉันว่า ความสุขของฉันอยู่ที่เงิน การมีเงินจับจ่ายใช้สอยสำคัญสำหรับเธอมาก


เท่าที่ฉันเห็นชีวิตรักของคนคู่นี้ก็มีความสุขในทางโลกดี ... ชีวิตทางเพศที่เข้ากันได้ ผู้ชายมีเงินให้ผู้หญิงใช้เสมอ ไม่เคยถามว่าเธอ ช็อปปิ้งมากไปหรือเปล่า อย่างไร แต่เมื่อใดที่เพื่อนคนนี้มีปัญหามักจะมาจากการที่เธอถูกพ่อของผู้ชายพูดว่า หากเพื่อนฉันไม่มีผู้ชายคนนี้ เธอก็คงไม่มีวันนี้...สำหรับฉัน มันคือความจริง


สิ่งที่ฉันเป็นจากเพื่อนคนนี้คือ เธอไม่เคยเคารพตัวเองเลย ... หากเป็นนิยายรักแล้ว ฉันคงจะเขียนให้เพื่อนคนนี้กลับไปคืนดีกับคนที่เธอรัก ยอมลำบากนิดหน่อย...แค่ไม่มีเงินซื้อของมากมายแล้วเอามากองทิ้งไว้...เท่านั้น


แต่นี่...เป็นชีวิตจริง เพื่อนของฉันยังคงดื้อดึงที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ให้ได้ และอยากให้พ่อเขายอมรับในตัวเธอ สำหรับฉัน...ฉันเคยบอกเพื่อนไปว่า เธอยังไม่เคารพตัวเองเลย แล้วเธอจะคาดหวังอะไรกับการให้คนอื่นมาเคารพตัวเธอ... คำพูดนี้ ทำให้ฉันและเพื่อนแทบจะขาดความสัมพันธ์กันไป เพราะเพื่อนฉันต้องการคนยืนเคียงข้าง แม้เขาจะทำสิ่งใดก็ตาม ส่วนฉันอยากให้เพื่อนรักตัวเอง...ก็เท่านั้น


เรื่องราวของคู่รักคู่นี้ ยังไม่จบและยังไม่ดำเนินไปถึงไหน เพราะมันฉายซ้ำไป-ซ้ำมากว่า 5 ปี และยังฉายซ้ำต่อไป ด้วยวัฏจักรเดิมๆ ไม่ต่างจากเมื่อ 4 ปีก่อนที่ฉันเคยพูดคำนี้

พี่เห็นด้วยตาตัวเองว่า สิ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะความอยากมีรักที่สำเร็จและยิ่งใหญ่ เพื่อนคนนี้เสียสละชีวิตด้านการงาน ต้องคอยตามแฟนไปทำงายที่นั่น ที่นี่ โดยที่งานของตัวเองไปไม่ถึงไหน สุดท้ายก็ต้องออกจากงานมาเพื่อช่วยงานเขา กลายเป็นการกลืนกินชีวิตด้านอื่นๆ ของเขาเองไป


จากประสบการณ์กับเพื่อนคนนี้ทำให้พี่ได้เรียนรู้ว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง มันจะไม่ทำลายมิตรภาพระหว่างเรา หากเราเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ สำหรับพี่แล้วพี่ไม่ได้คาดหวังจะให้เพื่อนทำตามในสิ่งที่พี่บอกทุกอย่าง การรักเพื่อนสำหรับพี่ “มิตรภาพ” ระหว่างเราที่เป้นเพื่อนกันมานานมันยังคงอยู่ เมื่อพี่บอกความคิดเห็นของพี่ พี่เรียนรู้ที่จะไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องทำตามเราทุกอย่าง เพื่อนหรือคนรักไม่ใช่ต้นไม้ที่เราปลูก ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเรา ที่เราจะให้เขาทำตามคำสั่งหรือสิ่งที่เราบอกทุกอย่าง พี่เพียงให้ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจให้เขาเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจเป็นของเขาเอง ความรับผิด รับชอบ ต่อการตัดสินใจก็เป็นของเขาเองเช่นเดียวกัน


ในฐานะเพื่อน เราทำได้เพียง...เป็นเพื่อน ฟังความทุกข์ ฟังความสุขกับเพื่อน แต่เราไม่อาจเอาใจไปทุกข์เมื่อเพื่อนอกหัก หรือไม่มีเงินใช้ เราเพียงยืนข้างๆ เท่านั้น


การช่วยเหลือและให้สติกับเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมความรักที่มีต่อตนเองด้วย เช่นเดียวกับแม่ที่รักลูกหรือคนที่ปลูกต้นไม้ ยามลูกทุกข์ ต้นไม้ถูกลมพัดแรงๆ เราคงไม่ไปช่วยพยุงยามต้นไม้มีพายุ แต่ต้นไม้ต้องยืนรับพายุนั้นด้วยตนเอง หากเรามั่นใจแล้วว่ารากฐานของต้นไม้ที่เราปลูกแข็งแรง ลูกที่เราเลี้ยงมีพื้นฐานจิตใจที่มั่นคง เพื่อนของเรามีจิตใจเข้มแข็งพอ เมื่อเขาประสบทุกข์ พบกับปัญหา เขาย่อมก้าวเดินผ่านมันออกมาได้


แล้วถ้าเราไม่มั่นใจ...ว่าเพื่อน ลูก หรือต้นไม้ แข็งแรงพอ เราจะทำอย่างไร...


ลองกลับไปดูข้อ 9 (จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป) ...ทำได้ด้วยการยืนเคียงข้างและให้กำลังใจ อย่าลืมที่จะบอกคนที่คุณรักว่า เปิดใจที่จะเรียนรู้กับความเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ชีวิตที่มีขึ้นมีมีลง ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์คนอื่นๆ ไม่เพียงเรื่องความรักระหว่างคนรักหรือแม่ลูก แต่ยังรวมถึงเรื่องสถานภาพทางสังคม ชีวิตทั่วไปด้านอื่นๆ ที่เราไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตนเองทั้งหมด


ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ถนนหรือย่านที่หรูหราในกรุงเทพมหานคร ความหรูหราสวยงามจะมีอยู่ไม่ได้เลย หากไม่มีคนทำความสะอาด คนกวาดถนน คนคอยอำนวยความสะดวกให้รถผ่านไปได้ คนเก็บขยะที่สกปรกจากมือของคนที่แต่งตัวหรูหราเหล่านั้น ...คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า วันนี้คนเป็นคนที่แต่งตัวหรูหราคนนั้น วันข้างหน้าคุณจะไม่ได้เป็นคนทำความสะอาด


ความตระหนักรู้และความเคารพต่อตนเอง ความเคารพต่อผู้อื่น ในฐานะมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นได้-ลงได้ ไม่ต่างอะไรจากวันนี้คุณให้ความเคารพกับตัวคุณเอง คุณอย่าลืมเคารพคนที่ทำให้ชีวิตของคุณหรูหราอยู่ได้ด้วย


ความสำเร็จในชีวิตจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีคนที่ไม่ประสบกับความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณคิดว่า สิ่งนั้นหรือสิ่งนี้สำหรับคุณแล้วมันคือการประสบความสำเร็จ แม้แต่การปฏิบัติธรรมให้สำเร็จคนก็ยังคาดหวังและเอามันไปพ่วงกับสิ่งที่คุณซื้อได้ เมื่อคุณซื้อบุญคุณอยากรู้ว่าได้อะไร ไม่ต่างกับเมื่อคุณซื้อนมดื่มสักกล่องคุณอ่านข้างกล่องว่าดื่มแล้วได้อะไร และคำนวณว่ายังขาดอะไร

ด้วยความที่คนสมัยใหม่เป็นอย่างนี้ ยิ่งทำให้สถานธรรมหรือวัดบางแห่งตอบสนองคุณว่า เมื่อคุณทำบุญด้วยเงินเท่านี้...คุณจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ ไม่ต่างอะไรกับที่เพื่อนของฉันอีกหลายคนที่มองการดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติสู่ความเป็นอรหันต์เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่ต้องไปให้ถึง...ก็คือความสำเร็จ

...
จะเป็นไรไหม ถ้าชีวิตไม่มีเป้าหมาย...แต่สำเร็จได้


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา อ่านเรื่องความกลัวของมีนาแล้ว ฉันเริ่มมองมาที่ตัวเองแล้วว่า ฉันกลัวอะไร? มาถึงตอนนี้ก็คิดได้ว่าคงไม่มีความกลัวอะไรที่น่ากลัวไปกว่าการที่เรา “ไม่รู้” ว่าตัวเอง “กลัว” อะไร ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น – ใครสักคนเคยบอกเช่นนั้น ฉันมักเลือกสร้างความกลัวเพื่อให้ตัวเองกล้าหาญ และเอาชนะความกลัวให้ได้ เพราะความกลัวคือสิ่งที่ท้าทายจิตใจและมานะในตัวของฉัน แต่ยังไงก็ตามมีน้อยคนนักที่จะสามารถพัฒนาความกลัวที่มีอยู่ในตนให้กลายเป็นความเข้มแข็งในการดำรงชีวิตบางที เราอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนไม่มีใครเป็นเพื่อนคอยแนะนำ ให้คำปรึกษา หรือหารือกันเรื่อง “ด้านใน” ของตนก็เป็นได้…
พันธกุมภา
มีนา
ฉันดีใจ...ที่เธอมีคนดูแลระหว่างการเดินทาง แม้ว่าเราจะเดินทางเพื่อไปปฏิบัติธรรม คนส่วนมากเขาก็มองว่าเราเติบโตมาในสังคมที่เห็นว่าการชวนดื่มเหล้า การกินอาหารร่วมกันเป็นการให้เกียรติกับผู้มาเยือน การที่เธอกล้าปฏิเสธและอธิบายความเป็นตัวเธอ นับว่าเป็นความกล้าที่จะบอกความเป็นตัวตนด้านดีของตัวเองคนจำนวนมากเกรงใจคนอื่นอย่างน่าเป็นห่วง ฉันเอง...บางครั้งยังไม่กล้าที่จะบอกถึงความเป็นตัวตน หรือความคิดจริงๆ ในเรื่องงาน หลายครั้งเป็นข้อจำกัดขององค์กร สถาบัน และเส้นแบ่งหลายๆ อย่างที่ทำให้เรา...ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะบอกว่า เราอยากทำงานเพราะคิดถึงคนที่ลำบาก…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา....เมื่อวางแผนการเดินทางเสร็จสิ้น และพยายามที่จะเคลียร์งานทุกอย่างให้แล้วเสร็จก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่า ฉันเดินทางออกจากบ้านที่เชียงรายในวันที่ 24 ธันวาคม 2550 เพื่อมาจัดการงานต่างๆ เอกสารที่คั่งค้างจากการทำวิจัย ช่วงการเดินทางโดยรถทัวร์จากเชียงรายมายังกรุงเทพฯ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกลัวหลายเรื่อง กลัวรถจะชน กลัวจะมี “มาร” มาขวางไม่ให้ได้ไปปฏิบัติคำว่า “มาร” ในที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่เคยสัมผัสคือ น่าจะมาเป็นลักษณะของอุปสรรค กีดกันไม่ให้เราไปปฏิบัติ อย่างเช่นบางคนพอจะไปปฏิบัติธรรม ก็ป่วยไม่สบาย หรือ ประสบอุบัติเหตุ หรือว่าคนรอบข้างเราเช่น ญาติพี่น้อง ป่วยไม่สบาย…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภา…แม้ว่าฉันจะไม่ได้ไปที่วัดป่าสุคะโตกับเธอ ฉันเห็นบรรยากาศไปพร้อมกับการเล่าสู่กันของเธอ อดไม่ได้ที่จะนึกถึง “ความกลัว” ตั้งแต่เด็ก เรามักถูกขู่ให้กลัวอยู่เสมอ เมื่อพ่อแม่เลี้ยงเรามา รัก ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เด็กเล็กๆ มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นของตัวเอง เขาเพิ่งเกิดใหม่ ยังไม่รู้ว่า ไฟมันร้อน น้ำในบ่อมันลึกหรือตื้นเพียงไหน ปลั๊กไฟห้ามเอานิ้วแหย่เข้าไป อาจจะเดินไปไหนไกลๆ โดยพ่อแม่ไม่เห็นแล้วประสบอันตรายสิ่งที่เด็กไม่ได้ประสบกับตัวเอง เด็กไม่รู้ว่าอันตราย ไฟมันร้อน น้ำมันลึก เป็นอย่างไร พ่อแม่จึงมักดึงเอาสัญชาติญาณด้านลึกคือความกลัวออกมา การขู่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่างที่เธอได้บอกฉันนั่นแลว่า กว่าคนเราจะสามารถเอาใจมาอยู่กับกายได้นั้นต้องใช้เวลาและให้โอกาสตัวเองพอสมควร ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยคิดเลยว่าทำไมต้องเอาใจมาอยู่กับกาย หรือเอากายมาอยู่กับใจ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่าควรทำอย่างไร ควรทำเมื่อไหร่บ่อยครั้งที่ “ความสุข” ทางโลก ที่เข้ามากระทบเราทั้งทาง หู ตา จมูก ลิ้น และกาย รวมถึงใจของเรานั้นทำให้เราคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง แต่หารู้ไม่ว่าการที่รับผัสสะเหล่านั้นมาปรุงแต่งก็กลับทำให้จิตใจของเรามีแต่การสร้างกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หลายคนที่เข้าถึงธรรมปฏิบัติ บางคนพบว่าความสุขทางโลกไม่ใช่ทางออกหรือคำตอบของชีวิต…
พันธกุมภา
มีนา    ถึง พันธกุมภา ฉันต้องขอบคุณ พันธกุมภา ที่เชื้อเชิญ และพยายามดึงฉันออกมาเขียน แม้ว่าจะถูกบอกว่า "น่าจะเป็นนักเขียนได้..." แต่ฉันยังไม่...แม้แต่ลงมือทำ จะเป็นได้อย่างไร หน้านี้...และหน้าที่นี้ ต้องเป็นความต้องการของพันธกุมภา ที่จะดึงฉันออกมาจากะลาเดิมเป็นแน่ สำหรับฉันแล้ว การเดินทางไปวัดป่าสุคะโต เพื่อพบหลวงพ่อเทียนของเธอ แทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไร หากเราไม่ใช่กัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ฉันสนับสนุนให้เดินทางเพื่อไปเรียนรู้ ให้จิตอยู่กับกาย คนสมัยนี้...ฉันเองก็เป็นคนสมัยนี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันของตนเอง ฉันเคยสังเกตตัวเองเมื่อต้องทำงาน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา,ฉันเริ่มเขียน “ธรรมตามใจ” มาได้เพียงไม่นาน ก็พบว่าอันแท้แล้ว ยังมีกัลยาณมิตรทางธรรมอีกหลายคนที่อยู่ในช่วงวัยใกล้ๆ กัน จึงน่าจะชวนกันมาแบ่งปันธรรมปฏิบัติในพื้นที่นี้ร่วมกัน มีนา, เป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่ตอบรับคำเชื้อเชิญจากฉัน – เธอ เป็นผู้หญิงรุ่นพี่ ที่ฉันรู้จักมาค่อนปีทีเดียว ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าเจอกันครั้งแรกที่ไหนอย่างไร เพราะผ่านมาแล้วหลายนาน แต่ก็ไม่เป็นไร คงไม่สำคัญไปกว่าการที่ต่อไปเราทั้งสองจะได้แบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เราต่างปฏิบัติเช่นกันฉันกับเธอ, พันธกุมภากับมีนา, เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา ตัวตนทางโลกของเราอาจมีค่าเฉลี่ยของอายุที่ต่างกันอยู่มาก แต่ในทางธรรมแล้ว…
พันธกุมภา
บุคลิกภายนอกและนิสัยภายในของเขา ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเขาจะมีท่าทีสนใจในธรรมะและปฏิบัติเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ หลายๆ คนที่รู้จักเขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะมีความคิดที่อยากบวชเรื่องของเขาน่าสนใจตรงที่ว่า อยู่ดีๆ เขาก็บอกกับข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันว่าอยากจะบวช เพื่อนคนนี้ของข้าพเจ้า แต่เดิมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมขี้หลีอีกต่างหาก จนวันหนึ่งตัวเองได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา, เวลา 10 วันของการปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป เริ่มไม่เที่ยว เริ่มไม่ดื่มเหล้า แต่ยังคงความขี้หลีสาวๆ และสูบบุหรี่อยู่ทุกๆ คนต่างรับรู้อยู่อย่างห่างๆ ว่าเขาตั้งใจปฏิบัติ…
พันธกุมภา
ดูจิต...ดูจิตคืออะไร? ข้าพเจ้ามักสงสัยตลอดเวลา เมื่อมีผู้ใหญ่ได้บอกสอนเรื่องการ “ดูจิต” บางคนถามว่าวันนี้ดูจิตเป็นยังไงบ้าง ดูจิตไปถึงไหนแล้ว แต่ละคำถามเกิดจากการติดตามผลของการปฏิบัติที่พี่ๆ แต่ละท่านต่างเฝ้าสอบถามด้วยความเป็นห่วงวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้พบกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่ไม่ได้พบเจอกันมาเสียนาน ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องการปฏิบัติของข้าพเจ้าให้ผู้ใหญ่ท่านได้รับฟัง และเราก็ได้คุยถึงครูบาอาจารย์ที่สอนการวิปัสสนากรรมฐานแต่ละหนแห่งผู้ใหญ่ท่านนี้ได้แนะนำ และชวนเชิญให้ข้าพเจ้าได้ลองปฏิบัติตามแนวทางของ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ…
พันธกุมภา
- 1 - ข้าพเจ้าได้อ่าน บทเขียนของ “กลางชล” ในนิตยสาร “ธรรมะใกล้ตัว” ฉบับที่ 29 ประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550 http://www.dungtrin.com/mag  ซึ่งเป็นบทบรรณาธิการของนิตยสารดังกล่าว ที่ได้พาตัวข้าพเจ้าให้นำใจเข้าศึกษาและเรียนรู้ธรรมะจากนิตยสารธรรมเล่มนี้ในบทบรรณาธิการ “กลางชล” เล่าว่า ได้เสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ดังขึ้นจากแผ่นซีดีว่า “การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเองนะ หลวงพ่อจะบอกให้ หลวงพ่อเองตอนอยู่กับโลก ก็ไม่ได้เป็นรองใครหรอก อยู่ในโลกก็มีความสุข แต่แล้วก็พบว่า ความสุขของโลกนี่นะ ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องเลย...”อย่างตอนเด็ก ๆ เราก็คิดว่า ถ้าเราเอนท์ติดคณะนั้นคณะนี้…
พันธกุมภา
ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มเข้าใจว่าชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้มีแต่ “ทุกข์” ทั้งๆ ที่หลายเรื่องราว เราสามารถที่จะพบกับความสุขได้โดยไม่ยาก แต่นั้นอาจไม่ใช่ความสุขที่นำไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริงชีวิตอย่างช่วงวัยของข้าพเจ้านั้น มีหลากหลายเรื่องราวที่เข้ามากระทบ ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายและบางคราก็ไม่สามารถที่จะหาทางออกไปสู่เส้นทางแห่งความสงบสุขได้อย่างแท้จริง ความว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักแล้วว่า ควรจะนำพาชีวิตของตนเองให้พบกับความสุข-สงบ-เบิกบาน อย่างเอาจริงเอาจังเสียแต่โดยพลัน แม้ว่าที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พาตัวเองเข้าไปสู่เส้นทางของความบันเทิงเริงใจ เที่ยวผับ เธค…