Skip to main content
http://parid.prachatai.com/wp-content/viva-la-vida.jpg


ช่วงที่ผ่านมาผมขอลาพักจากการเขียนคอลัมน์ไปชั่วคราว ไม่ได้ลากิจ และยังไม่ได้ลาออกจากการเขียนคอลัมน์แน่นอน เพียงแต่หลบจากความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อไปเติมพลังให้ตัวเองเท่านั้น

ในช่วงที่พักจากการเขียนคอลัมน์ไป ก็คิดว่าจะลองหลบมุมสงบ ๆ อยู่ ปิดหูปิดตาตัวเองจากสิ่งรอบข้างดูสักพัก … แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรู้สึกถึงความย่ำแย่ น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบของประเทศที่ผมอยู่อีกครั้ง

จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง (ซึ่งสื่อบางแห่งดูจะพยายามแปลงให้เขากลายเป็นเพศอื่นอยู่เสมอ…ซึ่งผมว่าเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร) เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวขนาดที่ว่าเห็นแล้วต้องเบือนหน้าหนี เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่บังเอิญมีโอกาสสวมสูทออกทีวีให้พวกท่านได้หาเรื่องด่าอยู่เสมอเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดคือ เขาถูกรังแกด้วยเรื่องที่ฟังดูขำขันเหลือเกินในโลกที่ Freedom of Speech ควรจะเป็นของประชาชนได้แล้ว เป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายที่ไม่ใช่รัฐบาล แต่ไม่เห็นมีใครออกมาวิจารณ์พวกนี้ในพื้นที่สาธารณะบ้าง การวิจารณ์รัฐบาล (ที่แม้จะมาจากการเลือกตั้ง) เป็นเรื่องดี ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าโครงสร้างอำนาจรัฐมันมีมากกว่ารัฐบาล มันยังมีผู้ที่คอยออกมาโจมตี ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายแค้นหรือพวกขุนนางกังฉินทั้งหลาย ซึ่งพวกหลังนี้รอดพ้นการวิพากษ์วิจารณ์ไปได้ทุกครั้ง

เป็นเรื่องธรรมดาในวงการนี้ที่มีแพ้มีชนะ ท่ามกลางผู้คนที่ต้องสูดกลิ่นเน่าเหม็นของมันต่างรู้เรื่องนี้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ถูกรังแกไล่ต้อนจนมุมโดยพวกขุนนางอำนาจนิยมจะแพ้พ่ายเสมอไป เพราะปลาบางตัวมันทำเบ่งใหญ่ได้แต่ในหนองน้ำเล็ก ๆ ที่มันคิดว่านั่นเป็นทั้งโลกของมันแล้ว แต่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อหนองน้ำเล็ก ๆ นั่นกลายเป็นบึงใหญ่ขึ้นมา มันอาจจะต้องเจอปลาอีกกี่ตัวที่ใหญ่กว่ามันโดยไม่ต้องเบ่ง

“You might be a big fish
In a little pond
Doesn’t mean you’ve won
‘Cause along may come
A bigger one”

- Lost!

สิ่งที่พอจะทำให้ผมมีอารมณ์คึกกลับมาเขียนเรื่องเพลงได้อีกครั้งคืออัลบั้มใหม่ของวงบริทป็อบแห่งยุคอย่าง Coldplay หลังจากที่งานของพวกเขาอาจจะดูเนื่อย ๆ ลงไปบ้างในอัลบั้มก่อนหน้านี้ (แต่ยังคงความไพเราะอยู่เช่นเคย) อัลบั้มนี้ดูเหมือนพวกเขาจะกลับมามีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่ากันอีกครั้ง แค่เห็นชื่ออัลบั้มอย่าง “Viva la Vida or Death and all his friends” และปกอัลบั้มที่แปลกตาไปก็พอจะรู้แล้วว่าจะต้องเตรียมตัวพบอะไรใหม่ ๆ จากวงนี้อย่างแน่แท้

คำว่า Viva la Vida (แปลว่า “สดุดีชีวิต” ไม่ก็คำอื่นที่ใกล้เคียงกัน) มาจากชื่อรูปวาดของศิลปินหญิง ฟรีดา คาห์โล (ใครอยากรู้เรื่องราวชีวิตอันฉูดฉาดของเธอคงต้องลองหาภาพยนตร์ที่ชื่อ “ฟรีดา” มาดู) ขณะที่รูปปกเป็นรูปวาดของศิลปินฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า “Liberty Leading the People” เป็นรูปที่เขียนถึงการปฏิวัติต่อต้านพระเจ้าชาร์ลที่สิบ หรือที่เรียกกันว่า “การปฏิวัติเดือนกรกฎา”

หากจะให้อธิบายเกร็ดต่อเล็กน้อย (เท่าที่ข้อมูลและความรู้อย่างงู ๆ ปลา ๆ ของผู้เขียนจะมี) การปฏิวัติในครั้งนี้ส่งผลให้พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปส์ ขึ้นครองราชย์ต่อและทำให้เกิดการแบ่งฝักฝ่ายชัดเจนระหว่างฝ่ายสนับสนุนราชบัลลังค์และฝ่ายสนับสนุนสาธารณรัฐ แต่กระบวนการทางประวัติศาสตร์ก็ค่อย ๆ ขับเคลื่อนมาเรื่อย ๆ จนถึงการปฏิวัติครั้งสำคัญในปี คศ.1848

ก่อนที่คอลัมน์นี้จะกลายเป็นคอลัมน์ประวัติศาสตร์ ผมก็อยากพูดถึงความสงสัยของตัวเองอยู่หน่อยว่า การเปลี่ยนรูปแบบปกอัลบั้มจากเดิมของพวกเขาต้องการจะสื่ออะไรมากกว่าการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีหรือเปล่า เพราะทั้งสามอัลบั้มก่อนหน้านี้ปกจะออกเรียบง่าย นิ่ง แต่แฝงความหมาย ขณะที่ปกอัลบั้มแบบ “การปฏิวัติเดือนกรกฎา” นี้ดูอล่างฉ่างผิดวิสัย Coldplay (ไม่นับว่ามี Reference งานจิตรกรรมถึงสองชิ้น)

แล้วผมก็พบว่ามีเพลงหนึ่งที่พูดถึงการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของฝรั่งเศส คือเพลง Viva la Vida ซึ่งเป็นเรื่องเล่าผ่านมุมมองของราชาผู้เคยมีอำนาจมาก่อน แล้วพบว่าวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบ้านเมืองก็มาถึง เมโลดี้ทั้งจากเครื่องสายและจากเสียงร้องของ Chris Martin สวยได้อารมณ์มาก ทั้งตัวดนตรีและเนื้อเพลงไม่แฝงความโกรธแค้นใด ๆ ไว้เลย ดู ๆ ไปออกจะเป็นมุมมองที่เข้าใจโลกเสียด้วยซ้ำ

“Just a puppet on a lonely string
Oh who would ever want to be king?”

- Viva la Vida

บรรยากาศของการใช้เครื่องสายสร้างอารมณ์โออ่าแต่ก็ยังไม่ลืมความไพเราะดั้งเดิมของ Coldplay เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งเท่านั้น สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งน่าจะมาจากโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้คือ Brian Eno ผู้เคยทำหน้าที่เดียวกันนี้กับวงอย่าง U2 (ไม่รู้ Coldplay ประชดที่ถูกหาว่าเริ่ม U2 เข้าไปทุกวันแล้วหรือเปล่า) Talking Head และเคยมีผลงานแนวอิเล็กโทรนิคของตัวเอง คงต้องบอกว่า Eno มีส่วนสำคัญในการช่วยปั้นซาวน์ของ Coldplay ที่พยายามจะฉีกไปจากสามอัลบั้มก่อนให้เป็นรูปเป็นร่างได้ไม่ “หลุด” จนเกินไป

http://parid.prachatai.com/wp-content/coldplay.jpg

นอกจาก U2 แล้ววงที่มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับพวกเขาคือ Radiohead ซึ่งช่วงต้นของเพลง 42 ลูปของเปียโน เสียงร้องและเนื้อเพลง มันก็ชวนให้นึกถึง Radiohead อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะตัดบทเปลี่ยนจังหวะกระทันหันไปสู่อีกอารมณ์ ซึ่งมุขตัดบทนี้ยังมีในอีกหลาย ๆ แทรก บางแทรกก็ใช้วิธีซ้อนเพลง ทำให้รู้สึกแปลก ๆ ไปบ้าง และบางเพลงก็ชวนให้อึดอัดไปหน่อย

(โดยส่วนตัวผมไม่ชอบเพลง Yes! ที่ คริส มาร์ติน พยายามจะร้องเสียงโทนต่ำ แต่ชอบ Chinese Sleep Chant ที่ซ่อนอยู่หลังเพลงนี้อีกที…ลำบากใจไม่น้อยเวลาจะฟัง)

ก่อนหน้าอัลบั้มนี้จะออกมามีเพลงหนึ่งที่เปิดเป็น Single ให้ดาวน์โหลดฟรีคือเพลง Violet Hill เป็นเพลงที่มีดนตรีหนักแน่น แต่มีจังหวะเน้น ๆ และริฟฟ์กีต้าร์ทรงพลัง พูดถึงสงครามและศาสนาแบบกี๊ก ๆ แต่พอเข้าใจได้

“I don’t want to be a soldier
Who the captain of some sinking ship
Would stow, far below
So if you love me why’d you let me go?”

- Violet Hill

ที่ผ่านมางานของ Coldplay หลายเพลงมักจะแฝงเรื่องหนัก ๆ ไว้ภายใต้ดนตรีที่ฟังดูตรงกันข้ามคือฟังดูเบาสบาย แต่ใน Viva la Vida or Death and All His Friends ดูจะปรับตัวดนตรีให้มีความหนักตามเนื้อหาและบางเพลงก็ออกโทนหม่นหมอง (เว้นเพลง Viva la Vida ที่พูดถึงการเมืองแบบลึกลงไปในมิติความเป็นมนุษย์) ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมเพลงเบา ๆ ที่ชวนให้หลบหนีจากโลกน่าเบื่อนี้ไปชั่วคราว

เพลงที่พูดถึงคือสองเพลงสุดท้าย คือเพลง Strawberry Swing และ Death and All His Friends เพลงแรกมีเสียงกีต้าร์ที่ได้อิทธิพลจากดนตรีพื้นบ้านแอฟริกัน บวกกับซาวน์ไซคีเดลิกหน่อย ๆ จังหวะจะโคนของกลองรวม ๆ ทำให้เพลงนี้ดูสดใสไม่น้อย เนื้อหาเป็นเรื่องหวนหาอดีตอยู่กลาย ๆ

ขณะที่ Death and All His Friends ในโครงสร้างของเพลงที่ค่อย ๆ บิวท์ช้า ๆ จากเปียโนนุ่ม ๆ ไปสู่จังหวะที่เร่งเร้าเรื่อย ๆ จนถึงท่อนร้องประสานเสียง ก็แฝงความหมายอย่างมีมิติไว้ภายใต้เนื้อเพลงเรียบ ๆ

“I don’t want a cycle of recycled revenge
I don’t want to follow death and all of his friends”

- Death and All His Friends

นัยหนึ่งอัลบั้ม “สดุดีชีวิตหรือความตายกับผองเพื่อนของเขา” เหมือนได้เข้าไปสำรวจ เผชิญหน้ากับบางด้านของชีวิต ขณะเดียวกันก็แอบแฝงการพยายามหนีและปฏิเสธอีกด้านอยู่เงียบ ๆ

ในท้ายเพลง Death and All His Friends ก็มีเพลงซ่อนไว้คือ The Escapist ซึ่งบอกว่าในที่สุดแล้ว การหนีมันก็เป็นเพียงความฝัน ทุกคนล้วนติดอยู่ในบ่วงที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เต็มไปด้วยการต่อสู้ไม่รู้จบ และชีวิตนี่เองคือสิ่งที่น่าถนุถนอมรักษา ไม่ให้อำนาจใด ๆ มาฉกชิง

“And in the end
We lie awake
And we dream
We’ll make an escape”

- The Escapist

 

บล็อกของ Music

Music
ภฤศ ปฐมทัศน์ ผมได้ยินข่าวเรื่อง "จังหวะแผ่นดิน World Musiq & World Bar B Q" วันเดียวก่อนวันงานนั่นเอง ได้ยินคุณทอดด์ ทองดี พูดผ่านวิทยุว่าจะมีศิลปินจากหลายประเทศทั่วโลกมาเข้าร่วม และมีการแสดงร่วมกันของเพื่อแสดงให้เห็นว่าดนตรีมันไร้พรมแดน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่พูดอะไรที่เป็นอุดมคติครับ และรู้สึกที่สิ่งที่คุณทอดด์แกพูดแกไม่ได้ตอแหล (แบบพวกอ้างศีลธรรม) ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงและการไหว้วอนขอให้ภาครัฐและกระทรวงวัฒนธรรมหันมาสนใจ ทำให้รู้สึกว่าแกมีความตั้งใจตรงนี้จริง ๆ แต่ว่าอุดมคติที่สวยงามบางทีมันเป็นแค่สิ่งที่ฉาบเคลือบอะไรที่ยังแหว่งโหว่อยู่ภายใน…
Music
    ขึ้นหัวไว้ไม่ได้หมายความว่าตัวผมเองกำลังหลบหน้าหลบตาไปอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด ช่วงที่หายไปเพราะจำต้องไปปฏิบัติภารกิจทั้งส่วนตัวและไม่ส่วนตัว พอได้จังหวะแล้วจึงเข้ามาเขียนงานที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง หลายคนคงนึกได้แล้วว่าหมายถึงผลงานใหม่ของมาโนช พุฒตาล ซึ่งผมได้ซีดีผลงานล่าสุดของเขา ทั้งสองชิ้นมาพร้อมกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้เอง สิ่งที่ผมหวังจากชื่อมาโนช พุฒตาลคือตัวงานดนตรีหลังจากที่เขาห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงไปพักนึง ("ชีวิตที่เจ็บปวดของคนป่วย" เหมือนออกมาให้หวังอะไรบางอย่างเล่น ๆ แล้วก็หายไป)…
Music
ช่วงที่ผ่านมาผมขอลาพักจากการเขียนคอลัมน์ไปชั่วคราว ไม่ได้ลากิจ และยังไม่ได้ลาออกจากการเขียนคอลัมน์แน่นอน เพียงแต่หลบจากความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อไปเติมพลังให้ตัวเองเท่านั้นในช่วงที่พักจากการเขียนคอลัมน์ไป ก็คิดว่าจะลองหลบมุมสงบ ๆ อยู่ ปิดหูปิดตาตัวเองจากสิ่งรอบข้างดูสักพัก … แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรู้สึกถึงความย่ำแย่ น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบของประเทศที่ผมอยู่อีกครั้งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง (ซึ่งสื่อบางแห่งดูจะพยายามแปลงให้เขากลายเป็นเพศอื่นอยู่เสมอ…ซึ่งผมว่าเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร) เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา…
Music
  นิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเล่าอิงจินตนาการพร้อมกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ นักทฤษฎีแบ่งนิยายวิทยาศาสตร์ออกไว้เป็นสามยุคใหญ่ ๆ คือ ‘ยุคคลาสสิก' ที่มักพูดถึงอนาคตภายใต้อวกาศกว้างใหญ่ไพศาล มองอนาคตอย่างก้าวหน้าและอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งความเจ็บปวดหลังยุคอุตสาหกรรมที่ยังมีการกดขี่กันของมนุษย์ทำให้ ‘ยุคที่สอง' ของนิยายวิทยาศาสตร์เริ่มมีท่าทีวิพากษ์สังคมเข้ามาปะปน บางเรื่องก็มีประเด็นทางสังคม อย่างการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ บ้างก็มีจินตนาการของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ มาจนถึง ‘คลื่นลูกที่สาม' ก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดกู่ จินตนาการก้าวหน้า ล้ำสมัย…
Music
 "The disgraced values of the company manAre why you fight and sacrificeDon't bend or break for their one-way rulesOr run from battles you know you'll lose""คุณค่าของคนทำงานที่ถูกลดทอนคือเหตุผลที่คุณเสียสละ ต่อสู้ และวิงวอนคุณไม่อาจฝ่าฝืนกฏเหล็กของพวกเขาได้หรือแม้จะทั่งจะหนีจากการดิ้นรนที่คุณรู้ว่าจะแพ้โดยไม่อาจทำอะไร"- Tomorrow's IndustryDropkick Murphys เป็นวงพังค์ร็อคที่มาจากการรวมตัวของชาวไอริชที่อพยพมาอาศัยในเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐฯ มีผลงานที่พอให้คนต่างแดนได้รู้จักบ้างคือเพลงประกอบภาพยนตร์ The Departed ที่ชื่อ "I'm Shipping Up to Boston"…
Music
การยึดติดในสถาบันหรือรางวัลว่าเป็นตัววัดความเก่งกาจของศิลปินดูเป็นเรื่องหน้าขำอย่างหนึ่งในโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลาย คิด ๆ ดูว่าแนวดนตรีในโลกนี้ถ้านับรวม Sub-Genre ทั้งหลายเข้าไปด้วยแล้วก็มีมากจนนับแทบไม่ไหว แต่รางวัลจากสถาบันทั้งหลายมันแบ่งง่าย ๆ แค่ ป็อบ ร็อค อาร์แอนด์บี ซึ่งไม่อาจตอบรับกับความหลากหลายได้ และพาลจะทำให้เป็นการขีดเส้นขั้น ผูกขาดรูปแบบบางอย่างไว้ก็ได้ว่า "เสียงดี" ต้องเป็นเสียงแบบนี้ การเรียบเรียงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ๆ ฯลฯ ผมถึงคิดว่า เราควรจะไม่ไปยึดติดอะไรมากกับรางวัลที่มาจากการตัดสินของคนไม่กี่คนบนหิ้งเรื่องศิลปะที่มาจากการผูกขาดรสนิยมมันชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันใด…
Music
อะไรๆ ในโลกนี้มันน่าสนใจไปหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้คนหันไปมอง หันไปพูดถึง เก็บมาเล่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ช่วยผลิตซ้ำ และแม้กระทั่งสร้างคู่ตรงข้ามให้กับคนที่ไม่รู้ และ/หรือ ไม่อยากรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก ๆ โคตร ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ในซอกหลืบไม่ค่อยมีคนสนใจ มันดูเหมือนการได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เราอัศจรรย์ใจหรือทำให้ผิดหวังก็ได้ เพียงแต่ในทุกวันนี้ไอ้สิ่งที่อยู่ในซอกหลืบจริงๆ มันหายากขึ้นทุกที ในวงการเพลงอินดี้อะไรทั้งหลายก็มีชื่อวงทั้งต่างประเทศและในประเทศผุดผาดขึ้นมาให้จำกันไม่ทัน และพอลองเจียดเวลา (อันน้อยนิด) จากการทำมาหากินมาลองฟัง…
Music
รูป Ad จาก http://www.electthedead.co.uk/วง System of a Down เป็นวงดนตรีอเมริกันที่สมาชิกทั้ง 4 คนล้วนเป็นชาวอาร์เมเนียน ดนตรีของพวกเขา บางคนก็เรียกว่าเป็นอัลเตอร์เนทีฟ บ้างก็ว่าเป็นนูเมทัล บ้างก็พยายามจำกัดความง่ายๆ ว่าเป็นฮาร์ดร็อค แต่ถ้าให้เรียกแบบกินความหมายครอบคลุมที่สุดล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นวงร็อคที่แพรวพราว สอดผสานดนตรีในพรมแดนอื่นๆ เข้ากับซาวน์พื้นฐานแบบยุค 90's และขณะเดียวกันก็มีพลังขับเคลื่อนแบบพังค์นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะของวงร็อคหลากกลิ่นแล้ว แฟนเพลงหลายคนยังชอบเนื้อหาวิจารณ์สังคมและการเมืองของพวกเขาที่เข้าใจทำให้ถูกจริตคนบางกลุ่มได้ บวกกับดนตรีหนักๆ จากหลายๆ เพลงแล้ว…
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน…
Music
  "ผมคงจัดเป็นพวกปีกซ้ายนั่นแหละ และพอเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผมให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าอิฐบล็อกหรือกำแพงศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในการมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแทนที่คำถามจะเป็น ‘พวกคุณเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า' มันควรจะเป็นว่า ‘พระเจ้าเชื่อในพวกเราหรือเปล่า' ต่างหาก ใครจะรู้ได้"- Aviv Geffen - Memento Mori"Officer, it's better to be a coward that is alivethan to be a dead heroYou fight with tanks and gunsI fight with pen and paperYou call me a draft dodgerMemento Mori..."- Memento Mori (2)จริงๆ แล้ว ไม่เพียง Aviv Geffen เท่านั้นที่เป็นที่รู้จักของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป…
Music
  "1,000 people yellShouting my nameBut I wanna die in this momentI wanna die"- 1,000 People -Aviv Geffen เกิดและเติบโตในช่วงสงครามเลบานอนครั้งแรก ที่กองทัพอิสราเอลคิดจะเข้ายึดครองเลบานอนเพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ความขัดแย้งนี้ดูจะห่างไกลจากตัวเขารวมถึงหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ดำเนินชีวิตคู่ขนานกับความขัดแย้งนี้จนแม้ปัจจุบันก็ยังไม่จบไม่สิ้น ข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจทำให้ความตึงเครียดลดลงได้ ระเบิดนิรนามยังคงถูกยิงมาจากที่ไหนสักแห่งภาพที่ดูขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในตัว Geffen คือ ขณะที่เขาแต่งเพลงและเผยความคิดเห็นในแบบอิสราเอลฝ่ายซ้าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพทางดนตรี…
Music
  "Love films are broadcast lateBut violence is allowed at any hourWhile on a kibbutz a girl was rapedIn the disco they set their spirits free"- Violence -เป็นเรื่องธรรมดาที่น้อยคนในบ้านเราจะรู้จักศิลปินหนุ่มจากอิสราเอลที่ชื่อ Aviv Geffen เพราะผมเองกว่าจะรู้จักเขาก็ต้องโยงอะไรหลายทอดอยู่เหมือนกันมันเริ่มจากการที่ผมชื่นชอบวงโปรเกรสซีฟร็อค ที่ชื่อ Porcupine Tree แล้วนักร้องนำและผู้กุมบังเหียนของวงนี้คือ Steve Wilson ในขณะที่ยังคงอยู่กับวงเดิม ก็ได้ออกไปมีโปรเจกท์ย่อยคือวง Blackfield ด้วย ซึ่งวงโปรเจกท์ของเขานี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นวงป็อบร็อค ที่ทำร่วมกับนักดนตรีรุ่นน้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง…