Skip to main content
"สงสารท่านผู้นำ"

นาน ๆ ฉันถึงจะได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉันจึงหยุดมองเธอคนพูด และเห็นว่าในมือของเธอถือหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ที่หน้าปกมีรูปท่านผู้นำของเธอ

 

"ทำไมถึงสงสาร" ฉันเสี่ยงถาม

"ก็เขาไม่ได้กลับบ้าน"

ฉันพยักหน้ารับคำแบบสงวนท่าที่ ไม่ผลีผลามแสดงความคิดเห็น แต่ก็รู้สึกประทับใจในเหตุผล เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่ไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารทั้งนั้น ฉันเองก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ คนไม่ได้กลับบ้านน่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก

ฉันคิดว่าการสนทนาของเราซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่พบกันในซอกหนังสือภายในห้างสรรพสินค้าใหม่คงจะจบลงเพียงนี้ แต่ไม่จบ เธอพูดต่อว่า

 

"เขาอาจจะได้กลับนะ รัฐบาลใหม่น่าจะให้เขากลับ"

ฉันพยักหน้าพร้อมกับเปิดหนังสือเล่มเดียวกับเธอ

 

วันนี้ฉันไม่ได้รีบเร่งไปไหน ผ่านทางกลับบ้านมีห้างสรรพสินค้าใหม่มาเปิดใกล้ ๆ อำเภอ ใคร ๆ ในหมู่บ้านต่างพากันไปห้างสรรพสินค้า อาทิตย์แรกที่เปิดห้างคนแถวบ้านพูดกันว่าคนเยอะมาก ไปเข้าแถวซื้อน้ำมันพืชลดราคากัน ครอบครัวหนึ่งซื้อได้ไม่เกินสามขวด แต่วันนี้พบว่า ห้างสรรพสินค้าใหม่โล่งโปร่งสบายไม่ค่อยมีคนมาจับจ่าย โดยเฉพาะมุมหนังสือมีแต่ผู้หญิงสองคนเท่านั้น

 

สัปดาห์ก่อนไปนั่งฟังเพื่อนสามคนเถียงกันเรื่องการเมืองสองฟาก แดงกับเหลืองที่ร้านอาหาร ทั้งสามคนเป็นเพื่อนกัน ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาเริ่มกันอย่างไร แต่ประโยคแรกที่เป็นปัญหาคือ

 

เพื่อนผู้ชายคนที่หนึ่งพูดว่า "ผมไม่เอาทั้งเหลืองและแดง ผมเลือกทางเลือกที่สาม"

เพื่อนผู้ชายคนที่สอง บอกว่าเขารับไม่ได้

เพื่อนผู้ชายคนที่หนึ่งว่า พยายามอธิบายว่า ทำไมเขาถึงคิดถึงทางเลือกที่สาม และทางเลือกที่หนึ่งและสองมีข้อดีข้อด้อยอย่างไร แต่เพื่อนคนที่หนึ่งไม่ยอมฟัง และเหมือนยอมรับไม่ได้ว่าทางเลือกของตัวเองมีข้อด้อยอะไร

แล้วเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งก็มาสมทบ เธอก็บอกว่า เธอยอมรับไม่ได้เหมือนกันกับพวกที่ไม่เอาทั้งเหลืองและแดง ไม่เอาอะไรสักอย่าง ไม่ทำอะไรสักอย่าง และรอเสพสุขกับความสำเร็จที่ผู้อื่นทำให้

ในสุดเพื่อนคนที่หนึ่ง ก็พูดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ผมจะออกไป ผมกลับ

ไม่มีใครห้ามเขาว่าอย่ากลับไปเลย เขาจึงก้มหน้าเดินออกไป

เขาบอกฉันภายหลังว่า เขาเดินกลับออกไปอย่างเจ็บปวด แค่จะมีทางเลือกที่สามก็ไม่ยอมฟังเขา เพราะคนเราอยากจะฟังแต่พวกของตัวเอง หรือเรื่องที่ตัวเองอยากฟัง เราต่างเลือกที่จะไม่ฟังกันเลย

 

คิดถึงคำของเพื่อน ฉันจึงคิดจะหยุดฟังเธอในขณะที่เปิดดูหนังสือไปด้วย

แต่เธอเดินห่างออกไปที่มุมหนังสือพิมพ์ ฉันคิดว่า การสนทนาของเราคงจะจบแล้ว แต่เธอก็เดินกลับมา พร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ เธอชี้ให้ดูข่าวกรอบเล็ก ๆ ตรงหน้าหนึ่ง ที่เขียนว่า รัฐบาลฟิตจัดประชานิยมสุดขีดจนตัวเลขแดง

"เอาเงินมาใช้จดหมด" เธอว่า

"เขาก็ช่วยสานต่อเรื่องลดค่าน้ำค่าไฟไง ที่บ้านต้องจ่ายไหม" ฉันถามเธอ

"ไม่ต้องจ่าย แต่ถ้าท่านผู้นำท่านบริหาร เงินไม่หมดนะ เขาบริหารได้ คนอื่นมันบริหารไม่ได้ เห็นไหมไม่เท่าไหร่เงินก็หมด เขาบริหารเงินไม่หมดแล้วยังเหลือจ่ายหนี้เก่าให้ด้วย ช่วงรัฐบาลเก่าทำหนี้ไอเอ็มเอฟไว้ท่านบริหารใช้หนี้คืนได้" เธอว่า ฉันพยักหน้า

 

"คนที่ไม่ชอบเขาเป็นพวกคนใหญ่ ๆ โต ๆ คนรวย ๆ ไม่ใช่คนแบบเรา ๆ หรอก นี่นะเขาหมดเงินแล้ว เขาไม่มีเงินแล้วถูกยึดหมด ไม่มีเงินใช้จ่ายอยู่เมืองนอก เราจะรวมเงินส่งไปให้เขา รวมกันคนละเล็กละน้อยส่งไปให้เขา"

"ถึงงั้นเชียวหรือ" ฉันอดทึ่งเธอไม่ได้

เธอยืนยันว่าจริง แต่เขาไม่เอา เขามีเพื่อนที่โน่น เขาหยิบยืมเอาที่โน่นได้

"จริงเหรอ มีคนจะลงขันส่งไปให้ท่านผู้นำ"

เธอพยักหน้าว่าจริง และเธอก็บอกฉันว่าอะไรบ้างที่ทำให้เธอชอบเขา เช่นว่าเธอได้พักหนี้หกเดือน เธอได้กองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้านของเธอตอนนี้มีเงินเป็นล้าน ได้หมุนเวียนกันยืม เพราะพวกเธอจัดระบบเป็นอย่างดี เธอยืมเงินจากกองทุนหมุนเวียนดีกว่าไปยืมไปกู้คนอื่น และได้ไปโรงพยาบาลสามสิบบาท จนถึงได้ไปฟรีก็เพราะเขาเริ่มต้นไว้

 

ฉันพยักหน้าอือ อือ ฟังเธออย่างสงบ

"ว่าเขาโกงแต่เราก็อยู่ได้ เศรษฐกิจก็ดี ค้าขายก็ดี น้ำมันก็ไม่ขึ้นราคา" เธอว่า

อือ.. ฉันพยักหน้าอีกครั้งก่อนถามเธอว่า ซื้อของได้ครบหรือยัง เธอบอกว่าไม่ได้ซื้ออะไร มาเดินเฉย ๆ เธอทำงานเข้ากะอยู่ที่นี่

 

ฉันขอบคุณเธอที่ได้ฟังเธอคุย และบอกเธอว่าฉันเข้าใจ เข้าใจจริง ๆ และยอมรับได้ที่เธอหรือใครจะรักท่านผู้นำ แต่ในส่วนที่ว่า "เขาโกงแต่เราอยู่ได้ หรือยอมรับว่าเขาโกงแต่ถ้าเราได้ดีด้วยไม่เป็นไร" อันนี้ฉันคิดว่า เราต้องคิดใหม่นะ โดยเฉพาะเราเป็นคนชนบทที่อยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อและดูแลกันไม่ได้เห็นแก่ความสบายส่วนตัว คุณว่าไหม

 

เธอไม่ตอบ ฉันจึงรีบขอตัวไปซื้อขนมปัง

 

ถ้าฉันเจอเพื่อนที่อยากจะเลือกทางเลือกที่สามและคุยกับทั้งสองฝ่ายได้ ฉันจะได้บอกเพื่อนว่า ฉันพยายามทำแล้ว

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
  แล้วฉันก็คิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิน ฉันเดินทางไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ  และบอกเธอว่า ฉันอยากจะไปเยี่ยมนักเขียนผู้ใหญ่รุ่นพี่คนหนึ่ง  เพื่อนบอกว่า ไม่ได้ไปนานแล้ว ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยมีใครไปหาใครกัน  เมื่อถามว่าทำไม
แพร จารุ
ป่าสนวัดจันทร์   หลังจากที่เขียนเรื่องป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นผืนป่าสนแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีชนเผ่าใช้วิถีชีวิตแบบเดิม ๆ
แพร จารุ
เมื่อเขียนเรื่อง “ป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นที่สุด”  ฉันก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนถึงเรื่องอำเภอใหม่ส่งเข้ามา วันนี้จึงนำจดหมายฉบับนี้มาให้อ่านกันค่ะ  เธอเขียนมาว่า ลองเขียนเรื่องอำเภอใหม่มาให้อ่าน
แพร จารุ
ป่าสนผืนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มองขึ้นบนต้นสนเหมือนหนึ่งว่ามีนกเกาะอยู่บนนั้นเต็มไปหมด จนใครบางคนเผลอถามว่า นั่นนกอะไรเกาะอยู่เต็มไปหมด หลายคนหัวเราะ ไม่ใช่นกหรอกมันคือลูกสน ที่นี่มีชื่อว่า ป่าสนวัดจันทร์ เป็นครั้งที่สองที่ฉันเดินทางมาที่นี้ห่างจากครั้งแรกเกือบยี่สิบปี ฉันไม่กล้าเดินทางไปที่นั่นเพราะรู้สึกว่ามันลำบากยากเย็นเหลือเกิน เป็นการเดินทางที่โหด ๆ ในช่วงวัยเยาว์ เพราะต้องนั่งรถไฟชั้นสามมาจากกรุงเทพฯ นานกว่าสิบสองชั่วโมง ก็รู้กันอยู่ว่ารถไฟไทยเสียเวลาเสมอ ๆ ลงจากรถไฟมีนักเขียนจากเมืองเหนือรอรับอยู่
แพร จารุ
มุสโต๊ะ (มุส-สะ-โต๊ะ) อาหารมื้อไหน ๆ ก็ต้องมีมุสโต๊ะ มุสโต๊ะก็คือน้ำพริกนั่นเอง ฉันรู้จักมุสโต๊ะครั้งแรกเมื่อเที่ยวบ้านปกาเกอญอ และนับจากวันนั้นก็ชอบมุสโต๊ะแบบปกาเกอญอทันที่
แพร จารุ
คุณทำอะไรเมื่อเช้านี้  ส่วนฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ จากโต๊ะกินข้าวติดมือไปนอนอ่านในเปลใต้ต้นมะขามเล็ก  หนังสือชื่อ ไม่รักไม่บอก 5 เป็นของกลุ่มภาคีคนฮักเจียงใหม่  ฉันเป็นอาสาสมัครในกลุ่มนี้กับเขาด้วย แต่ฉันไม่ได้ทำหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นฉันจึงเพิ่งได้อ่านจริง ๆ ครูโรงเรียนอนุบาลเพิ่งให้มาสิบเอ็ดเล่ม วันนั้นมีน้อง ๆ หนุ่ม ๆ จากไหนก็ไม่รู้มาช่วยกันขนหนังสือหลายกล่องที่นำมาขายในงานอำลา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์  ฉันไม่มีของอะไรตอบแทนน้องจึงแจกพวกเขาไปคนละเล่มเหลือเก็บไว้เล่มหนึ่ง ภาพปกเป็นแม่มดหน้าตาน่ารักถือไม้เท้าวิเศษ มีข้อเขียนว่า จงสุภาพกับโลกใบนี้ (คำจากสาร…
แพร จารุ
  เล่าเรื่องงาน อำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เปิดงานไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม ยามแดดร่มลมตก หน้าที่ของฉันในงานนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลงานขายหนังสือ ฉันรับปากไปว่า “ได้ค่ะ” ทั้งที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการขาย หรือเรียกว่าไม่มีทักษะสักนิดเดียว และมักจะคิดตัวเลขผิด วิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่บวกลบคูณหารไม่เก่งเลย ยิ่งวิชาเลขคณิตคิดในใจนี้ไม่ได้เลย แต่ เพราะว่าในช่วงที่เขาประชุมเรื่องการดำเนินการจัดงานฉันไมได้เข้าร่วมประชุม…
แพร จารุ
ฤดูร้อนในเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างน่าสยองค่ะ เพราะนอกจากความแห้งแล้งที่เริ่มขึ้นในปลายฤดูหนาวนี้แล้ว เมื่อฤดูร้อนมาถึงเราก็จะพบกับกลุ่มหมอกควันที่มีทั่วเมือง สำหรับประชาชนในชนชั้นเรา ๆ นั้น เตรียมอะไรได้บ้างคะ
แพร จารุ
สวัสดีนักท่องเที่ยว ระหว่างทางนักท่องเที่ยวเจออะไรมาบ้าง ฉันมาอยู่เชียงใหม่สิบกว่าปี แต่บ่อยครั้งที่รู้สึกว่า ตัวเองเหมือนนักท่องเที่ยว
แพร จารุ
  หญิงสาวมักจะกลัวอ้วนเพราะอยากสวย เราถูกทำให้เชื่อกันว่าคนอ้วนจะไม่สวย เป็นสาวเป็นนางต้องผอมเข้าไว้ ใครไม่ผอมเหมือนนางแบบ หรือนักแสดงหน้าจอโทรทัศน์ก็จะไมได้มาตรฐาน ซึ่งความจริงแล้วบางคนผอมจนเกินไป เรียกว่าแห้งแรงน้อยไม่แข็งแรง ขาแขนมีแต่กระดูก คอโปน ไหปลาร้าลึกขนาดน้ำขังยามเมื่ออาบน้ำ
แพร จารุ
ชวนมากินกันต่อค่ะ เพื่อนนักเขียนรุ่นน้องที่เชียงดาว เล่าว่าเธอปลูกข้าวไร่ที่บ้านของเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ฉันคิดว่าแค่เธอเริ่มต้นปลูกข้าวความมั่นคงทางอาหารก็เริ่มมีแล้ว ต่อมาน้องนักเขียนที่เพิ่งรู้จักยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เขียนมาบอกว่า เธอปลูกข้าวได้เจ็ดกระสอบ ฉันชื่นชมยินดีกับเธออย่างจริงจังและจริงใจยิ่ง เพราะฉันมีความฝันที่จะปลูกข้าวปลูกผักไว้กินเอง แต่ไม่ได้ทำ และคิดว่าคงไม่ได้ทำ เพราะอายุปูนนี้แล้ว กล้ามเนื้อเป็นไขมัน เรี่ยวแรงหมดไปแล้ว ที่ทำได้ก็คือปลูกกล้วย ซึ่งก็เหมาะสมอยู่เพราะกล้วยเป็นอาหารนิ่ม ๆ กินง่าย…
แพร จารุ
ชวนมากินกันต่อดีกว่า   คราวนี้กินถั่วงอกผัดเห็ดสามอย่างค่ะ ดูเป็นอาหารธรรมดา ๆ นะคะ แต่พิเศษก็ตรงที่ เป็นอาหารที่ประกอบด้วยเห็ดสามอย่างนะคะ ความจริงแล้วอาหารเห็ดสามอย่างที่กินเป็นยานี้ เขาว่าหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันเป็นดีค่ะ แต่ไม่เป็นไรใช้น้อย ๆ เราเน้นความอร่อยด้วยค่ะ