Skip to main content

 . . .       ใครหนอ กล่าววลี นี้  เอาไว้   ( ท่านผู้ใดจำได้  กรุณา ช่วยบอกชื่อ  เขาหน่อย จักเป็นพระคุณยิ่ง เพราะ นานมาแล้ว และความจำของ ฉัน ก็ แย่ ด้วย )  


               - - -   อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ หลายฉบับ เมื่อไม่กี่วันมานี้    มีนักศึกษา  ที่ถูกสังคมเรียกเขาทำนองว่า เป็นเพศที่สาม บ้าง  เป็นกระเทยบ้าง   ตุ๊ด  ทอม  ดี้  ฯลฯ  บ้าง    จากหลาย มหาวิทยาลัย ที่เรียนจบแล้ว จะเข้ารับพระราชทานปริญญา    … พวกเขาได้ขออนุญาตอธิการบดี ขอแต่งกาย ตามจิตวิญญาณที่เป็นจริงของพวกเขา เช่น ผู้ชาย ที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง ก็ขอแต่งกายแบบนักศึกษาหญิงเข้ารับปริญญา  หรือหญิง ที่มีจิตใจเป็นชายก็ขอแต่งกายเป็นชาย เข้ารับฯลฯ  ทางอธิการบดี และคณะกรรมการผู้บริหารฯ ก็อนุญาต  นั่นแสดง ถึง  ความใจกว้าง    ความเข้าใจ  และทันโลกที่หมุนไปตลอดเวลาของผู้บริหารฯ 

                       - - -           เราพึงลบค่านิยม ผิดๆ    อคติ  มายาคติ ที่เคยมีมา  ออกไปจากความคิดที่ฝังหัวเรามาช้านาน   โดยไม่มองสภาพความเป็นจริง และไม่เข้าใจ ในจิตใจของเขา  …  สำหรับคนที่ถูกเรียกว่าเป็นกระเทย  นั้นตามความคิดเห็นของ ฉัน ฉันว่า เขามิใช่เป็นคนที่ ผิดธรรมชาติ   แต่เขาเป็นไปตามธรรมชาติที่เขาเป็น ของเขา… ฉัน เองก็ไม่มีความรู้ด้านสรีระวิทยา  ด้าน ฮอร์โมน ฯลฯ อะไรนัก ซึ่งเราต้องน้อมรับความรู้จากผู้รู้    … ต่อเรื่องนี้ ฉั น คิดว่า   คนที่เกิดมาเป็นผู้ชาย มีอวัยวะของเพศชาย   แต่ต่อมา  เพื่อนมนุษย์ ร่วมโลก ร่วมแผ่นดินของเรานี้   มีอารมณ์ความรู้สึกพัฒนาไปเป็นเพศหญิงสมบูรณ์เต็มที่  เพราะ ฮอร์โมนภายในกายของเขา  มีฮอร์ของเพศ หญิง ดำรงอยู่มากกว่า  ฮอร์โมนชาย  เต็มที่ …    ในด้านกามเพศ เขาก็รู้สึกรักผู้ชาย  การแต่งกาย เขาก็อยากแต่งกายเป็นผู้หญิง  เพียงแต่ในตอนนั้นสังคมยังไม่เข้าใจ ยังมี มายาคติอยู่ 

                    . . .   และก็เฉกเช่นเดียวกัน  คนที่ กำเนิดมาเป็น ผู้หญิง  มีอวัยวะแห่งเพศ เป็นผู้หญิง ทุกอย่าง แต่ก็จะมีอารมณ์ ความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชาย  ด้วย ฮอร์โมนในร่างกายเขา มีฮอร์โม  น    ผู้   ชายมากกว่าเต็มที่   เขาจึงแต่งตัวเป็นแบบผู้ชาย     …  ในด้านอารมณ์กามเพศ   เขาจึงอยาก   โอบกอดรักกับผู้หญิง  ควงผู้หญิง อยู่ร่วมกับผู้หญิง  ฉันสามี ภรรยา 

                           เพื่อนพี่น้องเอ๋ย  หากเราเข้าใจในจุดนี้  เราจะ ไม่รู้สึกแปลกใจเลย   ถือว่าเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ผิดธรรมชาติ อย่างที่เข้าใจกันต่อๆกันมา   …  ก่อนๆ นั้นฉันยอมรับว่าโง่  ไร้เดียงสา   และต้องขอโทษพี่น้องด้วย  ที่รู้สึกหมิ่นหยามพี่น้อง ทำนองว่า  ผิดธรรมชาติ   กระทั่งคิดแรงๆว่า เสียชาติเกิด  หรือ เอาไป    Mount   กันสนุกปากกะเพื่อนๆ  ( การเอ่ยคำขอโทษคน  เมื่อเราทำผิด เข้าใจผิด เป็นการกระทำที่ดีงาม น่าเคารพมาก และมีเกียรติ์ งามศักดิ์ศรี แห่งความเป็นคนด้วย  ไม่ใช่เป็นเรื่อง “  เสียหน้า ”  กระไรเลย  กลับเป็นเรื่อง ที่ “  ได้หน้า ”   ซะอีก  …    คนที่ถูกเข้าใจผิด หรือถูกใส่ร้ายป้ายสี  เมื่อมีคนมาขอโทษ  เขาก็จะมีเมตตา  ให้อภัย  การเอ่ยแค่ คำว่า  “ขอ โทษ  ”  ในสิ่งที่เราเคยผิดพลาด  มันจะยากเย็น เหมือน    “ เข็น ครก ขึ้นภูเขา ”  เหรอ   …  เพียงแค่เราเอ่ย มธุรสวาจา    …  จะยกตัวอย่างรูปธรรม เรื่อง   “การขอโทษ ”   ก่อนนี้  “ อาจารย์  ส.  ศิวลักษณ์  (   สุลักษ์   ศิ วรักษ์  )  ท่านเข้าใจผิด  คิดและเชื่อว่า “ ท่าน ปรีดี   พนมยงค์ ”    ปลงพระชมน์ ในหลวง อานันทมหิดล  พระเชษฐา ของ พระเจ้าอยู่หัวองค์ ปัจจุบัน ( แต่ถึงที่สุดเมื่อ อาจารย์  ส.  ศิวรักษ์  ทราบความจริงท่านก็กล้าหาญสารภาพ  และพูด เขียน ขอโทษ  ท่านปรีดีฯ     ที่ อาจารย์ ส. ฯ  เชื่อก็เพราะ  ท่านไม่ทราบความจริง ว่ามีคนกลั่นแกล้ง ท่าน  “ ปรีดี    พนมยงค์ “  ( อดีต  มันสมอง    แกนนำสำคัญ  ของ   “ คณะราษฏร์  ”    ที่    ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบเผด็จการ (ขอใช้คำนี้ ) สมบูรณาญาสิทธิราชย์  มาเป็นระบบ ประชาธิปไตย เมื่อปี พศ.  ๒๔๗๕ … พวกศักดินาจารีตนิยมที่สูญเสียผลประโยชน์ มักจะตอแหล  เอาวาทกรรม   ประเภทว่า    “ คณะราษฏร  ชิงสุก ก่อนห่าม ”   …  “ ป๊าดดด  ถ้าไม่รีบ  ทำ   เทวดาหน้าไหน จะประทานมามอบให้ ประชาชน ฟ่ะ  ”  … มีการกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสีท่าน “ ปรัดี   พนมยงค์ ” ผู้มีคุณูปการ ต่อประเทศชาติ อันยิ่งใหญ่   นอกจากทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ล้าหลังแล้ว ท่านก็ทำให้ประเทศสยาม (ไทย)  ไม่ต้องเสียสินสงคราม ดังเช่นประเทศอื่นๆ ที่ไปอยู่กับฝ่าย อักษะ  ( เยอรมัน  รัสเซีย   ญี่ปุ่น ฯลฯ ”  …  สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  (   World   War   2 )   ตอนนั้นที่ ญี่ปุ่น เป็นทัพหน้า ลุยบุกทางเอเชีย  เดินทัพเข้าไทย เพื่อจะผ่านไปพม่า  … “ จอมพล ป.  พิบูลย์สงคราม ”   นายยกรัฐมนตรีในสมัยนั้น จำต้องยอมกับแสนยานุภาพของ ญี่ปุ่น  ที่ยกทัพ ยกพลขึ้นบกมาทางภาคใต้  แต่ ท่าน ปรีดี  พนมยงค์  มองการณ์ไกล เล็งเห็นว่า ไทยยืนฝ่าย   “  อักษะ ” แพ้แน่นอน  จึงตั้ง ขบวนการ “ เสรีไทย” แบบลับๆ  ยืนข้างฝ่าย  “ สัมพันธมิตร ”  (สงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มปีพศ.  ๒๔๘๒   ยุติ   ๒๔๘๘  )  ในที่สุด เจ๋งเป้ง ฝ่าย  อักษะ แพ้  แต่ไทยเราไม่ต้องเสียสินสงคราม นี่แหละคุณูปการณ์ ของท่านปรีดีฯ

                          - - -  โอ้  ฟ้าดับ  เขียนต่อไม่ได้  และก็ไม่ได้ เอาแบ๊ตใส่ใน   note  book ด้วย   ขอโทษ  ไปนั่งพัก อิริยาบทก่อน จ้า  … พอดี   ตาปรือ  ง่วงนอนด้วย 

                          . . .    ชง โอวัลติน  กะ ผสมกาแฟ นิ๊ด  เพราะง่วง    ฝนยังโปรยสาย  นั่งใกล้หน้าต่างในตึกสำนักงานฯ   ฝนหยาด  ดังเปาะ แปะ  โอบกอดทักทายใบไม้สีเขียวขจี  สดชื่น แจ่มใสนัก  …   เอื้อมมือออกนอกหน้าต่างมุ้งลวด   เอามือแตะจับต้องใบไม้อันมี  หยาดฝน  เกาะกอด      พามือฉ่ำฝน   ลูบไล้ใบหน้า   ให้หายง่วง …ความสดชื่นแจ่มใส กลับมาทักทาย

                             - - -    ท่านปรีดีฯ ถูก ใส่ร้ายป้ายสี เรื่อยมา  ถึงกับ ว่ากันว่า มีการจ้างคนไปตะโกนในโรงหนัง ว่า  “  ปรีดี   ฆ่า  ในหลวง ”   หลายครั้งหลายครา     ไม่ต้องเล่าสาธยายแล้วว่าเป็นใครกลั่นแกล้งท่านปรีดีฯ   หากพี่น้องสนใจ ก็   สืบค้น และ หาหนังสือมาอ่านได้ไม่ยากดอก… ขอประทานโทษ เถิดพี่น้อง ฉัน ลอง    เอาหัวแม่ตีนตรองคิดดู ว่า   ห้องบรรทม  ในมหาราชวัง ใครเล่าจะกล้าเข้าไป  มีมหาดเล็ก หลายนายเฝ้าอยู่    ณ ที่นั้น  ข่าวว่าก็มีเพียงสองพระองค์ท่าน คือพระเชษฐา  และพระราชอนุชา ถ้าผู้ที่จะเข้าไปได้ ก้อคง ต้อง  เป็น ภูติ ผี ปีศาจ หายตัวเข้าไปได้มั๊ง?     …  ตกลง และแล้ว  มหาดเล็ก เฝ้าห้องก็เป็น แพะรับ ประทานบาป  …  แบ๊ะ  แบ๊ะ   เป็นใบ้ พูดไม่ออก  บอกไม่ถูก  และเขาก็  เลย   ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต  คือการบั่นคอ ( ถ้าเป็นประเทศฝรั่งเศส สมัยเผด็จการศักดินา  หลุยส์ ฯ  ก็  ต้องถูก กิโยติน ตัดคอ ! …      คือ   “นายบุศย์  นายเฉลียว ปทุมรส  และ อีกคนหนึ่ง จำชื่อท่านไม่ได้ 

                   - - -   ที่สุด  “ คนดีอยู่เมืองไทย ไม่ได้ ”   ดังที่กวี นักเขียนนาม  “ เฉินซัน ”   อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(และ การเมือง ) ได้แต่งบทกวีให้ท่าน “ปรีดี   พนมยงค์ ”  ผู้ประศาน์ส การ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฯ  …  ชื่อ “  ปรีดี   พนมยงค์ ”   อันลือเลื่อง  ที่ น้า “  หงา    - คาราวาน ”  เอามาใส่ทำนองเพลงร้องกัน

                        ใช่  “ คนดีอยู่เมืองไทยไม่ได้ ”  ดังเช่นหลายๆคน ที่มีเกียรติภูมิ  ต้านเผด็จการ   รักความถูกต้องเป็นธรรม   รักชาติ รักประชาธิปไตย  รักประชาชน ฯลฯ  อาทิเช่น …   “    ดร. ป๋วย   อึ้งภากรณ์  ,   นายผี    … อัศนี  พลจันทร ,  จิตร  ภูมิศักดิ์ ฯลฯ ” 

                          . . .   พูดถึงเรื่อง  เพศที่ถูกหมิ่นหยาม   เลยมาพูดถึง     … สงครามโลก …  ท่านปรีดีฯ  … ฯลฯ   แต่ทุกเรื่องล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กันอย่างแยกไม่ออกจากกัน   เรื่องเพศที่สาม ก็เป็นเรื่องของการเรียกร้องความเป็นธรรม เรื่องความเป็นจริง  เรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ฯลฯ เช่นกัน เป็นเรื่องเดียวกัน!   ที่เราต้องใจกว้าง เคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกัน นั่นแหละคือจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่แท้จริง  ถ้าตรงกันข้ามก็ป่วยการที่จะมาพร่ำเพ้อ  โอ้อวดว่า เราเป็นประชาธิปไตย  ฯลฯ 

                             เรื่องเพศ หญิง เพศชาย  ตามความคิดเห็นของฉัน เพียงคนเดียว  ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องสมมุติ ไม่มีดอก ชาย – หญิง  … มีแต่ความเป็นคน แล้วเราก็จะอยู่ร่วมกันได้ อย่าง Happy

                   ฉั น  มีเพื่อนทั้ง  ทั้ง หญิงชายที่ถูกเรียกว่าเป็น “กระเทย ”  ทั้งในระดับ โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย  เราพูดคุย  กิน    เที่ยว   เล่น    เดินทางไกลไปด้วยกันเป็นฝูงๆ สนุกสนานกัน แรมทางกัน 

                          “  เอ๊ย ไอ่  สันต์    กูรู้มึง ว่าเป็นกระเทยแม่ หญิง   นอนกะกู ห้ามยุ่ง ห้ามปล้ำกูเน้อ  มิงั้นโดนถีบ ”    ไอ้เพื่อนชายคนหนึ่งพูดเล่นกะไอ้สันต์ ที่เป็นชาย แต่ใจเป็นหญิง   พวกเรานี่ก็รู้รู้กัน รักกัน   สำมะเลเทเมา กินนอน เที่ยวด้วยกัน  เราไม่เห็นจะแปลกใจเลย … ไอ้ศัพท์ คำว่ากะเทย นั้น  มันมีมานานแล้ว   กะเทยมันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ สมัยพระเจ้าเหา แล้ว   มี และเป็นกันทุกชนชั้นทุกชั้นชน   ผู้ดี มีเงิน  เจ้าฟ้า ข้าแผ่นดิน ฯลฯ  เผลอๆ ในหมู่เทวดา นางฟ้า สรวงสวรรค์ก็คงมีด้วย 

                      ฉะนั้นเพื่อนพี่น้องเอ๋ย   กล้าขบถ กล้าประกาสออกมาให้  สังคมโลก รู้เลย กล้าขบถต่อความไม่ถูกต้องเป็นธรรม  กกล้าขบถต่อกฏเกณฑ์  ที่ ไม่ถูกต้องเป็นธรรม  ที่เราไม่ได้ร่างกฏเกณฑ์ ของเราขึ้นมา  …  กล้า ประกาศ เปิดเผยตัวออกมาว่า  “ กูเป็นของกู เช่นนี้  มึงต้องเคารพในสิทธิปัจเจกชน  ในสิทธิเสรีภาพของกู กูเองก้อมิได้ไปก้าวก่ายมึง  กูก็เคารพในสิทธิเสรีภาพของมึง ” 

                           กล้าประกาศ ไม่ต้องเป็น  “อีแอบ ”  … “ ไอ้แอบ ” ดังความกล้าหาญชาญชัยคงคนที่กล้าประกาศและเปิดเผยตัว เช่น   “ คุณ นทีฯ  , อาจารย์ เสรี  วงศ์มณทา , อาจารย์ วิโรจน์  ตั้งกิจวาณิชย์ แห่ง ม. ธรรมศาสตร์ และน้องๆ เพื่อนๆของฉันเอง ฯลฯ   … นี่คือการขบถที่ปลดปล่อยโซ่ตรวนที่ล่ามมัด พวกคุณไว้   อย่างสง่างาม! 

                . . .  เพราะ เธอ ขบถ เธอจึงมีชีวิตอยู่ อย่างทระนงองอาจ หาญกล้า 

                         . . .   เพราะเธอขบถ  เธอจึงเป็นนกอิสระ ที่ติดปีกโบยบินไปในโลกกว้าง อย่างเริงรมณ์   

                                 เพียงแต่เพื่อนรัก…  เ ธอ พึงต้องทำให้สังคมยอมรับในความสง่างามของเธอ 

                                    ขอโทษ มิได้สั่งสอน แต่ขอแลกเปลี่ยนสนทนาธรรม กะเธอ ด้วยความรัก และ ปรารถนาดี ในฐานะที่ฉันเข้าใจ  และ เอาใจช่วย เ  ธ อ  คือ. . . 

            - - -   พึงเธอหาโอกาส เข้าร่วมกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์  ต่อสังคม เช่นการบำเพ็ญประโยชน์ ฯลฯ  และผองเธอก็ได้ทำแล้ว 

                 - - -   เมื่อมี เมื่อเห็น  ได้ข่าว มีความไม่ถูกต้องเป็นธรรมเกิดขึ้นกะ พี่น้องผองเพื่อนมนุษยชาติร่วมโลกร่วมแผ่นดินกับเธอ … เช่น พี่น้องชาวบ้านที่ถูกรุกรานทำลายธรรมชาติ(ของเธอด้วย) รากเหง้า วิถีชีวิต  เช่นการสร้างเขื่อนอันบ้าคลั่งของพวกผลประโยชน์อวิชชา    การทำลยทรัพยากรธรรมชาติ ดิน  น้ำ  ป่า   การไล่พี่น้องชนเผ่าที่ดูแลรักษาป่า ทำไร่หมุนเวียน ( มิใช่ทำไร่เลื่อนลอย เหมือนที่หลักสูตร ที่เราเรียนยัดใส่สมองเรามานมนาน)   พี่น้องคนจนในเมืองถูกไล่ที่ และพี่น้องทุกๆที่ถูกรุกราน และเขารวมพลังกันสู้ปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิดของเขา เธอพึงพาเพื่อนๆก๊วนของเธอ เข้าไปศึกษาเรียนรู้  และให้กำลังใจ เพียงแค่ให้กำลังใจก็งดงามแล้ว

              - - - เธอผอง ด้านหนึ่งพึง ออกมาจากโลกส่วนตัวของตัวเองด้วย (แน่นอนในโลกส่วนตัวของเธอ เราก็เข้าใจ และเห็นด้วย)  ถึงเธอจะมีโลกส่วนตัว เธอพึงมีโลกส่วนรวมด้วย นั่นจะเป็นสีสันของชีวิต  และเป็นภาพบวกต่อสาธารณะชน  ต่อสังคม ที่เขาจะยอมรับ  และอีกอย่างหนึ่ง ของแถม … เมื่อเธอเป็นผู้หญิง และเธอก็เป็นผู้หญิงจริงๆด้วย ดังที่ฉันพูดมาแต่ต้น    เธอพึงอย่าทำเว่อร์  กระดี๋ กระด๋า ทำตัววิ๊ดว้าย เกินงาม เกินความเป็นผู้หญิง คนเขาจะหมั่นไส้เอา   ซึ่งพวกเธอเองอาจไม่รู้ตัว   เอาหล่ะ ในที่รโหฐาน ที่ลับตาสาธารณะชน เธอเอาเต็มที่เต็มสูบได้เลย อย่ายั้ง  มือ ยั้งปาก ยั้งตีนฯลฯ  แต่ในทีสาธารณะ ไม่ควร  show  off  เกินเหตุ  ha  ha      (ฉันเองหลายคราก้อหมั่นไส้หว่ะ   ฮ่า  ฮ่า)   ทำตัว เย็น นิ่ง ลึก  มีสติ( เออพวกเรานี่ มักมีสติ แต่ ไม่ค่อยมี สตางค์ หว่ะ  ห้า  ห้า ) ซะมั๊ง (โกรธ เป่าวะ  อย่าโกรธเน้อ ฉันหวังดีที่เตือน    ถึงจะโกรธ ฉันก็ไม่ว่าอะไรดอก)       …    เพราะรักดอก  จึงบอกเตือน

       พี่น้องทุกๆคนคร๊าบ  เรา ใน “โลกแห่งความเป็นจริง ”       เราเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลีฝุ่นของ โลก เอกภพ จักรวาล มิได เราก็มิแตกต่างจากสรรพสิ่งสรรพชีวิต เช่น พาราสิต ด้วง หนอน นก หนู แมลง  ช้าง ม้า วัว ควาย  หมู หมา  กา ไก่ ฯลฯ  …   เรามิได้อหังการ์ ว่าเราแน่กว่าใคร   … เรามีความรักอันงดงามต่อสรรพสิ่ง สรรพชีวิต

         เรื่อง เพศ หญิง  - ชาย   ตามความคิดเห็นของฉัน   ฉันว่า ไม่มีดอกจ้า เราไปสมมุติกันเอง ถึงจะมีความแตกต่างกันทาง สรีระ  ก็เป็นความแตกต่างกันตามธรรมชาติเท่านั้นเอง  และก็มีการเรียก   “ หญิง   - ชาย ”   ไปตาม Anatomy  นั้น  เท่านั้นเอง ที่เป็นจริงก็คือ เราคือ  ค น  คือ มนุษย์  ที่มี มือสอง ตีนสอง  หนึ่งสมอง ทีจะดำรงอยู่บนดวงดาวโลกสีฟ้านี้ให้งดงามต่อไป  เรื่อง   เพศ สมมุติ นั้นมาทีหลัง…    ข้อสำคัญ เราต้องเคารพ ต่อสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนที่ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ใคร เราไม่ต้องไปเดือดร้อนแทนเขาที่เขามีชีวิตเป็นอยู่อย่างอิสระของเขา  แต่ เอ … เพื่อนรัก ฉั นเองก้อ แปลกใจ ฉงนฉงายในหัวใจว่า  ทำไม่เราไม่ไปเดือดร้อน เรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม เรื่องการกดขี่ข่มเหงของผู้ได้เปรียบต่อผู้ที่เสียเปรียบ บ้าง  ทำไมเราไม่ไปเดือดร้อนเรื่องใญ่คือเรื่องการทำลายธรรมชาติ รากเหง้า วิถีชีวิตของชุมชนบ้างหล่ะ  … ชุมชน อัมพวาทีเป็นตัวอย่างรูปธรรม ที่ถูกกลุ่มทุนสยายกรงเล็บปีศาจเข้ามาขย้ำพี่น้องชาวบ้านโดย    วาทกรรม     อ้างความเจริญการพัฒนาว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

 

 

                  - - -   ใช่แล้ว  เพราะเราข บ ถ  เราจึง   มี ชี วิ ต  อ ยู่  !!! @

 

    ปลายฝน – ต้นหนาว ,  ๗ กันยายน ๒๕๕๕

 

 

บล็อกของ แสงดาว ศรัทธามั่น

แสงดาว ศรัทธามั่น
ดูกร... ภราดา ...  ภราดร ...  โปรดอย่าได้  ฉงนฉงายค ว า ม ห ม า ย ชี วี  เพลานี้ณ  ที่ซึ่ง  มนุษยชาติ  โ อ บ ก อ ด ป ฐ พีณ ที่ซึ่ง เวลานี้  เ ธ อ มี รั ก ป ร ะ จั ก ษ์ ใ จรั ก มิ ต้อง ฝัน ... รั ก  นั้นคือ รั ก จ ริ ง !“ ค ว า ม รั ก นั้ น ยิ่ ง ใ ห ญ่ ”เริงรำร้อง  เที่ยวท่องไปสู่จุดหมายปลายทางแห่ง   เ พ ล ง รั ก นิ รั น ด ร์ณ ที่นี่ ... ที่นั่น ... ที่โน่น! นั้นมี  รัก!เราผ่อนพักชีวา  รั ก รั ง ส ร ร ค์เ มื่ อ  วิ ญ ญ า ณ  แห่ง  รั ก  โ อ บ ก อ ด กันโ ล ก = น ร ก – ส ว ร ร ค์  เป็นฉันใด  มิ…
แสงดาว ศรัทธามั่น
ภาพจาก แฟ้มข่าวประชาไท(๑) Excellent Life Rhythm(เป็นจังหวะชีวิตที่แสนวิเศษนัก)ปลายฤดูฝน – ต้นฤดูหนาวแสง สี เสียง แห่งแม่พระธรรมชาติ อันเป็นรากเหง้า แห่งวิถีชีวิตเพื่อนมนุษยชาติ ช่างงดงาม หลากสีสันนัก!--- ดวงตะวัน ดวงดาว เดือนเสี้ยว –- กลางฤดูปลายฝน ต้นหนาว-- ฯลฯ --- ฯลฯ --- ฯลฯ---เริงระบำ รำร่ายฟ้อนเป็น Rhythm… เป็นจังหวะดนตรีแห่งสีสัน ช่างงดงามนักExcellent Life Rhythmเป็นจังหวะชีวิตที่แสนวิเศษนัก!“ Life is Very Beautiful”ชีวิตช่างงดงามนัก หากโครงสร้างสังคม สามานย์ เปลี่ยนแปลง(๒) หมดเวลาของคุณแล้ว!Hello!พณฯหัวเจ้าท่าน คมช.หมดเวลาของคุณแล้ว!อย่าสืบต่ออำนาจต่อไปอีกเลย!อย่าเผด็จการฟัสซิสม์…
แสงดาว ศรัทธามั่น
ล ม ห น า ว เ ห นื อ พั ด โ ช ย ม ายามต้องไล้ผิวกายร้อน ที่รุ่ม ก็ คลายกลิ่นอาย เหมันตฤดู มิรู้เลือน น ก น้ อ ย ๆ สีเหลืองเรืองเรื่อโบยบินทุกแหล่งหล้ามิรู้หนโผร่อนจับเกาะกิ่งก้านต้นมะขามสนามหลวง – สนามราษฎร์ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว – ตามไล่ทักทายกันโ อ ... ก็นานนักแล้วซิหนอที่พวกเจ้ามิได้มาพบกัน! ณ เบื้อง ฟ้าบนด ว ง ต ะ วั น สาดแสงแรงกล้า น ก พิ ร า บ ข า ว พราวอันมิถ้วนนับสะพรึบสะพรั่ง โบยบิน ฉวัดเฉวียน เวียนว่อน ... ราวจักข่ม คคนานต์พราวปีกขาว สะพรึบสะพรั่ง โบยบิน ฉวัดเฉวียน เวียนว่อนเริงรำร่อนจับเกาะกอดโดมแดนธรรม... ธ ร ร ม ศ า ส ต ร์โ อ !...…
แสงดาว ศรัทธามั่น
(1)จักรวาลอวยพรชัยณ ยามราตรีกาลดวงดาวเดือนพราวพร่างบนทุ่งฟ้าวิบ วิบ วับ วับ เปล่งประกายทอแสงเจิดจ้าอวยพรชัยแด่โลก ชีวิต!แล ณ ยามอรุณรุ่งดวงตะวันสาดแสงสีทองส่องโลกหล้าวิหคนกกามวลสรรพสิ่ง – สรรพชีวี...เริงระบำรำร่ายฟ้อนอวยพรชัยแด่ผองเพื่อนมนุษยชาติ!ณ คืนวันแห่งการสัปประยุทธ ต่อสู้ด้วยอหิงสา ศานติวิธีพี่น้องม่าน พี่น้องชนเผ่าทั้งผอง...แล สตรีเหล็ก “ออง ซาน ซูคยี”รวมทั้งผองเพื่อนพี่น้องร่วมโลกร่วมแผ่นดินแห่งดาวโลกดวงนี้ต่างคล้องแขนร่วมเดินทางเปล่งร้องขับขานบทเพลงแห่งชัย...ชัย...ชัย...ชัย ! ดูรา...ภราดา...ภราดายลดูด้วยประกายดวงตาปลื้มปิติ...ดูซี...ดูซี...“มองดูความจริงซี”พระคุณท่าน แม่ชี...…