Skip to main content
ฉันมีโอกาสไปดูงานรณรงค์เลิกเหล้าของหมู่บ้านคำกลาง ตำบลโนนหนามแท่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อหลายเดือนก่อน ตำบลนี้มีกำนันคนเก่งเป็นผู้หญิงชื่อ รัตนา สารคุณ ก่อนนี้แม่กำนันเคยเป็นนักเลงสุรา ดื่มเหล้าหนัก แม่กำนันดื่มเหล้าเพียวและดื่มน้ำตบตูดแบบเดียวกับที่ผู้ชายพื้นบ้านนิยมดื่มกัน และแม่คอแข็งชนิดผู้ชายต้องยอมแพ้


แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป กาลเวลาสามารถพิสูจน์ความสามารถของเธอได้มากกว่าการพิสูจน์ความกินทนกินนาน ใจป้ำ ใจแกร่ง ในวงสุรา แม่กำนันก็เห็นโทษของการดื่มสุรา และหันมารณรงค์ให้ลูกบ้านลดละเลิกเหล้า


งานรณรงค์เริ่มมาได้ห้าหกปีแล้ว มีหมู่บ้านนำร่องที่ทำงานประสบความสำเร็จค่อนข้างดีเป็นบางหมู่บ้าน นั่นคือ ผู้ชายเลิกเหล้ากันได้สักประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ และยังพยายามเผยแพร่ค่านิยมใหม่นี้ไปยังหมู่บ้านอื่นเรื่อยๆ


หมู่บ้านคำสมบูรณ์เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ผู้ใหญ่บ้านเอาด้วยและเชิญแม่กำนันมาร่วมพิธีเปิดงานรณรงค์ ในวันรณรงค์ ได้มีกิจกรรมที่ผู้ใหญ่และเด็กทำร่วมกันนั่นคือ การมาคิดกันว่าสังคมที่น่าอยู่ที่ตนอยากให้มีให้เป็นนั้นเป็นอย่างไร


กิจกรรมทำกันที่วัดโดยมีวิทยากรอารมณ์ดี ทั้งวิทยากรที่เป็นพระและบุคลากรที่รณรงค์เลิกเหล้า-บุหรี่ของจังหวัด ที่มาร่วมกันให้ความรู้กับชาวบ้าน ซึ่งได้ความสนุกสนานครื้นเครงกันไปพอสมควรทีเดียว


  


ภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งบนจอโปรเจคเตอร์ที่ฉายจากคอมพิวเตอร์ (เค้าเรียกว่าอะไรนะ พาวเวอร์พอยท์ อะไรแบบนี้ไหม เรียกไม่ถูก ไม่เคยใช้) มีเรื่องราวที่สอนชาวบ้านอย่างง่ายๆ เข้าใจได้เร็ว และมีมุขฮาแทรกเป็นระยะๆ แต่ที่สะดุดตาสะดุดใจจนฉันอดจดเก็บมาไม่ได้คือกลอนสองบทนี้


ใครแต่ง ถามวิทยากรท่านก็บอกไม่รู้ จดต่อๆ กันมาอีกที


วิทยากรซึ่งเป็นพระ ท่านคงเห็นว่าเหล้าเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวมีปัญหา ผัวเมียทะเลาะเบาะแว้งเป็นประจำ บางทีก็มีตบตีกัน ดังนั้น ตอนหนึ่งท่านจึงสอนถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างให้อภัยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ผัวนั้นถ้าทำผิดไปก็ให้ไปไหว้ขอโทษเมีย โดยแม่กำนันและผู้ใหญ่มาเล่นสมมติเป็นผัวเมียที่ยอมยกมือไหว้ให้กัน


แล้วก็ฝากข้อคิดด้วยกลอนสองบท


กลอนสำหรับผัว

 

รักเมียต้องอดทน                       ต้องเป็นคนเคารพเมีย

รักเมียต้องสั่งเสีย                       อย่าให้เมียต้องสงสัย

รักเมียต้องรักเดียว                     อย่าได้เที่ยวไปรักใคร

รักเมียต้องทำใจ                        ถึงอย่างไรเธอคือเมีย

รักเมียอย่าขี้เหล้า                       เมียจะเหงาเราจะเสีย

รักเมียอย่าอ่อนเพลีย                  คนรักเมียต้องแข็งแรง

รักเมียอย่าเที่ยวดึก                    จะเกิดคึกผิดสำแดง

รักเมียอย่ารุนแรง                      ค่อยๆ แซงอย่าขับไว

รักเมียต้องยอมเมีย                    เพราะว่าเมียไม่ยอมใคร

รักเมียต้องเข้าใจ                       ไม่มีใครใหญ่กว่าเมีย

 

กลอนสำหรับเมีย

 

รักผัวต้องให้ผัว                         หมดทั้งตัวหมดทั้งใจ

รักผัวต้องอ่อนไหว                     ผัวว่าไงต้องว่าตาม

รักผัวต้องเคารพ                        ต้องประจบไม่ลามปาม

รักผัวต้องคล้อยตาม                   ไม่วู่วามไม่ตามใจ

รักผัวต้องอดทน                        ผัวเป็นคนไม่ยอมใคร

รักผัวต้องทำใจ                         ใช่ผัวใครก็ผัวเรา

รักผัวต้องหมั่นสวย                     เดี๋ยวจะซวยผัวไม่เอา

รักผัวต้องคอยเฝ้า                      ถ้าผัวเมาต้องแก้ไข

รักผัวต้องเข้าใจ                         ผัวเป็นไงต้องคอยดู

รักผัวต้องพูดง่าย                       ไม่โวยวายไม่ลบหลู่

รักผัวต้องเชื่อฟัง                        ผัวเสียงดังต้องทนไหว

รักผัวต้องรู้ใจ                            ผัวอยากได้ต้องหามา

รักผัวต้องใจเย็น                        ผัวเป็นเช่นเทวดา

รักผัวต้องบูชา                           ผัวมีค่ากว่าสิ่งใด

รักผัวต้องรักเดียว                      อย่าไปเที่ยวรักผัวใคร

รักผัวต้องเข้าใจ                        ผัวของใครก็ของมัน

รักผัวต้องแน่วแน่                      ต้องรักแท้ผัวของฉัน

รักผัวต้องยึดมั่น                        ทุกข้อนั้นสำคัญเอยฯ

 

อ่านแล้วใครจะเห็นตามหรือเห็นต่างก็พิจารณากันเองเด้อ

ส่วนฉันสงสัยว่า ทำไมกลอนสอนเมียถึงยาวกว่ากลอนสอนผัว ยาวเกือบสองเท่าได้ ?

และเมื่อนึกถึงสภาพคู่ผัวตัวเมียในปัจจุบัน ถ้าไม่ใช่รุ่นพ่อรุ่นแม่เราแล้ว มองหาคู่ที่อยู่กันยืดยาวได้ยากจริงๆ

เพราะอะไร?

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นุ่มนิ่มเหลือเกิน ลูกแม่เอ๋ย นานวัน เนื้อตัวเจ้าอวบอิ่ม กอดได้แน่นเต็มกอด หอมแก้มเจ้าได้แรงๆ เสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ยามแม่เอาหน้าซุกพุงนิ่ม หรือสีข้างซี่โครงน้อย เจ้าร้องลั่น หัวเราะกรี๊ดๆ จั๊กจี้จั๊กกะเดียม แม่รู้ความลับของเจ้าแล้วสิ ว่าเจ้าเองก็บ้าจี้เหมือนแม่ แต่ยิ่งเจ้าเบี่ยงตัวหนีคิกๆ แม่ก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะอยากยินเสียงคักๆ คิกๆ กรี๊ดกร๊าดๆ
สร้อยแก้ว
ถึง ลุงแสงดาว เช้าวันนี้แม่ตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้าดี แม่ย่องมาเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดอินเตอร์เน็ต (ยามเช้าๆ เน็ตแม่จะเดินได้เร็ว คงเพราะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีใครใช้งาน คลื่นอากาศเลยเดินทางได้คล่อง) แม่คงคิดว่าจะแอบทำงานตอนหนูหลับล่ะสิ เรื่องอะไร หนูจะยอมให้แม่สนุกอยู่คนเดียวล่ะ หนูไหวตัวทันหรอกน่า เลยกลิ้งซะสองรอบแล้วยันขายันแขนลุกนั่ง ร้อง อื้อๆ แม่ก็หันขวับทันที
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำอายุครบ ๗ เดือนในวันนี้แล้ว ลูกมีภาษาของลูก และรู้วิธีสื่อสารกับแม่ ๐ ถ้าลูกเบื่อนอนเล่นหรือการนั่งอยู่กับที่ ลูกอยากให้แม่พาเดินเล่น ลูกจะเงยหน้าร้องอ้อนด้วยการทำเสียงฮือๆ หรือบางทีทำเสียงแงๆ แต่ว่าไม่มีน้ำตาหรอก ลูกแกล้งทำ พอแม่อุ้ม ลูกก็จะยิ้มร่า พร้อมกับตบบ่าแม่แปะๆ เมื่อไหร่ที่ลูกตบบ่าแม่แปะๆ นั่นแปลว่า ไป ไป เหมือนว่าแม่เป็นม้างั้นเหอะ ตบก้นแล้วไปได้
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองที่แม่หลบมารดน้ำให้หัวใจ รินลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านี้เอง แต่มันทำให้แม่มีความสุข เพราะแม่สงบ ปลอดโปร่ง
สร้อยแก้ว
ตาน้ำ ยามเมื่อลูกนอนหลับ สิ่งที่แม่อยากทำที่สุดคืออะไรนะ เขียนหนังสือ, นอน, อยู่เฉยๆ ว่างๆ เพราะการเลี้ยงลูกเองมันเหนื่อยใช่เล่นเหมือนที่ใครหลายคนว่า แทบไม่ได้หายใจหายคอ ทั้งที่ยามลูกตื่นเราก็เล่นสนุกด้วยกัน มีความสุขเมื่อลูกอยู่ในอ้อมกอด ขำบ้าง ดุบ้างยามลูกยื้อแย่งจะเอาทุกอย่างในมือแม่
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างไหมขณะที่ลูกบินอยู่บนฟ้า ตาน้ำ ลูกดูดนมแม่แล้วหลับปุ๋ยขณะแม่กอดลูกไว้แนบอก แม่เหม่อมองท้องฟ้า เห็นเพียงปุยเมฆขาวฟูฟ่อง บนฟ้าช่างเวิ้งว้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่มั่นใจเลยว่าแม่จะเป็นแม่ที่ดีไหม แม่จะเลี้ยงลูกได้คู่ควรหรือไม่ แม่รู้สึกว่าแม่ต่ำต้อยเสมอเมื่อนึกถึงความไว้วางใจจากสวรรค์ให้ดูแลบุตรีน้อยๆ คนนี้
สร้อยแก้ว
    ตาน้ำ แม่เพิ่งรู้ว่า ยามลมพายุพัดระหว่างมีบ้านอยู่กลางหุบเขากับที่ราบโล่ง เสียงสายลมจะหวีดดังไม่เหมือนกัน
สร้อยแก้ว
แต่ก่อนฉันเคยใฝ่ฝันกับการมีบ้านมานาน แต่จนแล้วจนรอดก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลานั้น มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังอยากเดินทางท่องไปอยู่ ยังอยากพบเจออะไรใหม่ๆ อยู่ ดังนั้น หลายครั้งหลายหนเมื่อพบเจอปลอกหมอน ฟูกนอนพื้นบ้าน ผ้าพื้นเมืองลายคลาสสิก แก้ว จาน ชาม เซรามิกที่ถูกใจก็มักจะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้นำเอาออกมาใช้
สร้อยแก้ว
  ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบคนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
สร้อยแก้ว
ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่