Skip to main content
 

เพียงคำ ประดับความ

 

1

 

ภาพฝูงชนที่นั่งยืนเดินกันอยู่ตรงมุมสนามหลวง ทำให้คนผ่านทางมาอย่างผมก้าวเดินช้าลง หลายวันมานี้ เมื่อผ่านมาที่นี่ ผมมักอดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตามองหาผู้คนจับกลุ่มคุยกันแล้วเงี่ยหูฟัง สุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความคับแค้นเหล่านั้น ทำให้ความเศร้าสร้อยที่ถมแน่นอยู่ในหัวใจของผมจางลงอย่างประหลาด

"ทำแบบนี้มันไม่ถูก ทีไอ้พวกนั้นให้ท้ายพวกมันไปยึดสนามบิน"


ประโยคคุกรุ่นของชายขายไอติมที่หยุดรถคุยกับแม่ค้าข้าวไข่เจียว ในบ่ายวันที่สิบสี่เมษา ยังดังก้องอยู่อย่างไม่สร่างซา


สนามหลวงในวันนี้ รวมทั้งผู้คนที่นี่ ได้เปลี่ยนไปแล้ว...อย่างน้อยก็ในสายตาผม


ในวันที่ไม่มีงานอันทรงเกียรติใดๆ สนามหลวงเป็นเพียงที่ซุกหัวนอนอันต่ำต้อยของมนุษย์ผู้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในชีวิต เป็นซ่องกลางเมืองของหญิงสาวหลงทางผู้ไม่มีเกียรติประวัติใดน่าจดจำ เป็นแหล่งอโคจรที่อุดมไปด้วยสิ่งปฏิกูล โชยฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่ วันดีคืนดีก็พบถุงยางอนามัยใช้แล้วซุกซ่อนตัวอยู่ริมทาง


แต่วันนี้...สนามหลวงกลายเป็นพื้นที่สีแดงซึ่งถูกทหารตำรวจเข้าตรึงตลอดเวลา กระนั้นผู้คนยังมาจับกลุ่มคุยกันตรงมุมโน้นมุมนี้ สีหน้าของพวกเขาเหมือนสุนัขจนตรอก...ที่ดวงตาของมันแฝงรอยบาดเจ็บ และพร้อมจะลุกขึ้นสู้

 

ผมพบลุงทองแดงที่นั่น ในบ่ายวันที่สายลมแห่งความอ้างว้างพัดมา เหตุการณ์นั้นผ่านมาหลายวันแล้ว แต่หมอกควันหลังเปลวไฟยังหนาแน่นอยู่ในทุกอณูอากาศ


ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น บนไม้กระดานเก่าคร่ำที่ไม่รู้ใครเอามาปูไว้เป็นแพกว้าง ตรงมุมสนาม หลวงทางทิศใต้ ปะปนอยู่กับผู้คนหลากสีเสื้อมากมาย...ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่า...ไม่ใช่คนเมืองนี้ ชายชราเงยหน้าขึ้นมองเมื่อผมกรายผ่าน ครั้นผมยิ้มให้ แกยิ้มตอบ...มิตรภาพระหว่างเราจึงเริ่มขึ้น

"ผมกับเมียมาจากอุดร" แกพูดพลางกุลีกุจอควักบัตรประชาชนออกมาให้ดูเมื่อผมถามถึงถิ่นฐานบ้านช่อง

ผมเหลือบมองหญิงชราร่างเล็กที่นั่งข้างๆ นางส่งยิ้มขัดเขิน

"ทำไมลุงกับป้าถึงมาล่ะ" ผมอดถามไม่ได้


คำตอบของชายชราทำให้ผมคอแข็ง

พวกผมมาตั้งแต่วันที่ 7 เมษา มาเอง อยู่เอง มาสู้เพื่อประชาธิปไตย" แกจ้องหน้าผม ครู่หนึ่งจึงถามขึ้น"แล้วน้องล่ะ เป็นนักศึกษาที่นี่ใช่มั้ย" พลางชี้นิ้วไปยังสิ่งปลูกสร้างหลังคาเขียวที่อยู่ใกล้ๆ

ผมส่ายหน้า

"เปล่าหรอกครับ ผมก็เป็นประชาชนที่รักประชาธิปไตยเหมือนลุงกับป้านั่นแหละ"

 

2


            "ม็อบเสื้อแดงถ่อย" บุกล้อมทำเนียบ ตั้งเวที-โรงครัวปักหลัก

                                                                                  (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 24 กุมภาพันธ์ 2552)

 

ผมออกจากบ้านราวสิบโมงเช้า แม่ออกไปก่อนผมสักครึ่งชั่วโมง แกว่าจะไปสมทบกับเพื่อนวัยเดียวกันที่ปากซอย แล้วค่อยเคลื่อนไปยังสนามหลวง


ที่บ้านผมอยู่กันสี่คน มีพ่อ แม่ ผม และพี่ชาย อ้อ แล้วก็หมาลาบราดอว์สีดำอีกหนึ่งตัว แมวไทยอีกสาม

การอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ทุกเช้าตื่นขึ้นมาเจอหน้ากัน กินอาหารอย่างน้อยสองในสามมื้อเหมือนกัน (เกือบทุกวัน) ดูรายการทีวีช่องเดียวกัน (เกือบทุกคืน) มันไม่ได้ทำให้เราแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว


ผมกับแม่เป็นสีหนึ่ง พี่ชายเป็นสีหนึ่ง ส่วนพ่อพยายามทำตัวเป็นกลาง ยืนยันไม่เลือกข้าง (แต่อ่านคมชัดลึกทุกวัน)


มีคนใส่เสื้อสีเดียวกับผมสี่คนบนรถเมล์คันนั้น เรายิ้มให้กันในความแปลกหน้า ตลอดทางผมเห็นพวกเราอยู่ตรงโน้นตรงนี้ บนรถเมล์คันโน้น บนแท็กซี่คันนี้ กำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์คันโน้น กำลังเหมาตุ๊กตุ๊กคันนี้ หัวใจผมเต้นรัวแรง


.......แล้วมันก็แทบหยุดเต้น หลังรถเคลื่อนลงสะพานปิ่นเกล้า เมื่อท้องสนามหลวงที่ปรากฏตรงหน้า...มันดารดาษไปด้วย...สีแดง

 

ขบวนกำลังจะเคลื่อนเมื่อผมลงรถเมล์เดินไปสมทบ เสียงแตร เสียงตีนตบ เสียงหัวใจตบ เสียงตะโกนโห่ร้องดังกึกก้องกัมปนาท วินาทีนั้นความรู้สึกหนึ่งวิ่งขึ้นมาจุกคอหอย ผมยกแตรที่แขวนคอไว้ขึ้นเป่าด้วยความสะใจ ผู้คนที่พี่ชายซึ่งเรียนจบดอกเตอร์ด้านวิศวกรรมเคมีของผมมันปรามาสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเป็นแค่ชาวนาชาวไร่ที่แสนจนยาก โง่เขลา ป่าเถื่อน หิวเงิน และไร้เดียงสาเหลือเกินต่อประชาธิปไตย ไม่รู้หลั่งไหลมาจากไหนจนมืดฟ้ามัวดิน แววตาของพวกเขา เสียงตะโกนของพวกเขา เขย่าหัวใจให้ไหวสะท้าน ผมลนลานล้วงกล้องถ่ายรูปในกระเป๋าออกมากดชัตเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า


ให้ตายเถอะ! ผมไม่เชื่อหรอกว่าแววตาชนิดนี้ เสียงตะโกนที่เหมือนกลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเช่นนี้

...มันบันดาลขึ้นได้ด้วยเงิน...

 

3


ผมนอนไม่ค่อยหลับ นับแต่เหตุการณ์นั้น ครั้นเจียนจะข่มตาหลับลงได้ ก็มักฝันร้ายถึงแต่เกาะร้างแห่งนั้น มันตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในท้องทะเลดำ ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ ร้องครืนครามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท้องฟ้าที่นั่นช่างแปลกประหลาด มันทั้งเขียวทั้งคล้ำแกมน้ำเงิน ทั้งทรุดตัวต่ำลงจนแตะยอดไม้ ที่นั่นไม่มีพระอาทิตย์ มีเพียงพระจันทร์ ไม่มีกลางวัน มีเพียงกลางคืน ต้นไม้ไม่เคยผลิใบ ไม่มีดอกไม้ นกไม่มีปีก ผืนดินแล้งกว่าทะเลทราย แม่น้ำทุกสายดังน้ำพุเดือด สายฝนเป็นสีแดง อีกาเป็นสีขาว ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย พลเมืองส่วนใหญ่คือสุนัขขี้เรื้อน มันส่งเสียงร้องโหยหวนไปทั่วทั้งเกาะ


ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจากฝันร้าย ผมรู้สึกหวิวโหวงในอก ปากคอแห้งผาก ฝูงสุนัขขี้เรื้อนบนเกาะร้างยังตามมาหลอกหลอน สายตาของมันคล้ายกำลังเว้าวอนร้องขอความช่วยเหลือ


บรรยากาศในครอบครัวผมช่างน่าเบื่อหน่าย แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าอึมครึม

ผมกลายเป็นใบ้...

แม่กลายเป็นศัตรูกับทีวี...

" มันพูดออกมาได้ไงว่ามีคนตายแค่สองคน ที่นางเลิ้ง"

พี่ชายกลายเป็นศัตรูกับแม่อีกที

"ถ้ามีคนตายเป็นร้อยจริงมันก็ต้องมีคนถ่ายรูปไว้มั่งสิ สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวหน้า นักข่าวก็เยอะแยะ"

แม่ทะเลาะกับพี่ชายทุกวัน พวกเขาทุ่มเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างฝ่ายต่างขู่เข็ญให้อีกฝ่ายเชื่อตนให้ได้ว่ามีคนตายกี่คน

ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึง พ่อหลบไปอ่านหนังสือพิมพ์ในสวนหลังบ้าน

 

ความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งผมไม่รู้จัก สั่งให้ผมออกจากบ้าน เดินทางไปยังสถานที่แปลกหน้า ดิ้นรนค้นหาบางสิ่งอย่างทุรนทุราย

...วันแล้ววันเล่า...ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่าติดมือ...

วันนี้ก็เช่นกัน ผมหอบความผิดหวังนั่งรถเมล์มาลงที่สนามหลวง...

ลุงทองแดงยังนั่งอยู่ตรงนั้น บนไม้กระดานเก่าคร่ำ กับเมียคู่ยากที่หอบหิ้วกันมาจากอุดรธานี

"ทำไมลุงยังไม่กลับบ้าน" ผมตั้งใจทักมากกว่าถาม

ดวงตาของชายชราวูบไหว

"กลับไปรอบหนึ่งแล้ว แต่หมู่ที่มาด้วยกันยังกลับไปไม่ครบ เลยต้องพากันกลับมาตามหา"

 

4

ม็อบเสื้อแดงแห่นำรถแท็กซี่ปิดขวางถนนบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ส่งผลให้การจราจรกลางกรุงกลายเป็นอัมพาต ประชาชนเดือดร้อนหนัก

                                                                                           (ไอเอ็นเอ็น, 9 เมษายน 2552)


เมื่อคืนผมอยู่โยงที่บ้านสี่เสา ยุงชุมจนนอนไม่หลับ นั่งตาแข็งตบยุงจนถึงเช้า โผลเผลกลับถึง

บ้านตอนเจ็ดโมง แล้วก็สลบไสลไปยาวนาน รู้สึกตัวอีกทีตอนบ่ายกว่า ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว ตั้งใจจะย้อนกลับไปดูสถานการณ์ที่บ้านสี่เสา แต่เมื่อแวะเช็กข่าวที่ร้านอินเทอร์เน็ตหน้าปากซอยแล้ว ผมตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง


รถไม่ติดมากนัก อาจเพราะวิทยุโทรทัศน์ออกข่าวเรื่องนี้เกือบตลอดเวลา ไปถึงราวสี่โมงเย็น อนุสาวรีย์กลางเมืองแห่งนั้นถูกยึดไว้แล้ว ถนนถูกปิด รถขยายเสียงของผู้นำจอดบัญชาการอยู่คนละฟาก ชาวบ้านหลายร้อยคนกำลังแห่ธงชาติวนรอบแกนกลางอนุสาวรีย์


ไม่ต้องเสียเวลาทบทวน ผมโดดเข้าร่วมวงในทันที ตลอดชีวิตผมเป็นแต่พลเมืองเซื่องๆ ไม่เคยทำผิดกฎหมาย ให้ตายเถอะ! ทำผิดกฎหมายหนนี้...ผมรู้สึกสะใจ (ว่ะ)

"มึงมองเห็นหัวคนพวกนี้บ้างหรือยัง!" ผมนึกอยากถามใครบางคน

 

หลังหกโมงเย็น ฝนเทลงมาอย่างหนักและนาน เราวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น ใต้สะพานและซอกเงาตึกถูกยึดไว้เป็นที่กำบัง กระนั้นบนถนนรอบแกนกลางอนุสาวรีย์ชัยฯ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยังร้องเพลงเต้นรำท่ามกลางสายฝน มันสวยเหมือนภาพฝัน

...ผมยืนมองภาพนั้นเหมือนคนละเมอ


ฝนซาเม็ดเอาเมื่อมืดค่ำ ผู้คนออกไปบนถนนกันอีกครั้ง มีคนเดินทางมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงผู้นำประกาศขออภัยผู้ใช้รถใช้ถนนอยู่เป็นระยะ ทั้งพยายามขอทางให้รถพยาบาลผ่านไปได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

ไม่นานนัก นายกรัฐมนตรีออกทีวีแถลงข่าวว่าจะเข้าดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพลเมืองโจร ที่ปิดถนนสร้างความวุ่นวาย ผู้ป่วยหลายรายได้รับความเดือดร้อน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตเพราะไปถึงมือหมอช้าเกินไป


ความมืดมิดของค่ำคืน การเคลื่อนไหวของกองทัพ และการโจมตีอย่างหน่วงหนักของสื่อรอบตัว ทำให้ผมรู้สึกหนาวในอก และเย็บวาบขึ้นมาที่สันหลัง

...หลายคนที่นี่คงรู้สึกไม่ต่างจากผม...

 

5


เกาะร้างแห่งนั้นเดิมมีมนุษย์สามเผ่าพรรณอยู่อาศัย เผ่าผิวแดงทำไร่ดอกไม้ ส่งออกขายไปถึงต่างเกาะ ดอกไม้ขึ้นชื่อคือดอกดาวเรือง มันทั้งหอมและเหลืองอย่างหาไม่ได้บนเกาะไหน เผ่าผิวเหลืองเชี่ยวชาญการค้า และร่ำรวยกว่าจากการเก็บค่าเช่าไร่ ชาวผิวขาวเป็นชนเผ่าเร่ร่อน อพยพสัญจร ไม่ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง ด้านการยังชีพ พวกนี้ไม่ฝักใฝ่อาชีพไหน เที่ยวเก็บกินผลไม้ และร้องเพลงกล่อมเมือง


เรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นเมื่อหินประหลาดก้อนหนึ่งร่วงลงจากฟ้า ในวันที่เก้า เดือนเก้า ปีที่ดาวเรืองส่งกลิ่นหอมแปลกไปทั่วมหาสมุทร หินก้อนนั้นแผ่รังสีเจิดจ้า สุกสว่างกว่าอาทิตย์และพระจันทร์ดวงใดๆ เนรมิตให้ทั้งเกาะดอกไม้...กลายเป็นสีเหลืองทอง


ชาวเกาะตื่นเต้น เรียกประชุมสภา

"สวรรค์ได้ส่งเทพเจ้าลงมาปกป้องคุ้มครองเกาะของเราแล้ว ข้าเห็นว่าเราควรอัญเชิญเทพเจ้าองค์นี้ไปไว้ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วจัดให้มีพิธีบูชาตามวาระ มีผู้ใดขัดข้องหรือไม่" หัวหน้าเผ่าผิวเหลืองเสนอกลางที่ประชุม


ไม่มีผู้ใดขัดข้อง หัวหน้าเผ่าผิวเหลืองกล่าวต่อ

"ถ้าเช่นนั้นทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ขอให้พวกเรานำของมีค่าของตนมาถวาย นับแต่นี้เป็นต้นไป ความสงบสุขของชาวเกาะเราคือเทพเจ้าองค์นี้ มีผู้ใดขัดข้องหรือไม่"


แล้วนับแต่นั้นเป็นต้นมา พิธีบูชาเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ก็กลายมาเป็นประเพณีอันดีงามของชาวเกาะดอกไม้ เลื่องลือไปไกลถึงชาวต่างเกาะ


ทุกค่ำคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ชาวเกาะดอกไม้ต่างพากันไปชุมนุมโดยพร้อมเพรียงที่หน้าผาถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์ หญิงพรหมจรรย์เก้านางที่ผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ออกไปเต้นรำท่ามกลางแสงจันทร์อย่างงดงาม จากนั้นหัวหน้าเผ่าผิวเหลืองเป็นผู้นำถวายเครื่องบูชา เป็นที่รับรู้ไปทั่วทั้งเกาะว่าสิ่งที่เทพเจ้าองค์นี้โปรดปรานคือเพชรสีน้ำเงิน ปูน หิน ที่ดินชุ่มน้ำ และดาวเรืองดอกที่หอมและเหลืองที่สุดบนเกาะ

 

6


            แดงเถื่อนบุกล้มประชุมอาเซียน-อัปรีย์แก๊งหัวครกลั่นไชโย ชาติพัง! ชัยชนะอัปยศ พาประเทศลงเหว  กุเรื่องอ้างนรกป่วนพัทยาตายไป  1  ศพ   บุกเข้าโรงแรมที่ประชุมผู้นำอาเซียนทั้งที่มีแค่คนเจ็บ จนรัฐบาลต้องยกเลิกการประชุมกะทันหัน  15  ผู้นำกลับบ้านทันที 

(ไทยโพสต์, 12 เมษายน 2552)

 

ผู้นำของเราเตรียมประกาศพักการต่อสู้ เพื่อรับฤดูสงกรานต์ที่กำลังจะล่องมา ทว่าสองวันมานี้สถานการณ์กลับเปราะบางและล่อแหลมขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงหัวรุ่งที่ผู้ชุมนุมร่อยหรอและกะปลกกะเปลี้ย เช้าวานผู้นำต้องประกาศระดมพลอย่างเร่งด่วน หลังได้ข่าวทหารเคลื่อนออกมาเพ่นพ่านอยู่ใกล้ๆ


วันนี้พวกเราส่วนหนึ่งอาสาเดินทางไปพัทยา เพื่อยื่นหนังสือให้ผู้แทนนานาชาติที่มาประชุมอาเซียน สถานการณ์ตึงเครียดเมื่อเกิดการปะทะกับกลุ่มชายฉกรรจ์เสื้อน้ำเงิน ข่าวลอยมาตามลมว่าคนเสื้อแดงเสียชีวิตแล้วหนึ่งศพ

 

ไม่รู้กลิ่นแห่งความตายหรืออย่างไรที่สะกดให้ผู้คนแต่งตัวออกจากบ้าน เดินทางมาที่นี่ ยิ่งมืดยิ่งค่ำผู้คนยิ่งเนืองแน่น


บรรยากาศอันอึมครึมแปรเปลี่ยนเป็นคึกคักเมื่ออาสาสมัครพัทยากลับมาถึง แล้วเรื่องเล่าจากดินแดนตะวันออกก็กลายเป็นสีสันที่ทั้งฉูดฉาด จัดจ้าน และหม่นเศร้าประจำค่ำคืน


เสียงป่าวประกาศวาระศัตรูแห่งชาติของนายกรัฐมนตรี...เราต่างทำเป็นหลงลืม

 

7


น่าแปลกที่นับแต่เทพเจ้าองค์นั้นอุบัติขึ้นบนเกาะดอกไม้ อากาศที่นั่นทั้งร้อนและแล้ง แม่น้ำทุกสายแห้งขอด น้ำในมหาสมุทรราวถูกสูบลงใต้บาดาล พิธีถวายเครื่องบูชาเมื่อคืนเพ็ญล่าไม่อาจสำเร็จลงได้ ด้วยดอกไม้ที่นำไปถวาย...ไม่ใช่ดาวเรืองดอกที่หอมและเหลืองที่สุดบนเกาะ


หลังความล้มเหลวในค่ำคืนนั้น วิปริตไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าทรุดต่ำเพียงเหนือยอดไม้ สายลมทุกสายสูญหายไปจากเกาะ แผ่นดินร้าวแยก สัตว์ใต้ดินดิ้นพล่าน สัตว์บนฟ้าร่วงลงมาตาย ดาวเรืองดอกสุดท้ายกำลังจะเหี่ยวเฉาลง และที่ยิ่งน่าเศร้า...ชาวเกาะที่ยากจนกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

"เพราะความโง่เขลาของพวกท่าน จึงเดือดร้อนมาถึงพวกเรา "


ในการประชุมสภา หัวหน้าเผ่าผิวเหลืองกล่าวโทษชาวผิวแดงไม่เลิกรา

"แล้วท่านจะให้พวกข้าทำเช่นไร ตอนนี้เกาะของเราแห้งแล้งเป็นทะเลทราย อย่าว่าแต่น้ำรดดาวเรืองเลย แม้แต่น้ำจะดื่มกินแต่ละวันยังไม่มี พวกข้าอดอยากล้มตายลงทุกวัน ท่านไม่เห็นรึ" หัวหน้าเผ่าผิวแดงโต้แย้ง "หากพวกท่านไม่แบ่งปันน้ำและอาหารที่สะสมไว้มากมายให้พวกข้าบ้าง พวกข้าก็จำเป็นต้องใช้หยาดเหงื่อ น้ำตา และเลือดที่กรีดจากศพของพวกข้าราดรดดาวเรืองต่อไป"


"
นี่พวกเขาใช้เลือดจากศพรดน้ำดาวเรือง! เช่นนี้เองดาวเรืองของพวกเขาถึงได้อุตริเป็นสีเลือด!" หัวหน้าเผ่าผิวขาวอุทานขึ้นอย่างตื่นตระหนก


"
นี่ท่านยังมีหน้ามาขอแบ่งน้ำและอาหารจากพวกข้าอีกรึ เหตุใดพวกข้าต้องแบ่งปันสิ่งที่พวกข้าทำงานหนักมาชั่วชีวิตกว่าจะหามาได้ให้คนเกียจคร้านและโง่เขลาเช่นพวกท่าน ไม่ใช่เพราะดาวเรืองสีเลือดของพวกท่านหรอกรึ เกาะที่เคยสงบสุขของพวกเราจึงได้เกิดอาเพศเช่นนี้"


"
แต่พวกข้าขายดาวเรืองให้พวกท่านในราคาแสนถูกตลอดมา" หัวหน้าเผ่าผิวแดงกล่าวด้วยความคับแค้น


"
นั่นไม่ใช่ธุระที่ข้าต้องรับฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้สภาแห่งนี้เป็นผู้ตัดสิน"

หัวหน้าเผ่าผิวแดงรู้ดีว่ามติสภาจะออกมาเช่นไร เขารู้ดีอีกว่าเหตุใดชาวผิวขาวจึงดำรงอยู่ได้ ไม่อดอยากล้มตายเหมือนพวกเขา


"
ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องกราบไหว้หินก้อนนั้นอีกต่อไป ในเมื่อมันเป็นแค่ก้อนหิน!"

สิ้นคำประกาศของหัวหน้าเผ่าผิวแดง สงครามดอกดาวเรืองก็อุบัติขึ้น!

 

แล้วจู่ๆ หินประหลาดก้อนนั้นก็ทรงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ทุกครั้งที่ชาวผิวแดงเปล่งวาจาจาบจ้วงล่วงเกินมัน ร่างกายของพวกเขาจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อย...ทีละน้อย...ทีละน้อย

จนสุดท้าย...พวกเขากลายร่างเป็นสัตว์สี่เท้า


เป็นเรื่องโจษขานกันไปทั่วทั้งเกาะ ว่านั่นคือผลกรรมที่ชาวผิวแดงกระทำต่อเทพเจ้าที่แสนศักดิ์สิทธิ์ ความเกลียดชังได้แตกหน่อเพาะลามไปเหมือนเชื้อโรคร้าย

และในสงครามที่คู่ต่อสู้มีกำลังไม่ทัดเทียมกัน อยุติธรรมเท่านั้นที่เบ่งบานได้

สัตว์สี่เท้าชนิดนั้นถูกจับมัดประจานไว้กลางเมือง ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างใช้หอกดาบและเหล็กแหลมรุมทิ่มแทงพวกมันด้วยความเกลียดชัง กระทั่ง...พวกมันค่อยๆ ตายลงอย่างทุกข์ทรมาน

ไม่มีที่ดินตารางนิ้วใดบนเกาะดอกไม้แห่งนั้นที่ว่างเปล่าจากร่างอันแหลกราญของปีศาจสี่เท้า เลือดสีดำอันเน่าเฟะของพวกมันไหลนองลงสู่มหาสมุทรจนท่วมท้น


ชาวผิวขาวและชาวผิวเหลืองอพยพหนีหายไปจากเกาะ

นับแต่นั้นในค่ำคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะเล็กเกาะน้อยในมหาสมุทรแห่งนั้น ต่างได้ยินเสียงร้องครวญครางของดวงวิญญาณอนาถา...ล่องลอยโหยหวนมาจากที่ไกลแสนไกล


มันเป็นนิทานเก่าแก่ที่ร่ำลือกันมานาน ว่าเกาะดอกไม้แห่งนั้นตกอยู่ใต้คำสาปของเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปี และจะเป็นเช่นนี้...ตลอดไป!

 

8

เสื้อแดงทุบรถนำขบวนที่กระทรวงมหาดไทย นายกฯ-รมต.หนีวุ่น จนท.เจ็บ "สุเทพ" ยันรัฐบาลจำเป็นต้องประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน โฆษก ทบ. แจงเคลื่อนพลรักษาความปลอดภัย วอนปชช.อย่าตื่นตระหนก เสื้อแดงเชียงใหม่ประกาศเคลื่อนพลกว่า 1 พันคนจากศาลากลางฯ เตรียมปิดถนนใหญ่
                                                                                                         (คมชัดลึก, 12 เมษายน 2552)

 

ช่วงหลังแม่ไม่ค่อยได้มาชุมนุม แกป่วยกระเสาะกระแสะนับแต่วันเดินขบวนใหญ่ จึงได้เพียงเฝ้าฟังข่าวทางวิทยุชุมชน


ผมเองก็เริ่มอ่อนล้า ตั้งใจว่าจะสะสางงานที่คั่งค้างไว้ หลายวันมานี้ผมไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากจดจ่อกับการเคลื่อนไหวชุมนุม หากกระแสข่าวที่ร้อนแรงมาตั้งแต่เช้า ทำเอาผมนั่งไม่ติด


เช้านี้ผู้นำเยือนพัทยาถูกตำรวจเข้าจับกุมที่บ้าน (ย่านฝั่งธนฯ) จากนั้นนำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ บินหายไปยังสถานที่นิรนาม พร้อมผู้นำสำคัญอีกคนที่อาสาติดตามไปเป็นเพื่อน ขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม พวกเราทั้งร้อนรุ่มและค้างคาใจ หลายคนมุ่งหน้าไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อสอบถามความเป็นไปจากนายกรัฐมนตรี


ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ผู้นำที่เหลือผลัดกันขึ้นเวทีร้องหาความยุติธรรม

ผมตัดสินใจออกจากบ้าน เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

บ่ายนั้นมีข่าวลือกระจายไปตามท้องถนนว่าคนเสื้อแดงถูกยิงตายสองศพ ที่กระทรวงมหาดไทย!

 

คนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแดดเย็นลง และมากขึ้นจนเนืองแน่นเต็มถนนทุกสายที่โอบล้อมทำเนียบรัฐบาล ผมเริ่มอุ่นใจ คิดเอาง่ายๆ ว่าหากถูกท้าทายด้วยผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสน กฎหมายพิเศษฉบับนั้น...คงเป็นได้แค่เศษกระดาษ


มีคำยืนยันจากผู้นำที่ร่วมเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยว่าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี ใช้ปืนกลอูซีกราดยิงใส่คนเสื้อแดงอย่างเหี้ยมโหด เชื่อแน่ว่ามีคนตาย แต่ศพถูกลากไปเก็บซ่อนไว้ ค้นหาไม่พบ


เราต่างพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ในหัวใจห้องสุดท้าย จึงร้องรำทำเพลงกันอย่างเบิกบานใจ หรือเพราะแท้จริงเราเชื่อในสูตรการต่อสู้เก่าๆ ที่บอกเล่าต่อๆ กันมา

"เราชนะแล้ว"

พี่ชายที่นั่งข้างๆ หันบอกผมด้วยอารมณ์ลึกลับ

ผมพยักหน้า

ใช่! เราชนะแล้ว

...ท่ามกลางกลิ่นสาปแห่งความตาย เราได้กลิ่นแห่งชัยชนะ!

 

9


วิทยุชุมชนที่แม่ฟังประจำถูกไล่ปิดจนไม่เหลือสักสถานี ข่าวทีวียิ่งทำให้แกหงุดหงิด

"นั่นไง ศพลอยขึ้นมาแล้ว ไหนว่ามีคนตายแค่สองคนที่นางเลิ้ง"

แม่โวยวายหลังข่าวเช้ารายงานว่าพบศพสองชายฉกรรจ์ในแม่น้ำเจ้าพระยา

"ไอ้พวกนั้นมันไม่ใช่คน พวกมันฆ่าคนบริสุทธิ์ ไม่ต้องถึงมือทหารหรอก ชาวบ้านที่รักชาติเขาคงทนไม่ไหว รุมประชาทัณฑ์เอาน่ะสิ" พี่ชายขัดคอ

แม่แปร๊ดขึ้นทันที

"พวกนั้นมันไม่ใช่ชาวบ้าน!"

พี่ชายหูตาขวาง

"คนโง่ๆ อย่างแม่นี่แหละ ไอ้พวกเลวนั่นมันชอบนัก"

แม่เขวี้ยงแก้วแตกดังเพล้ง! ก่อนแอบไปนั่งร้องไห้ในครัวจนดึกดื่น

 

ผมแต่งตัวออกจากบ้านทันทีที่เพื่อนโทร.มาแจ้งข่าว ขึ้นรถเมล์ไปสนามหลวงเพื่อชวนลุงทองแดงไปด้วย

สิ่งที่ผมตามหา สิ่งที่ลุงทองแดงตามหา สิ่งที่เราตามหา...เริ่มส่งกลิ่นแล้ว!

กว่าอาทิตย์แล้วที่ลุงทองแดงกับเมียลงทุนเช่าห้องถูกๆ แถวสนามหลวงไว้รอฟังข่าวเพื่อนที่หายไป ช่วงหลังแกให้เมียปักหลักคอยอยู่ห้องเช่า ตัวแกออกไปกับผมทุกวัน


เมื่อไปถึงวัดแห่งนั้น เราพบทหารเดินกันให้ขวักไขว่ ควันไฟจากเมรุเผาศพยังคุกรุ่น ท่ามกลางสายตางุนงงสงสัย มีเพียงคำอธิบายอันแสนแปลกประหลาด ทหารมาพักค้างระหว่างปฏิบัติภารกิจในเมืองนี้


เรากลับออกมาด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล (ที่คั่งค้างอยู่เต็มหัวใจ) เหลือบมองชายชรา เห็นแกหน้าเครียด

"เดินไหวมั้ยลุง" อีกไกลกว่าจะถึงป้ายรถเมล์

แกพยักหน้า ก่อนออกเดินนำ ผมเดินตามไปเงียบๆ

"มะรืนผมต้องกลับแล้ว คงไม่ได้เจอไอ้ทองพลุ" ชายชราบอกหลังเราเดินมาถึงป้ายรถเมล์ แกหย่อนก้นลงนั่ง "แล้วแต่เวรแต่กรรมของมึงเถอะไอ้ทองพลุเอ๊ย กูหมดปัญญาแล้ว" ดวงตาอ่อนล้าคู่นั้น...ไม่รู้ล่องลอยไปยังที่ใด


ลุงทองพลุคือเพื่อนผูกเสี่ยวของแกที่คบหากันมานาน บ้านอยู่ติดกัน โตมาด้วยกัน กว่าหกสิบปีไม่เคยแยกจากกันไปไหน

"ผมกับมันเคยเข้ากรุงเทพมาทำงานก่อสร้างสมัยยังหนุ่ม สี่สิบกว่าปีแล้ว พอได้เมียก็พากันกลับบ้านนอก ตั้งแต่นั้นไม่เคยมาเหยียบกรุงเทพอีกเลย จนเกิดรัฐประหาร ไอ้ทองพลุมันรักทักษิณ รักประชาธิปไตย มันว่ามันยอมไม่ได้ มันอยากมาสู้ เอ้า มาก็มา กูมาด้วย ไม่คิดว่ามากรุงเทพหนนี้ มันจะไม่ได้กลับไปด้วยกัน"

ดวงตาของชายชราแดงก่ำ หยาดน้ำซึมออกทางหางตา แกรีบยกมือป้าย ผมพลอยพูดอะไรไม่ออก ลำคอตีบตื้อ ฝนตั้งเค้ามาทางทิศใต้ สายลมในเมืองแล้งพัดตีเส้นผมหงอกขาวของชายชรากระจุยกระจาย ใบหน้ากร้านกรำของแกยิ่งดูเก่าแก่และเศร้าหมอง

"ทำไมพวกลุงรักทักษิณ" ผมถาม หลังจากเงียบกันไปนาน

"เราไม่ได้รักทักษิณเหมือนที่เรารักลูกรักเมีย รักญาติพี่น้องของเรา แต่ตอนทักษิณเป็นนายกฯ ชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีขึ้น เจ็บป่วยก็ไม่ลำบากเหมือนเก่า แต่ก่อนผมกับเมียอยู่เพิง ฝนตกต้องวิ่งหาที่หลบกันหัวซุกหัวซุน มาปลูกบ้านอยู่เป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ก็ตอนทักษิณพักหนี้ให้นี่แหละ มันพอจะได้หายใจหายคอบ้าง ผมชอบใครผมก็เลือกคนนั้น ผมใช้สิทธิของผม แล้วพวกนั้นมันเป็นใครมาบอกว่าพวกผมโง่ พวกผมเลือกผิด เราเลือก เขาล้ม เราเลือก เขาล้ม เขาตบหน้าเรากี่ครั้งแล้ว จะข่มเหงกันไปถึงไหน ความหวังของเราก็มีแค่นี้ ตอนนี้มันพังหมดแล้ว!"


10


          แดงคลั่ง-เผาเมือง สลายม็อบปะทะเดือด ยึดรถแก๊สเขย่ากรุง! ไล่ยิงชาวบ้านดับแล้ว 2 คนกรุงเทพสุดทน ลุกฮือรวมพลังจับอาวุธต่อสู้ สงครามกลางเมืองปะทุ

(แนวหน้า, 14 เมษายน 2009)

 

ผมปักหลักปูผ้าพลาสติกนั่งฟังการปราศรัยอยู่บริเวณริมคลองผดุงฯ สังเกตว่ายิ่งดึกคนยิ่งบางตา เสียงผู้นำบนเวทีประกาศบ่อยๆ ว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันไปจนถึงเช้า


ไม่รู้เวลาเท่าไรแน่ที่ผู้นำประกาศขอกำลังไปเสริมที่สามเหลี่ยมดินแดง คนหนุ่มทั้งวัยรุ่นวัยฉกรรจ์ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านไปหลังเวทีกันเป็นแถว ครู่เดียวทัพมอเตอร์ไซค์ก็เคลื่อนขบวนออกมาด้วยความฮึกเหิม เราส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจพวกเขาไปจนสุดทาง


การปราศรัยบนเวทียังเต็มไปด้วยสีสัน ผมเผลอหลับไปเมื่อใกล้ตีสอง สักตีสามได้ยินเสียงผู้นำบนเวทีปลุกให้ทุกคนตื่น เห็นว่าทหารจะเคลื่อนเข้าสลายการชุมนุมในเวลาอันใกล้ ผมลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ก่อนออกเดินสำรวจทั่วบริเวณ


พวกเราส่วนใหญ่ลุกตื่นกันแล้ว ขวดน้ำและผ้าปิดจมูก เราเตรียมกันไว้ตั้งแต่บ่ายวันวาน การส่งสัญญาณแตกหักของรัฐบาลหลายครั้งหลายหนในช่วงหลายวันมานี้ ทำให้เราตื่นเต้นน้อยลง


ผมนั่งลงสูบบุหรี่รอเวลาตรงเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ หวั่นใจบ้างเล็กน้อยเมื่อนึกถึงหญิงสาวโชคร้ายคนหนึ่ง...ซึ่งถูกแก๊สน้ำตาคร่าชีวิตไปเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว


แต่นั่นเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไป ให้ตายเถอะ อะไรทำให้เราหลงเข้าใจไปว่า อาวุธร้ายแรงที่สุดที่รัฐบาลชุดนี้จะใช้จัดการกับเรา...คือ...แก๊สน้ำตา!

 

ราวตีห้า ฝนโปรยลงมาหนาและหนัก แต่มันไม่เพียงพอจะทำให้ใครที่นี่สะท้านสะเทือน พวกเขายังคงตั้งด่านท้าสายฝนอยู่ตรงเชิงสะพานมัฆวานฯ ส่งเสียงปลุกใจกันฮึกเหิม


สักพักหนุ่มรุ่นคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาตะโกนแจ้งข่าวร้าย

"สามเหลี่ยมดินแดงถูกตีแตกแล้ว มีพวกเราถูกยิงตาย! "

เสียงตะโกนปลุกใจตรงเชิงสะพานมัฆวานฯ กลายเปลี่ยนท่วงทำนองจากฮึกเหิมเป็นกราดเกรี้ยว สายฝนเม็ดขาวถั่งโถมลงมาหนาและหนักกว่าเก่า ผมเดินเข้าไปหลบในเต็นท์ผ้าใบใกล้ๆ นั้น พวกเราที่นั่งอยู่ที่นั่นจ้องหน้าจอทีวีกันเคร่งเครียด เสียงปืนดังเปรี้ยงปร้างอยู่ตลอดเวลา ผู้สื่อข่าวภาคสนามรายงานว่าคนเสื้อแดงกำลังวิ่งหนีตายหัวซุกหัวซุน

 

ทันทีที่ฟ้าสาง ภาพแห่งความจริงปรากฏกระจ่างอยู่ตรงหน้า ชัยชนะอันหอมหวานตรงปลายมือคว้า...ถูกผลักถอยห่างไปเป็นเพียงความใฝ่ฝัน


เราถูกปิดล้อมไว้หมดทุกทางด้วยกองทัพ ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารติดอาวุธหนักตั้งแถวตระหง่านอยู่ตรงหน้า


ผู้พ่ายแพ้จากสามเหลี่ยมดินแดงเริ่มเดินทางกลับมาถึง เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งร่อนมอเตอร์ไซค์แบปลอกกระสุนที่เก็บมาได้ไปตามทาง ปากร้องตะโกน

"มันยิงพวกเราจริงๆ! มันยิงพวกเราจริงๆ!"


ผู้รอดตายคนแล้วคนเล่าหอบร่างอันบอบช้ำขึ้นเวทีบอกเล่านาทีแห่งความตาย

"รัฐบาลเลว! ฆ่าประชาชน รัฐบาลเหี้ย! มึงฆ่าพวกกูทำไม " หญิงสาวคนหนึ่งกรีดร้องโหยหวนราวคนเสียสติ


ราวโลกพลิกคว่ำ บรรยากาศรอบตัวดำทะมึนและน่าสะพรึง กลิ่นแห่งความตายลอยมาชนปลายจมูก และช่างน่าใจหาย...ที่ครั้งนี้ผมได้กลิ่นสาปแห่งความตายพร้อมกลิ่นกระอักกระอ่วนใจของความพ่ายแพ้!

 

เรื่องเล่าแห่งความตายที่สามเหลี่ยมดินแดง ทำให้พวกเขาลนลานวิ่งหาอาวุธมากุมไว้ ทั้งเศษไม้ ก้อนอิฐ ก้อนหิน บางคนวิ่งไปรื้อแผ่นไม้จากซุ้มกาชาดที่เพิ่งร้างไปมายึดถือ เสียงงัดไม้แตกดังลั่นปึงปังอยู่ตลอดเวลา วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินหลงทางอยู่บนเกาะร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งท้องฟ้าทรุดต่ำเพียงเหนือยอดไม้ ผืนดินถูกโอบไว้ด้วยท้องทะเลดำ


พวกเขายึดกุมท่อนไม้ในมือไว้อย่างพร้อมจะฟาดฟัน ดวงตาเพ่งมองไปยังชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบสีเขียวที่ตั้งแถวพร้อมประจัญบานอยู่ตรงหน้า บางคนวิ่งไปเข็นรถสุขาที่จอดอยู่ใกล้ๆ ไปปิดทางเข้า หลายคนปีนขึ้นไปบนนั่งร้านตั้งกล้องนักข่าวพร้อมท่อนไม้คู่ใจ ชายชราคนหนึ่งโวยวายขึ้นด้วยความคับแค้น

"มึงยิงพวกกูได้ยังไง พวกกูมีแต่มือเปล่าๆ!"

หญิงสาวคนหนึ่งยืนน้ำตาไหล

...ผมยืนมองภาพสะท้อนใจเหล่านั้นด้วยความร้าวรวด...

 

ท่ามกลางวงล้อมแห่งความตาย ข่าวโหมกระพือไปดั่งเปลวเพลิงว่าบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจร้าย ภายใต้ใบหน้าทุกข์ร้อนของนายกรัฐมนตรี เสียงตะโกน "ฆ่ามันๆ" ดังขึ้นทั่วทุกทิศ สายตาทุกคู่มองมาอย่างเย็นชา...ครั้นเสียงปืนแตก บนลานประหารแห่งนั้น...ก็เปื้อนเปรอะและคาวคลุ้งไปด้วยเลือด!...

 

11


ในที่สุดเราก็ค้นหามันไม่พบ ในที่สุดข้อถกเถียงระหว่างแม่และพี่ชายก็เป็นอันได้ข้อยุติ ความจริงของพี่ชายได้รับการยืนยัน มันถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟังบ่อยเข้าผมชักเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมามีคนตายแค่สอง ที่นางเลิ้ง เป็นชาวบ้านบริสุทธิ์


ลุงทองแดงกับเมียเดินทางกลับอุดรฯ ไปหลายวันแล้ว

"หรือบางทีอาจเป็นพวกเราที่หลงผิดเชื่อคำผู้นำพวกนั้นนะลุง"

ผมเปรยขึ้นอย่างท้อแท้ ในวันสุดท้ายที่ได้พบกัน

ชายชราตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนย้อนไล่เรียงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นให้ฟังอย่างแจ่มชัด...

"มีพวกเราอยู่ที่นั่นประมาณสามร้อยคน พวกมันก็มากันหลายร้อย มันยิงแก๊สน้ำตาใส่ พวกเราแสบตาถอยร่น หลายคนเอาผ้าชุบน้ำเช็ด แล้วก็บุกเข้าไปใหม่ ซักพักปืนที่ยิงขึ้นฟ้าก็จ่อมาที่พวกเรา ตอนแรกผมยังไม่คิดว่ากระสุนจริง แต่พอเห็นผู้หญิงสามคนที่วิ่งเข้าไปก่อนโดนกราดยิงหงายท้อง เลือดไหลออกมา ถึงได้รู้ว่าโดนของจริงเข้าแล้ว ผมหมอบลงกับพื้น พยายามดึงไอ้ทองพลุให้หมอบลงด้วยกัน แต่ไม่ทัน มันวิ่งสวนเข้าไป แล้วก็โดนกระสุนทรุดลง ผมหมอบเข้าไปจับตัวมันเขย่า แต่มันไม่ฟื้น พวกมันกราดยิงมาอีก ผมคลานหนี พอรู้ว่ากระสุนจริงพวกเราก็หนีตายกันจ้าละหวั่น ยิงเสร็จพวกมันก็ลากเข้าไปไว้ข้างหลัง แล้วเอารถน้ำฉีดคราบเลือด"


"
พวกเราบางคนพยายามเข้าไปแย่ง แต่สู้ไม่ไหว บางคนได้มาแต่กางเกง" คราวนี้เมียลุงทองแดงที่นิ่งเงียบมาตลอดพูดขึ้น น้ำเสียงของนางโศกเศร้า "มันทำกับเราเหมือนหมาข้างถนน"

"แล้วมีคนตายจริงๆ ไหม" ผมยังอยากได้คำยืนยัน


ลุงทองแดงเหลียวมองหน้าเมีย ก่อนหันมองหน้าผม ดวงตาของแกเปล่งแสงแปลกระคนเศร้า

...ผมไม่เคยลืมคำพูดประโยคนั้นของชายชรา

"อย่างน้อยก็มีใครคนหนึ่งได้ตายไปแล้วจากใจของเรา ใครคนที่มันมองเห็นคนเป็นหมา เห็นหมาเป็นคน!!"



บล็อกของ ที่ว่างและเวลา

ที่ว่างและเวลา
ดอกเสี้ยวขาว เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนพี่น้องลาหู่บ้านนาน้อย ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และได้กำลังใจอย่างเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เมื่อได้ร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือพิธีมอเลเว ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเคารพธรรมชาติ อย่างนอบน้อม ไก่ หมู ข้าว อาหาร ผลไม้ ของเซ่นไหว้ที่พี่น้องชาวบ้านร่วมกันนำมาบูชา ถูกจัดเตรียมไว้ พร้อมที่จะทำพิธีกรรม บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ กลิ่นธูปได้ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณงาน ท่ามกลางความเชื่อที่มีต่อผืนป่า ผีป่า ที่คอยปกปักรักษาดงดอยแห่งนี้   อะโหล ปุแส ผู้นำบ้านนาน้อย ได้อธิบายคำว่า มอ เลเว คำว่า มอ…
ที่ว่างและเวลา
อาภัสสร สมบุลย์วัฒนากุล  เสียงเพลงเดือนเพ็ญจากการขับร้องของฉันจบลง ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมงานสามร้อยกว่าคน ที่หอประชุมในมหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา งานนี้ร่วมจัดโดยเพื่อนพ้องจากพม่าที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเพื่อนพ้องคนไทย เพื่อช่วยระดมทุนไปให้พี่น้องชาวพม่าผู้ประสบภัยจากพายุไซโคลนนาร์กิส ฉันบอกพวกเขาว่าฉันไม่ใช่นักร้อง แต่อยากมาร้องเพลง...เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้ทั้งผู้ประสบภัย และเพื่อนชาวพม่าที่อยู่ในไทย ให้สู้ต่อไปอย่างมีความหวัง คืนนั้น ฉันได้เพื่อนใหม่อีกมากมาย…
ที่ว่างและเวลา
อัจฉรียา เนตรเชยต่อจากตอนที่แล้วผู้เขียนกับเพื่อนชาวเวียดนามถกเถียงกันว่า ความจริงแล้วชาวม้งดำที่นี่ “เวรี่แอ็กทีฟ” ในระบบตลาด แต่ทำไมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น ที่โรงแรม ร้านอาหาร หรือมัคคุเทศน์ (ซึ่งก็เป็นธุรกิจหนึ่งในระบบตลาด) แทบจะไม่มีชาวม้งดำเข้าไปเป็นลูกจ้างเลย เพื่อนเวียดนามบอกว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะพวกเขามีการศึกษาต่ำ
ที่ว่างและเวลา
อัจฉริยา  เนตรเชยเมื่อสัปดาห์ก่อนผู้เขียนซึ่งเป็นนักเรียนเรียนภาษาเวียดนามที่ฮานอยได้ใช้เวลา 3 วันไปเป็นนักท่องเที่ยวที่ซาปา (Sa Pa) เมืองในหมอกบนพื้นที่สูงของภาคเหนือของเวียดนาม ภูเขาที่นี่สูงเสียดฟ้าสลับซับซ้อนกันหลายลูกจริงๆ จนภูเขาบ้านเราสมควรถูกเรียกว่า “ฮิล” มากกว่า “เม้าเท่นท์” นาขั้นบันไดก็มีให้เห็นกันอย่างดาษดื่นจนกลายเป็นโลโก้ของเมืองนี้ หมู่บ้านม้งดำ และเย้าแดงกลางหุบเขา น้ำตกและลำธารใสๆที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านมีให้เห็นตลอดสองข้างทาง ทำให้ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนอันสุดแสนจะโรแมนติกของคู่รัก เมื่อต้นปีใครๆ ก็บอกว่าหิมะตกที่ซาปาสวยงามมาก...อยากเห็น (…
ที่ว่างและเวลา
สัมภาษณ์-เรียบเรียง : บัณฑิต เอื้อวัฒนานุกูลรศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมณ์ เคยเป็นอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเชี่ยวชาญภาษาทิเบต ทำวิจัยเรื่องทิเบตมานานนับ 10 ปี เคยเดินกราบอัษฎางคประดิษฐ์ (เดิน 3 ก้าว ก้มกราบ 1 ครั้ง) บนเส้นทางของนักแสวงบุญอันเก่าแก่ทุรกันดาร ณ เขาไกรลาสเป็นระยะทางกว่า 80 กม. ปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิพันดารา (Thousand Stars) ซึ่งเป็นองค์กรสร้างการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องพุทธศาสนาแบบวัชรยานในสังคมไทย และยังคงเดินทางไปทิเบตอยู่เสมอมิว เยินเต็น บวชเรียนใต้ร่มกาสาวพัตร์ของพุทธศาสนาวัชรยานในบ้านเกิดที่ทิเบตมานาน 27 ปี เป็นผู้ติดตาม อ.กฤษดาวรรณ…
ที่ว่างและเวลา
ภู เชียงดาวพะโด๊ะ มาน ซาห์อดีตเลขาธิการสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง กี่ชีวิต…ที่เคว้งคว้างกลางป่ากี่ร่างที่ผวาลอยละลิ่วลับดับสูญนี่คือผลพวงของสงครามนี่คือการกระทำของศัตรูผู้โหดเหี้ยม ผู้บาปหนาและน่าละอายที่คอยกดขี่ข่มเหง เข่นฆ่า ผู้คนหญิงชาย, บริสุทธิ์ผู้รักสันติและความเป็นธรรมเถิดไม่เป็นไร...เราจะไม่ทุกข์ ไม่ท้อใบไม้ใบหนึ่งถูกปลิดปลิวร่วงหากบนก้านกิ่งนั้นยังคงมีใบอ่อนแตกใบให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยังคงมุ่งมั่นกันอยู่ใช่ไหม นักรบผู้กล้ากับความฝัน ความกล้าในแผ่นดิน ‘ก่อซูเล’ปลุกเร้าจิตวิญญาณเพื่อสืบสานตำนานการต่อสู้เพื่อรอวันทวงคืนผืนแผ่นดินเกิดยังจำกันได้ไหม...…
ที่ว่างและเวลา
‘ดอกเสี้ยวขาว’   การที่ต้องลำบากเดินลัดเลาะไปตามร่องเขา ไต่ขึ้นไปบนความสูงชัน นานหลายชั่วโมง เพียงเพื่อไปกวาดใบไม้บนสันดอยสูงนั้น หลายคนอาจมองเป็นเรื่องธรรมดาไม่สำคัญ แต่สำหรับผมกลับมองว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่และไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ที่นั่น, บนสันดอยสูง...พวกเขาช่วยกันกวาดใบไม้ ก่อนที่จะจุดไฟเผา ซึ่งไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปร่วมกันหมดทุกหลังคาบ้าน มีทั้งผู้เฒ่า เด็กเยาวชน ผู้ใหญ่ ผู้นำทางศาสนา ฯลฯ “ตอนนี้ถ้าทางการเขาสั่งห้ามเผาป่า จะทำได้มั้ย?...” ผมลองแหย่ถามชาวบ้าน “แล้วถ้าเขาสั่งห้ามกินข้าว เราจะทำได้มั้ย...ถ้าเชื่อ เราก็ไม่ได้กินข้าว ไม่ได้กินอะไรเลย...”…
ที่ว่างและเวลา
เรื่อง/ภาพโดย วัชระ สุขปาน ลำธารสีเทา ขัดเงา จนเกิดริ้วสีเงิน ฝูงปลาพลิกพลิ้วตัว สะท้อนแสงกลับไปบอกเวลากับดวงอาทิตย์
ผักกูดอ่อน ยอดใบบอน ยอดผักหนาม ฟ้อนอรชรอยู่ริมคุ้งน้ำ ถ้ายังไม่มีใครไปเก็บ ก็จะเป็นสุมทุม ที่วัวควายชอบซุ่มตัวต้นไม้ล้มขวางลำธารโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นเพราะธรรมชาติ ก็พอเป็นสะพานใช้ข้ามไปถึงเขียงนา ก็ยังมีขนุน มะม่วง ส้มโอ ถั่ว ข้าวโพดสาลี พริก มะเขือ และพืชผักๆ ฯลฯ ให้ได้เห็น และเก็บกินก่อไฟ ต้มน้ำชา นั่งสนทนา และ บ้างเคี้ยวเมี่ยง สูบยาขี้โย
ที่ว่างและเวลา
ธีรเชนทร์  เดชานักสังคมสงเคราะห์1“หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ” เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งบอกเล่าให้ฟัง “วันนี้หนูมาหาแม่อีกคนหนึ่งของหนู…”“แล้วหนูจำได้ไหมว่าแม่หนูรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง” ผมลองเอ่ยถามเธอดู ภายหลังคำถาม เด็กหญิงทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง....เธอนิ่งนานในความเงียบงัน.....แต่ในแววตาที่ไร้เดียงสานั้น เหมือนจะบอกกับผมอยู่อย่างนั้นว่าเธอจำแม่ของเธอได้ดี...เธอจำได้นะ...ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงให้คำตอบในสิ่งที่ผมถามเธอก่อนหน้านี้ไม่ได้  แม่...ที่เธอกำลังมาหาในวันนี้นั้น คือแม่แท้ๆ ที่อุ้มท้องเธอมา เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ด้วยเหตุผลและความจำเป็นบางอย่าง…
ที่ว่างและเวลา
‘ลีนาร์’ “ยามเมื่อเราต่างพูดถึงความสุข จะเกิดพลังขึ้นและสร้างคุณค่าขึ้นมาได้”คำกล่าวจากใบหน้ายิ้มแย้มของ ลิซ่า คาเมน เจ้าของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง H-FACTOR: where is your heart? ที่เธอและลูกสาวสำรวจธรรมชาติของความสุขของผู้คนข้ามทวีปผ่านคำถามง่าย ๆ ‘ความสุขของคุณคืออะไร’ย้อนไปในวันหนึ่ง ขณะที่ลิซ่าปั่นจักรยานผ่านตอนเหนือของประเทศอินเดีย เธอฉุกคิดขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรให้ชาวอินเดียจะแสดงออกถึงความสนุกและความสุขอย่างแท้จริงท่ามกลางความอัตคัดขัดสนที่ยังคงดำเนินอยู่ในเวลานั้น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของหัวข้อหลักของสารคดีซึ่งเธอและเคย์ล่า ลูกสาววัย 9 ขวบของเธอ…
ที่ว่างและเวลา
‘โถ่เรบอ’หนังสือนวนิยายขนาดสั้น เรื่อง  “เพลงรักช่อดอกไม้” ของ ‘พิบูลศักดิ์ ละครพล’ ที่เคยตีพิมพ์เป็นตอนๆ ใน ‘สกุลไทย’ เมื่อปี 2520 ก่อนสำนักพิมพ์จันทร์ฉายจะนำมารวมเล่มครั้งแรก ในปี 2521 นั้นเปิดฉากด้วยเนื้อเพลงปกาเก่อญอ ที่ชื่อ “แพลาเก่อปอ”“แพลาเก่อปอ ในคืนพระจันทร์ส่องแสง ฉันนั่งเหม่อมอง คอยจ้องแทะนาเต่อกาฉันคอยแสนคอย บะฉ่าเตอถี่บะนา เส่ นอ ถ่อแย เมื่อฉันเคียงคู่กับเธอแมแหม่แคอี ฉันต้องอยู่เดียวเปลี่ยวดายมองหาคู่เคียง บะฉ่าเตอถี่เลอบาโอ้ยอดดวงใจ  แคอีเนอโอะแพแลโปรดจงเห็นใจ เกอหน่าเยอพอคีลา”เพลงนี้ติดหูชาวปกาเก่อญอยาวนานมากว่าสามสิบปี ถือได้ว่าเป็นเพลงยุคแรกๆ…
ที่ว่างและเวลา
‘ฐาปนา’ ผมพบเขาในวันที่เชียงใหม่ยังเปียกปอนจากสายฝน เขาแต่งกายเรียบง่าย บุคลิกคล้ายนักบวช ดูแข็งแรงเหมือนคนอายุสามสิบกว่าๆ  เมื่อได้สนทนา แม้น้ำเสียงเป็นกันเอง แต่ก็แฝงความเคร่งครัดไม่น้อย เขาคือผู้ริเริ่มการเขียน “แคนโต้” บทกวีสามบรรทัดจำนวนสี่ร้อยบทเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ,เป็นผู้ก่อตั้งเวบไซต์ ไทยแคนโต้ (www.thaicanto.com) เมื่อสองปีที่แล้ว และกลายเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดของบทกวีสามบรรทัด มีแคนโต้นับพันนับหมื่นบท ปรากฎอยู่ในเวบไซต์แห่งนี้ล่าสุด เขามีผลงานวรรณกรรมขนาดยาวแปดร้อยหน้า ที่ชื่อ “โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก”โดดเดี่ยว และ เด็ดเดี่ยว น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดสำหรับตัวเขา…