Skip to main content

 

การเขียนเล่าเรื่องเป็นอะไรที่ยากมากเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะเริ่มเขียนอย่างไรให้คนอ่านได้ประทับใจต่อตัวอักษรและความรู้สึกที่ต้องการถ่ายทอด แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องเล่าก็มีมากมายเพราะเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองใช้ชีวิตมาประมาณหนึ่งแล้ว

การเรียงความเมื่อก่อน ตามหลักการที่เรียนมาก็ต้องมี คำนำ เนื้อเรื่อง แล้วก็สรุป งั้นมาส่วนที่สองเลยแล้วกัน ส่วนเนื้อหา เริ่มเรื่องเลยนะ เมื่อก่อนตอนสมัยประถมได้เขียนเรียงความ เรื่อง ส่วนยางพารา แล้วได้รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รางวัล นำรางวัลกลับมาอวดที่บ้าน ทุกคนที่บ้านต่างชื่นชมกันใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความมั่นใจในการเรียงความก็ลดน้อยลงเพราะเขียนเรียงความส่งแต่ก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากคุณครู เลยคิดในใจมาเสมอว่า เราคงไม่มีความสามารถในด้านนี้อีกแล้ว ที่ผ่านมามันก็แค่ความบังเอิญที่ได้รางวัลและผู้คนรอบข้างก็ไม่มีใครเห็นความสามารถของเราในตอนนั้นด้วย ทั้งเพื่อน คุณครู ทุกคนต่างมองเราว่า เป็นเด็กด้อย และความคิดของเด็กในตอนนั้น เราจึงเลือกที่จะเชื่อคนรอบข้างไม่ได้เชื่อความสามารถในตัวเองของตัวเอง จึงทำให้หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเราก็ไม่ได้เข้าร่วมรายการประกวดอะไรอีกเลยเพราะยังฝั่งใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็เหมือนคำพูดที่เขาพูดกันว่า ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วใครจะเชื่อมั่นในตัวเรา แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลแค่นั้น ยังส่งผลมาถึงอนาคต จากเด็กที่เคยมีความมั่นใจในตัวเอง เคยเห็นทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงาม ทุกอย่างกับเปลี่ยนแปลงไปหมด ไม่มีความมั่นใจ ทุกอย่างบนโลกใบนี้มีแต่ความยาก เราไม่สามารถทำได้หรอก นี้คือคำที่ติดอยู่ในหัวตลอดเมื่อเราจะลงมือทำอะไร จึงทำให้ส่งผลเสียมาถึงปัจจุบัน เมื่อต้องเริ่มตัดสินใจเลือกสาขาที่ตัวเองต้องการเรียนในมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นไม่มีเวลาตัดสินหรือเลือกเดินในทางที่ตัวเองชอบ ต้องหามหาวิทยาลัยให้ได้เพราะเพื่อน ๆ ได้กันหมดแล้ว จึงลงเอยกับการเรียนที่ตัวเองไม่ชอบมาเป็นระยะเวลา 4  เต็ม จึงทำให้ไม่มีความสุขและไม่เห็นคุณค่าในตัวเองกับการเรียนเลยเพราะเรามักจะโดนดุเสมอเมื่อส่งงาน มักมีคำติจากอาจารย์มาตลอดว่า สิ่งที่เธอคิดเหมือนกับเธอไม่ได้เรียนมา แต่สำหรับเพื่อน ๆ แล้วอาจารย์มักชมเสมอ จึงทำให้ท้อ และไม่กล้าเข้าหาอาจารย์ เพราะพื้นฐานตัวเองแล้ว กลัวการเข้าหาผู้ใหญ่เพราะกลัวโดนด่าเพราะบางครั้งด้วยความที่เป็นเด็ก เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำจะถูกใจหรือไม่พอใจสำหรับผู้ใหญ่ เพราะการโดนติสำหรับเราคือการปั่นทอดจิตใจเรา เราไม่กล้าที่จะรับคำติที่แรง ๆ ได้ เพราะเราไม่ภูมิคุ้มกันมากพอ จึงทำให้เราไม่กล้าที่จะคุยกับผู้ใหญ่ทุกคนเพราะกลัวว่า ถ้าหากเราคุยไปหรือเพ้อทำอะไรไปให้เขาไม่พอใจเขาอาจจะด่าเรา เราจึงเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า แต่ทั้งที่ในหัวเรามีความคิดต้องการจะพูดเยอะแยะมากมายแต่ทำได้แค่เพียงเงียบ เพราะเรากลัวการมองจากสังคมรอบข้างว่า ความคิดเรา ห่วย และเรามักจะจะไม่กล้าพูดหรือแสดงความคิดเห็นต่อหน้าคนเยอะ ๆ รู้สึกอาย 

เป็นเพราะเราที่ไม่มีความมั่นใจจึงทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองด้อยคุณค่ามาตลอด เราจึงพยายามออกหาประสบการณ์เพื่อจะได้เจออะไรใหม่ ๆ เพื่อให้เราได้พัฒนา

 

เครดิตรูปภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/400116748142052285/

 

บล็อกของ Storytellers

Storytellers
          ความว่างเริ่มเข้ามาในหัวสมองเมื่อผมกลับมาจากการตกปลาได้สักพักหนึ่ง มันส่งเสียงบอกผมว่า “เห้ย!นายต้องหาอะไรทำได้แล้วนะ”พร้อมนึกขึ้นได้ว่า เรานัดคุยกับคุณตาไว้นี่ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปบ้านคุณตา คุณตากำลังสานตะกร้าจากไม้ไผ่ไว้ใช้เองอยู่คุณตาเห็นผมด้วยท่าทางทีใจ รี
Storytellers
          เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้า
Storytellers
          พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหล่านกกาบินร้องกลับรังก็ได้เวลาที่เรากลับมาที่โรงเรียน เพื่อเตรียมทำกับข้าว ซึ่งก็มีออเดิร์ฟมาเสิร์ฟเราถึงที่ เป็นหัวปลีคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ทอดกรอบๆ พูดแล้วก็อยากทานอีก เพราะรสชาติมันช่างกลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก โดยแม่ครัวใหญ่ของอาห
Storytellers
          เรานั่งรอคุณครูซามารับประมาณเกือบๆ 2 ชม.เพราะวันนี้ทางโรงเรียนติดส่งแขกที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ แล้วรถของคุณครูก็มาถึงเป็นรถโฟวิลยกสูงคันใหญ่ ที่ขับมาโดยเด็กหนุ่มหน้าตาอย่างกับบอยแบรนด์เกาหลี ผมสวัสดีทักทาย ในใจก็คิดว่าสงสัยครูซาคงให้ลูกศิษย์ขับรถมาแทน แต่ก็ไม่ใช่
Storytellers
          เสียงนาฬิกาปลุกปลุกผมให้ลุกจากที่นอนรีบไปอาบน้ำ ผมสะพายเป้ ออกจากบ้านด้วยอารมณ์เรียบเฉยต่างจากวันก่อนที่อยากไปมากอย่างสิ้นเชิง คงเป็นเพราะบรรยายกาศที่มีฝนตกปรอยๆ และข้อมูลการเดินทางที่มีน้อยมาก มันเลยทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการเดินทางครั้งนี้ผมนัดเจอกับชาต
Storytellers
หลังจากจบกิจกรรมในวันแรกเราทุกคนต้องนอนค้างด้วยกันและเช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบแหกขี้ตาขับรถกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปทำงาน ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นเตรียมตัวออกเดินทางโดยตลอดการเดินทางเราจะใช้ “APP C –Site”เพื่อติดตามเรื่องราวของกันและกัน ความรู้สึกที่เราต้องนั่งหงอยๆทำงานอยู่หน้าคอมทั้งที่เพื่อนคนอื่นออก
Storytellers
          ชีวิตในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายเร่งรีบของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรจากเมืองกรุงแห่งนี้จนเลื่อนมือถือไปๆมาๆเจอโพสหนึ่ง “เปิดรับเยาวชนนักเล่าเรื่องที่สนใจจะไปเที่ยว!
Storytellers
ก่อนได้ไปลงพื้นที่ที่สะเนพ่องเราได้ไปค่ายนักเล่าเรื่องในที่อื่น(Storytellers in Journey) ที่มูลนิธฺเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปซึ่งทำให้เราได้เจอกับพี่ๆหลายๆคนและทุกๆคนน่ารักมาก แต่ในระยะเวลาที่เราได้อยู่ค่ายนั้นมันมีแค่ 2 วันคือวันที่7-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 แล้วในตอนนั้นผมก็ยังมีโครงการของผมที่ยังต้องไ
Storytellers
บัติ-ใจ-สู้  สามคำที่อยากแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก  “บัติ”  มาจากชื่อจริงชื่อ  สมบัติ  แก้วเนื้ออ่อน  “ใจ”  มาจากสิ่งที่เริ่มทำในชีวิตส่วนใหญ่มักเริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านใจ  ถ้าใจอยากทำ  ยังไงก็จะทำต่อไปจนสำเร็จให้ได้  ส่
Storytellers
ต่างคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเดินทางคือการซื้อประสบการณ์ที่ได้รับเงินทอนเป็นความสุข เป็นคำพูดที่มีความจริงเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากแต่บางครั้งเงินทอนที่ได้รับอาจจะมาในรูปแบบที่โหดร้ายได้เหมือนกัน เพราะการเดินทางไปในแต่ละที่มักจะได้ประการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่า
Storytellers
          ผมได้เข้าร่วมโครงการ Storytellers in journey ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผมได้ออกเดินทางไปเรียนรู้อะไรใหม่ตามที่ต่างๆ และผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านปลาบู่ จังหวัดหมาสารคาม เพื่อไปดูการจัดการธุรกิจแบบ Social Enterprise เพราะผมได้รู้มาว่าที่นั้นมีการทำธุรกิจแบบ