Skip to main content

การบังคับใช้ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผลักดันออกมาในปี พ.ศ. 2550 และแก้ไขปรับปรุงออกมาในปี 25660 ภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง โดยเดินทางผ่านรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย แต่บริบททางการเมืองของการออกกฎหมายและการแก้ไขหรือพิจารณาร่างฎหมายฉบับนี้ ถูกผลักดันให้แก้ไขสำเร็จภายหลังการรัฐประหารด้วยกันทั้งสิ้น ครั้งแรกเป็นการเร่งผลักดันให้กฎหมายรีบมีผลบังคับใช้ เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 2549 โดยกลุ่มคนที่ผลักดันการพิจารณากฎหมายก็คือกลุ่มของคณะรัฐประหาร ต่อมาในพ.ศ. 2554 มีการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายในรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ภาคประชาชนคัดค้านไว้ การผลักดันกฎหมายจึงถูกชะลอไป ต่อมา พ.ศ. 2557 การรัฐประหารครั้งล่าสุดของประเทศไทย มีการเสนอให้รีบแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยหาฟังเสียงคัดค้านใดจากประชาชน และถูกเสนอให้พิจารณาจนเกิดการบังคับใช้ฉบับแก้ไขใหม่สำเร็จในปี 2560 ขึ้น และบังคับใช้เป็นระยะเวลาเกินครึ่งทศวรรษแล้วจนถึงปัจจุบัน


สิ่งที่ปรากฎขึ้นหลังจากผ่านรัฐบาลมามากถึง 8 รัฐบาล พบว่าการบังคับใช้ในแต่ละช่วงมีความแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและความต้องการของผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายในขณะนั้นด้วย


จากข้อมูลที่ปรากฏในสองช่วงของการศึกษาทำให้เห็นความแตกต่างของการบังคับใช้ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน โดยขอยกผลวิจัยของ วิชญาดา อำพนกิจวิวัฒน์ เรื่อง “พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ภายใต้การเมือง 3 ยุค ตั้งแต่ปี 2550 ถึงปี 2560” จากวิทยานิพนธ์นิติศาสตรบัณฑิต มหาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2564 มาบอกเล่า ดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง ในช่วงแรกของการบังคับใช้กฎหมายถูกใช้อำนาจไปกับการปิดกั้นเว็บไซต์ โดยเนื้อหาที่ถูกปิดกั้นมากที่สุดคือ เนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ตามด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับภาพลามกอนาจาร และเนื้อหาเกี่ยวกับยาและการทำแท้ง ซึ่งสอดคล้องไปกับเจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมายด้วยการเพิ่มอำนาจดังกล่าวเข้ามา ส่วนลักษณะของการฟ้องร้องดำเนินคดีจะเป็นคดีหมิ่นประมาท, คดีอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ และสุดท้ายคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ตามลำดับ
บทบาทหน้าที่ของการบังคับใช้ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในช่วงแรกจะเห็นชัดต่อการใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหา เพราะจะเน้นหนักไปกับเว็บไซต์ที่มีการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง ต่อต้านรัฐบาล หรือมีเนื้อหาพาดพิงสถาบันกษัตริย์ การปิดกั้นทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิและออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างรุนแรง เพราะบางเว็บไซต์ที่ถูกปิดก็จะทำการเปิดเว็บไซต์ใหม่เพื่อเคลื่อนไหวตอบโต้ต่อไป และบางกรณีหากเป็นเว็บไซต์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ (server) อยู่ต่างประเทศ ก็ไม่สามารถปิดกั้นการเข้าถึงได้ หรือต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการค่อนข้างนาน ทำให้ประชาชนยังสามารถเคลื่อนไหวตอบโต้ได้เรื่อยมาก แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลได้อาศัยความร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ทำการปิดกั้นเนื้อหาที่รัฐบาลเห็นว่าไม่เหมาะสมดังกล่าว ซึ่งทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาวะของการโดยจำกัดสิทธิและเสรีภาพอย่างรุนแรง
ส่วนการฟ้องร้องดำเนินคดีโดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกใช้กับประชาชนที่ออกมาชุมนุมประท้วงบนท้องถนน หรือตามพื้นที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งลักณะของการฟ้องคดีจะเกี่ยวกับกับความมั่นคงฯ และสถาบันกษัตริย์ เป็นส่วนใหญ่ แต่การฟ้องร้องคดีทำให้บรรยากาศทางการเมืองอ่อนลง ประชาชนถูกบบรรยากาศความกลัวปกคลุม ทำให้การเคลื่อนไหวบนท้องถนน หรือการชุมนุมประท้วงลดจำนวนลง ซึ่งทำให้ประชาชนหันไปเคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับจำนวนของการปิดกั้นเว็บไซต์ที่สูงขึ้น
การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทำให้นำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทบนพื้นที่อินเตอร์เน็ต ซึ่งถูกดำเนินคดีตาม พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทำให้เห็นอำนาจในการบังคับใช้ที่ถูกขยายออกไปสู่การปกป้องคุ้มครองรัฐบาลและบุคคลในรัฐบาล จำนวนคดีที่เกิดขึ้นเพิ่มสูงขึ้นอีกหลังจากที่ประชาชนตกอยู่ภายใต้การละเมิดสิทธิและเสรีภาพอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรนั้นการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้เข้มข้น หนักมากดังที่ปรากฏในยุค คสช.

ประการที่สอง การบังคับใช้ในช่วงที่สอง คสช. สร้างภาระหนักให้กับ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งปรากฏเป็นจำนวนของคดีที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ประชาชนทั้งที่ออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน หรือเคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ต ถูกเรียกมาดำเนินคดีด้วยกันทั้งหมด รวมถึงบุคคลที่ คสช. เห็นว่ากระทำการไม่เหมาะสมก่อนการรัฐประหาร ก็ถูกเรียกตัวมาดำเนินคดีด้วย โดยให้เหตุผลว่า เพราะข้อมูลหรือเนื้อหาดังกล่าวยังปรากฏอยู่บนพื้นที่อินเตอร์เน็ตจึงยังถือว่ามีการกระทำความผิดอยู่ ทำให้ประเภทคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, คดีเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และคดีเกี่ยวกับหมิ่นประมาท ตามลำดับ
แต่ลักษณะของการปิดกั้นเว็บไซต์มีรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากเดิม นอกจากจะไม่ใช้อำนาจตาม พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แล้ว ยังเน้นไปที่การขอความร่วมจากผู้ให้บริการที่อยู่ต่างประเทศ ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่เคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ตมากขึ้น และแพลตฟอร์มที่ใช้มีผู้ให้บริการต่างชาติเป็นเจ้าของ การจะปิดกั้นการเข้าถึงเพียงลำพังคำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมด จึงทำให้ต้องขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการรายอื่น ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาที่ถูกยื่นคำขอต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจากต่างประเทศปิดกั้นมากที่สุดคือ เนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะอยู่ในรูปแบบของการโพสต์หรือการตั้งสเตตัสเป็นส่วนใหญ่ จะมีรูปแบบของเพจหรือกลุ่มเป็นลำดับถัดมา
นอกจากนี้แล้ว คสช. ยังใช้อำนาจตาม พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คุ้มครองตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลด้วย ด้วยเหตุผลว่า หากรัฐบาลหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ จะส่งผลทำให้รัฐบาลเกิดความเสียหายและไม่มีความเชื่อถือหรือไม่ถูกเคารพจากประชาชนได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อรัฐได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้รัฐสร้างความชอบธรรมในการใช้กฎหมายไปละเมิดสิทธิของประชาชนได้โดยง่าย การขยายอำนาจทำให้เห็นถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐด้วย

ประการที่สาม หลังจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองช่วง ทำให้เห็นว่ากฎหมาย พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ถูกบังคับใช้ในการกดขี่ข่มเหงประชาชนหรือบุคคลด้วยเหตุผลทางการเมือง โดยเฉพาะการถูกใช้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะกีดกัน ขัดขวางสิทธิ หรือการมีส่วนร่วมทางการเมือง ผ่านการใช้อำนาจโดยชอบธรรมตามกฎหมาย ทั้งการสร้างภาระให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล การจำกัดสิทธิในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น และรวมถึงสิทธิอย่างอื่นทางการเมืองอีกด้วย”

แม้รัฐบาลจะแปลงร่างผ่านการเลือกตั้งมาอยู่ในรูปรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งแล้วแต่อุดมการณ์ยังคงเดิม แนวทางการบังคับใช้กฎหมายจึงยังมิต่างกัน ด้วยเหตุที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ยึดกุมอำนาจนำในรัฐอยู่

หากลองพิจารณาเชิงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอาจเห็นร่องรอยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของรัฐซึ่งแต่เดินใช้ความรุนแรงที่อาจเผชิญแรงกดดันจากประชาคมโลกเนื่องจากมีลักษณะของการการใช้ความรุนแรงในลักษณะอื่น กล่าวคือ จากเดิมความรุนแรงอาจจะเป็นการต่อสู้ อาวุธหรือกองกำลังต่าง ๆ  มาเป็นการทำนิติสงคราม โดยมีการฟ้องตบปากผ่านหน้าจอ โดยบังคับใช้ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะถูกใช้อย่างเข้มข้น และถูกใช้แทนที่อาวุธและการปรามบปรามแบบดั้งเดิมที่ใช้กองกำลังและบางกรณีมีการซ้อมทรมานและการบังคับให้สูญหายแบบในยุคสงครามเย็น ที่ใช้ พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 และกลไกของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ในการบดขยี้ศัตรูทางการเมืองโดยตรง ภายใต้การสนับสนับของมหาอำนาจโลก


สถานการณ์โลกของรัฐบาลในยุคดิจิทัลที่ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและความเป็นประชาธิปไตยนี้ เครื่องมือสำคัญในการควบคุมประชากรจึงต้องละมุนละไมมากขึ้น จึงต้องปรับกลยุทธ์มาใช้อาวุธใหม่คือสิ่งที่เรียกว่า “กฎหมาย” โดยจะทำให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกดปราบ บังคับควบคุมทางการเมือง ซึ่งการกดปราบหรือควบคุมจะเกิดจากการตีความกฎหมาย หรือขยายอำนาจของกฎหมายออกไปให้บังคับครอบคลุมหรือให้เป็นไปตามที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ยึดครองพื้นที่ทางการเมือง โดยเฉพาะพื้นที่สื่อสารออนไลน์ ผลสะเทือนของมาตรการอย่างร้ายแรงอย่างมากที่สุด คือ การทำให้ประชาชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลตกเป็นผู้ก่ออาชญากรรม/ผู้ก่อการร้าย ซึ่งหากพิจารณาตามกฎหมายนี้แล้ว พลเมืองผู้ตื่นตัวทางการเมืองเคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ตจะกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ อันมีผลลดสิทธิในการทีส่วนร่วมของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย

รัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงจึงเร่งระดมผลักดัน แก้ไขเพิ่มเติม ขยายขอบเขตอำนาจ ผ่านทางอาวุธมหาประลัยที่เรียกว่า “กฎหมาย”  แล้วใช้กฎหมายเป็นเกราะป้องกันอำนาจหรือประโยชน์ของตนเองที่เคยมีให้คงอยู่สืบไป โดยไม่ปล่อยให้ประชาชนเข้ามาแทรกแซงหรือตรวจสอบ โดยทำให้กลุ่มผู้เห็นต่างกลายเป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งการใช้อำนาจตามกฎหมายจะทำให้คงอำนาจของตนไว้ได้โดยปราศจากความรับผิดต่อความรุนแรงที่กระทำต่อประชาชน และการคงอำนาจไว้นั้นเป็นการกดปราบลดทอนสิทธิของพลเมืองด้วย โดยรัฐอ้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงนั้นต่อไป จนกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมของการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

การครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่การเมืองของรัฐบาลยุคดิจิทัลที่มีเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นกรอบการปกครองสากล  คือ การทำให้ยุทธศาสตร์สำเร็จโดยอาศัยยุทธวิธีการแปลงความรุนแรงป่าเถื่อนให้กลายเป็นกฎหมายของรัฐ  อันเป็นการแปลงอาวุธสงครามให้อยู่ในรูปของกฎหมาย ใช้เป็น “เครื่องมือในการปราบปรามทางการเมือง” อันเป็นลักษณะกฎหมายแบบอำนาจนิยมที่ประชาชนต้องชี้ว่าเป็น เผด็จการอำพรางในรูปกฎหมาย ให้ประชาคมโลกและเพื่อนพลเมืองทั่วโลกได้ถอดบทเรียน

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ตลอดระยะเวลาแห่งความขัดแย้งทางการเมือง ได้มีกลุ่มต่างๆ เสนอทางออกของปัญหาด้วยการใช้กฎหมายมากมายหลายมาตรา   แต่มาตราหนึ่งซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาก คือ การใช้รัฐธรรมนูญ ม.7 ตั้งแต่เมื่อคราวที่ยังใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เรื่อยมาจนถึง ฉบับปี 2550   คนจำนวนไม่น้อยคงสงสัยมากว่า มาตรา 7
ทศพล ทรรศนพรรณ
เอาล่ะครับ พ่อแม่พี่น้อง เรื่องถัดไปนี่คงเป็นความสนใจของเพื่อนพ้องหลายๆพื้นที่นะครับ ผมได้รับแจ้งเข้ามาว่า  เจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่หนึ่งมีการเพิกเฉย ละเลย ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่ แถมยังมีเรื่องราวกินสินบาทคาดสินบนทำให้ชาวบ้านจนปัญญาจะหาทางแก้ไขเข้าไปอีก&n
ทศพล ทรรศนพรรณ
พลังเหนือมนุษย์ ที่จะพูดถึงในครั้งนี้ประกอบไปด้วยสองส่วน คือ พลังธรรมชาติ และพลังลี้ลับ   ซึ่งกฎหมายก็ได้พูดถึงสองสิ่งนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เป็นสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงานในยามที่เจอกับภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เราคงได้ยินเสียงผู้ประกอบการบ่นให้ฟังว่า ยอดสั่งซื้อตก กำไรหด ต้องลดกำลังการผลิตเพื่อให้บริษัทอยู่รอดกันใช่ไหมครับ  แต่ทราบไหมครับว่า ทุกครั้งที่บอกว่าขาดทุนและต้องลดต้นทุนหรือกำลังการผลิตนั้น มันหมายถึงการป
ทศพล ทรรศนพรรณ
             กฎหมายสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ มีสิ่งที่ต้องเข้าใจร่วมกันว่า ได้ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐในการบีบบังคับประชาชนในรัฐ และลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการใช้ความรุนแรงนับตั้งแต่ การประหารชีวิต การจำคุก การควบคุมตัว ริบทรัพย์ ในระบบกฎหมายอาญา  ไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่าปัจจุบันกฎหมายไทยเกี่ยวกับเรื่องข่มขืนได้มีการปรับปรุงแก้ไขไปให้ทันกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เพราะมิใช่เพียง
ทศพล ทรรศนพรรณ
คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมนักกฎหมายมักย้ำเสมอว่าปัญหาทางกฎหมายต้องตอบในลักษณะ “หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ”    กล่าวคือ ในปัญหาเรื่องนั้นจะต้องมีคำชี้ขาดขององค์กรตุลาการหรือองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดที่ชัดเจนแน่นอนเพียงหนึ่งเดียว   ห้ามมีคำตอบแตกต่างหลากหลาย   เช่น  
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เนื่องจากในบางเส้นทางจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกกักตัวหรือขอตัวค้นรถตอนถึงด่าน   ทั้งยังสงสัยกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตรงด่านว่าใช่ตำรวจหรือไม่ มีอำนาจหน้าที่อะไ
ทศพล ทรรศนพรรณ
       หลายครั้งที่เราสงสัยกันว่าทำไมเรื่องที่เค้าเถียงกันแทบเป็นแทบตายไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสักที ตำรวจก็บอกว่าต้องทำตามกฎหมายข้อนี้ นักกฎหมายก็อ้างว่าไม่ได้ต้องดูกฎหมายอีกฉบับด้วย แล้วพอไปออกรายการทีวีเถียงกันก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะปัญหาเดียวกันไหงมีกฎหมายมาเกี่ยวข้องต้อง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากเข้าไปทำงานตามร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตามจำนวนร้านรวงที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จุดไหนมีคนทำงานหรือเรียนหนังสือเยอะๆก็จะมีร้านตั้งมาดักไว้เต็มไปหมด ก็มีคนพูดไว้เยอะว่าร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นแหล่งมั่วสุมของนักศึกษาหรือว่าคนทำงานในวัยหนุ่มสาว&
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตอนนี้เราจะมาดูกันนะครับว่า ทำไมเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในสังคม เราจึงต้องใช้กฎหมายมายุติความขัดแย้ง   เหตุผลของเรื่องนี้ก็ต่อมาจากตอนที่แล้วซึ่งเราบอกว่า กฎหมาย คือ กติกา ที่สังคมกำหนดขึ้นมาร่วมกัน เพื่อชี้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น แล้วตกลงกันไม่ได้ จะ “ยุติ” ความขัดแย้งอย่างไรใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสของน้องสองคนซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน เคอร์ฟิว ในช่วงที่มีการปราบปรามและสลายการชุมนุม   ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆมากขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2