Skip to main content
ท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผาจนผิวไหม้เกรียมแทบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียว  แม้จะสี่โมงเย็นแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าแสงแดดในบ้านเราจะยอมอ่อนแรงลงเลย  ยังคงสาดแสงอย่างเกรี้ยวกราดทำให้คนที่กำลังเดินอยู่นั่นแหละอ่อนแรงลงไปก่อน และแล้วก็ตั้งใจจะเรียกแท๊กซี่ (อีกแล้ว) แต่ก็ต้องยอมทนอีกนิดข้ามสะพานลอยไปเรียกรถอีกฝั่งหนึ่งดีกว่า เพื่อความสะดวกให้กับแท๊กซี่ไม่ต้องกลับรถ


เดินลงมาจากสะพานลอยใกล้ๆ กับป้ายรถเมล์ด้านหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล ที่ศาลายา เริ่มสอดส่ายสายตามองหาแท๊กซี่ที่จะขับผ่านมาก็ยังไม่เห็นมี แต่แล้วก็พลันพบว่าบริเวณริมถนนที่เขาอนุญาตให้จอดรถได้ และเป็นการจอดแบบเฉียงๆ มีแท๊กซี่สีชมพูก็จอดอยู่แต่ก็เป็นการจอดแบบเฉียงๆ เรียบร้อยคล้ายกับว่าจะจอดพักหรือจอดรอผู้โดยสารเข้าไปทำธุระ แรกทีเดียวผู้เขียนเองก็คิดว่าจะมองข้ามแท๊กซี่คันนี้ไป แล้วจะยืนรอแท๊กซีคันอื่น แต่พอมองเห็นไฟเปิดว่า
"ว่าง" ก็เลยคิดว่า เขาก็น่าจะรับผู้โดยสารอยู่ก็เลยเข้าไปถาม ปรากฎว่าเขารับให้ขึ้นมาโดยสาร

ทันทีที่พอนั่งบนรถ คนขับแท๊กซี่ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อสีฟ้าเครื่องแบบแท๊กซี่และกางเกงยีนส์บอกว่า "ขอบคุณครับที่มาใช้บริการรถของผม ผมจอดรถในที่ๆ เขาให้จอดแบบเป็นระเบียบจะได้ไม่ไปเกะกะ แต่ก็กลัวเหมือนกันว่า คนจะไม่ขึ้น เพราะคิดว่าผมกำลังรอลูกค้าอยู่หรือเปล่า" แล้วก็พูดต่อไปอีกว่า "ผมชอบจอดเป็นระเบียบแบบชิดๆไม่ไปเกะกะ  แต่ก็กลัวเหมือนกันว่า คันอื่นที่ผ่านเข้ามาจะมาปาดหน้าไปหมด  มีหลายคนเคยว่าผมว่า จอดแบบนี้ก็ไม่ทันกินกับคนอื่นเขาหรอก"   

คำพูดของเขาทำให้ผู้เขียนไม่สามารถละเลยโดยไม่ตอบสนองบทสนทนาได้ก็เลยตอบเขาไปว่า
" ไม่ต้องกลัวหรอก คนเรานะถ้าคิดจะทำเรื่องดีๆ สิ่งดีๆ ก็จะมาหาเราเองแหละ แต่ถ้าคิดทำในเรื่องไม่ดีคงไม่ต้องให้ใครมาบอกหรือมาลงโทษเรา เราก็จะได้พบกับสิ่งที่ไม่ดีได้เหมือนกัน เมื่อคิดจะทำอะไรดีแล้ว ไม่ต้องไปกังวลหรอกว่าคนอื่นเขาจะคิดหรือจะว่าอย่างไร เราก็ทำของเราไปเรื่อยๆ  คอยดูกันสิว่า เราจะพบกับสิ่งที่ไม่ดีมั้ย"

คนขับแท๊กซี่เลยตอบกลับว่า "พี่พูดอย่างนี้เป็นกำลังใจให้ผมแท้ๆ ทำให้ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นั้น ถูกต้องแล้ว ผมคงจะทำต่อไปๆ" แล้วเขาก็เล่าต่อถึงประสบการณ์ของเขาว่า เขาไม่ชอบการขับรถหรือการจอดรถที่ไม่มีระเบียบ เขาจะไม่ละเลยที่จอดรถตามจุดที่จัดให้  อย่างเช่น หน้าตึกบางตึกที่มีส่วนเว้าของถนนเข้าไปเป็นจุดจอดให้แท๊กซี่ได้รอรับผู้โดยสารอย่างมีระเบียบ แม้หลายครั้งจะโดนแท๊กซี่ที่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาปาดหน้าทำให้ต้องชวดผู้โดยสารไป แต่เขาก็พบว่า หลังจากนั้นเขาก็จะได้ผู้โดยสารคนต่อไปที่เรียกเขาไปในเส้นทางที่ส่วนใหญ่น่าพอใจ และเขาก็คิดว่าเขามักไม่ค่อยอับจนผู้โดยสารนัก

"มีอยู่ครั้งหนึ่งนะ แถวหน้าตึกเนชั่น ผมก็เข้าจอดรอผู้โดยสารบริเวณที่จอดรถ มีคนเดินออกมาพอดีผมคิดว่า เขาน่าจะมาที่รถผม แต่พอดีมีรถอีกคันหนึ่งมาจอดข้างหน้าเขาพอดี มือของเขาก็จับประตูรถ ตามองมาที่ผม แต่แล้วเขาขึ้นรถอีกคัน แต่แค่แป๊บเดียวนั้นแหละครับ มีผู้หญิงคนหนึ่งเขาเดินตรงมาที่รถผมเลย  ผมเลยถามว่าทำไมถึงเดินมาขึ้นรถผม เขาบอกว่า ก็เห็นคุณจอดรถเป็นระเบียบเรียบร้อยดี" คนขับแท๊กซี่เล่าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

ผู้เขียนจึงช่วยยืนยันเขาไปว่า
"นั่นไง เห็นมั้ยว่า ยังไงเราก็จะไม่อับจนหรอกถ้าเราคิดทำในสิ่งที่ถูกต้อง" พร้อมกับคุยให้เขาฟังต่อว่า เวลาที่เราคิดทำในเรื่องที่ดีหรือเรื่องที่ถูกต้องนั้นเราไม่ควรที่จะท้อใจง่ายๆ โดยการไปคิดว่า เอ๊ะทำไมไม่เห็นมีใครเขาทำอย่างนี้เลย หรือ เวลาเห็นคนทำไม่ดีทั้งๆ ที่รู้ว่า เขาทำไม่ดี เราก็เลยทำเหมือนกันด้วย เพราะคิดไปเองว่า "ไม่เห็นเป็นไรเลย ใครๆ เขาก็ทำกัน" ผู้เขียนโยนคำถามไปว่า "เออ จริงๆ แล้วทำไมเวลาที่จะทำไม่ดีแล้วชอบเอาคนอื่นมาอ้างว่า ใครๆ เขาก็ทำกัน ทำไมเราถึงไม่เป็นผู้นำนะ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งดี" แล้วสำทับเข้าไปอีกว่า " ถ้าคิดจะทำดีแล้ว อย่าไปท้อ"

คนขับแท๊กซี่ค่อนข้างเห็นด้วย และเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาพบเจอในช่วงที่เขาทำดี และ ที่เขาทำไม่ดี เขาบอกว่าเขาสังเกตว่า การไม่พยายามจอดรถกีดขวางคนที่จะสัญจร หรือไม่พยายามที่จะแย่งผู้โดยสารกับแท๊กซี่คันอื่นๆ แบบไม่มีน้ำใจนั้น ทำให้การขับรถของเขาค่อนข้างราบรื่น แต่หากทำไม่ดีปั๊บบางทีก็เกิดเหตุในทันทีทันใดเห็นๆ

"ตอนผมขับแท๊กซี่ใหม่ๆ ตอนนั้นมีฝรั่งมาเรียกรถ ผมรู้ว่าจากจุดนั้นไปยังสถานที่ที่เขาเรียกถ้ากดมิเตอร์ก็ประมาณ 130  บาท  แต่ผมเรียกเขาไป  400  บาท โดยไม่กดมิเตอร์ รู้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น พอขากลับผมขับรถมา พอดีรีบก็เลยปาดรถคันหน้าอีกคันกลายเป็นแซงบนเส้นทึบ ตำรวจยืนอยู่ตรงหน้าพอดี พอได้ยินค่าปรับผมถึงกับอึ้ง  400  บาท มันเท่ากับที่ผมไปโก่งราคาฝรั่งเขามาพอดี มันแปลกมากเลย ทำไมมันรวดเร็วทันตาเห็นอย่างนี้นะ  แล้วผมก็มาคิดได้ว่า นี่ขนาดผมโกงเล็กๆ น้อยๆ นะ ยังเห็นเลยว่ากรรมตามทัน ผมนึกไม่ออกเลยว่าคนที่โกงกินเยอะนั้นกรรมจะติดตามเขาไปอย่างไรบ้าง

สถานการณ์นี้คงไม่ใช่สถานการณ์เดียวแน่ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา นับว่า เขาคงเป็นคนที่มีบุญอยู่ไม่น้อยที่ทำให้เขาสังเกตเห็นเองว่าผลจากการกระทำทั้งในเรื่องดีและไม่ดีนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง แม้จะไม่ฉับพลันทันใด หรือแม้ว่าจะไม่เป็นไปในรูปแบบเดียวกันเหมือนกับการโกงและค่าปรับที่ได้รับ เขาบอกว่า บางทีเรื่องนี้อาจเหนือคำพิพากษาของมนุษย์ด้วยกัน แต่อาจมีใครหรืออะไรที่เหนือกว่าจับตาในการกระทำของเราอยู่  คนขับแท๊กซี่คนนี้เล่าต่อไปว่า ทุกวันนี้ในการทำงานของเขาจึงเป็นไปด้วยความเรียบง่ายไม่รีบเร่ง และ การเดินทางอยู่บนท้องถนนทำให้เขาได้เห็นกับผู้คนที่มีความยากลำบาก ถ้าครั้งไหนที่เขาช่วยได้เขาก็ไม่ลังเลที่จะช่วย

"เวลาที่ผมเห็นยายแก่ๆ เดินฝ่ากลางแดดร้อนมาขายของ เช่น ขายผักขายอะไร ผมก็จะลงไปช่วยซื้อ หรือบางทีก็ไปนั่งคุยด้วย แก้เบื่อ ผมจะไปกินข้าวร้านที่ไม่ค่อยมีคนกิน แต่หลายๆ ครั้งพอเข้าไปกินปรากฎว่าร้านนั้นก็มีคนเข้ามาเยอะแยะ จนบางทีเจ้าของร้านบอกว่า พรุ่งนี้มากินใหม่นะจะให้กินฟรี เพราะช่วยนำลูกค้ามาให้" เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจ และในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ผู้เขียนจะต้องลง เขาก็ยังทิ้งท้ายเอาไว้อีกว่า "ไม่น่าเชื่อเลยว่ามาถึงตรงนี้วันนี้รถไม่ติดเลย แถมผมยังได้เส้นทางที่ผมจะได้มาทำธุระเสียด้วย เดี๋ยวส่งพี่เสร็จผมก็จะไปทำธุระข้างหน้านี่แหละครับ"

ผู้เขียนคิดว่า ไม่ว่าจะประจวบเหมาะหรือเป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่งก็ดี คิดว่า คนเราหากคิดดี พูดดี และก็ทำดีแล้ว สิ่งๆดีย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้นแน่นอน แท๊กซี่คนนี้เช่นกัน ด้วยความที่เขาคิดดี ทำดี แล้วพูดดี ทำให้เขาดูมีท่าทีที่สบายๆ กว่าแท๊กซี่หลายๆ คันที่เคยพบ ที่มักจะมีอาการไม่สบอารมณ์เกิดขึ้นได้ง่าย  ผู้เขียนลงจากรถพร้อมจ่ายค่ารถ 200 บาท ซึ่งเพิ่มจากค่ามิเตอร์ไป 15 บาท คนขับกล่าวขอบคุณและขับรถไปด้วยความสบายใจ

บล็อกของ สุทธิดา มะลิแก้ว

สุทธิดา มะลิแก้ว
1 ทั้งๆที่มีทะเบียนบ้านและอาศัยอยู่ที่นนทบุรีมามากกว่า 10 ปี แล้ว และก่อนหน้านั้นก็อยู่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น อุบลฯ ชลบุรี และอื่นๆอีกหลายแห่ง แต่เวลาที่มีใครก็ตามมาถามว่าเป็นคนที่ไหน (ไม่ได้ต้องการคำตอบแบบมุขตลกว่า ที่ไหนๆ ก็เป็นคนนะ) ผู้เขียนก็ตอบว่า “เป็นคนปัตตานี” แม้ว่าจริงๆ แล้วไปปัตตานีไม่เคยเกิน 7 วันต่อปีเลยสักครั้ง และบางปีก็ไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ปัตตานีค่อนข้างน้อย มาถึงวันนี้ที่แม้มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ในยามที่เดินทางไปปัตตานี ก็จะเรียกว่า “กลับบ้าน” อีกเช่นกัน เรื่องการบอกว่าเป็นคนที่ไหนของไทยนั้น เชื่อว่าคนอื่นๆ…
สุทธิดา มะลิแก้ว
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้ว เห็นด้วยกับเรื่อง การไม่ขับรถหลังจากได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือที่ที่มีการรณรงค์ที่เรียกว่า “เมาไม่ขับ” และเห็นด้วยกับการรณรงค์ไม่ให้ดื่มเหล้าในวัด หรือศาสนสถานต่างๆ และยังเห็นด้วยอีกกับการรณรงค์ให้คนลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ลงบ้าง เพื่อเห็นแก่สุขภาพและเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาล อันเนื่องมาจากโรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดื่มสุรา รวมทั้ง การเชิญชวนให้งดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา สำหรับประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นการถือศีลถือเป็นการสร้างมงคลให้กับชีวิตก็เป็นเรื่องที่เห็นด้วยเช่นกัน ทว่า…
สุทธิดา มะลิแก้ว
นับเป็นความสะเทือนใจอย่างยิ่งของคนทั่วโลกกับภาพความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวพม่า อันเนื่องมาจากพายุไซโคลนนาร์กิส ที่ตัวเลขของผู้เสียชีวิตนั้นหลังจากเกิดพายุนั้นแม้ผ่านมาแล้วหลายวันก็ยังไม่นิ่ง องค์กรกาชาดสากลคาดว่าอยู่ระหว่าง 60,000 – 120,000 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบสูงถึง 1.6-2.5 ล้านคน โดยคนเหล่านี้จะต้องเผชิญกับภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย และตลอดจนปัญหาสุขภาพที่จะตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้  ท่ามกลางภาพสะเทือนใจเหล่านั้น นานาประเทศได้พยายามที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยมาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งวันนี้ก็ยังมีบรรดาหน่วยบรรเทาทุกข์ทั้งหลาย…
สุทธิดา มะลิแก้ว
     1ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ข่าว คงจะรับรู้กันแล้วถึงสถานการณ์ในพม่าที่บานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ  รัฐบาล ทหารพม่าออกมาปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ ที่ปกติแล้วเป็นที่เคารพยิ่งของ ประชาชนชาวพม่าซึ่งหมายรวมถึงบรรดาผู้คนในรัฐบาลด้วย  แต่การปราบปรามผู้ชุมนุมในครั้งนี้นั้นไม่ได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าชุมนุมกันต่อ กลับยิ่งทำให้เหตุการณ์ในพม่าทวีความเลวร้าย และรุนแรงหนักขึ้นไปอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีประเด็นให้ขบคิดต่อได้หลายประการทีเดียว เริ่มตั้งแต่ว่าทำไมชาวพม่านับตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ปี 1988 เป็นต้นมา หรือที่ เรียกกันว่า เหตุการณ์ 8888…