Skip to main content

ผมเข้าใจว่า
กระแสความขัดแย้งกันในเรื่องมาตรา 112 ที่ถูกจุดประเด็นขึ้นอย่างเข้มข้นตั้งแต่คดี “อากง” ที่ถูกจับดำเนินคดี และผ่านมาจนถึง “ก้านธูป” ที่กลายเป็นแม่มดที่ถูกตามล่าอย่างไม่น่าเชื่อว่าเธอจะโดนจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ระหว่างฝ่ายที่ต้องการแก้ไขมาตรานี้ โดยมีคณะนิติราษฎร์เป็นหัวหอก ร่วมกับ ครก.112 ที่เข้ามาสนับสนุน และขัดแย้งกับเครือข่ายอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มเสื้อคนหลากสีที่มี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำในการปกป้องกฎหมายนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย คงจะเป็นกระแสที่ดำเนินไปอย่างยืดยาว และยากที่จะคาดหมายว่าจะยุติลงในรูปใด

ยิ่งทางฝ่ายคุณหมอตุลย์ออกมาพูดกันว่า “โทษเพียงแค่นี้ยังน้อยไป” สำหรับคนที่หมิ่นสถาบันฯ ก็ยิ่งกระพือความขัดแย้งให้รุนแรงมากขึ้นจากฝ่ายที่คัดค้านต่อต้าน

เพียงแค่ความขัดแย้งกันเรื่อง 112 ก็เหลือที่จะเพียงพอแล้ว แต่คุณหมอ...ยังไม่ยอมหยุดยั้งเพียงแค่นั้น มาคราวนี้คุณหมอยังลากเอาเรื่องมติครม.จ่ายเงินแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมขึ้นมาเป็นเรื่องขัดแย้งกันอีกเรื่องหนึ่ง - มาเป็นข่าวดังนี้

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 คุณหมอตุลย์และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านนายสมภาส นิลพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่อคัดค้านการจ่ายเงินให้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2547 - 2553 โดยผู้เสียชีวิตจะได้เงิน 7 ล้านบาท รวมต้องใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาท

โดยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ว่า
“ทางเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการนำภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาเรียกร้องชุมนุมให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรียุบสภา เพื่อให้พรรคเพื่อไทยกลับมามีอำนาจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่การชุมนุมทางประชาธิปไตย อีกทั้งยังมีการเผาบ้านเผาเมือง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้คดีก่อการ้ายก็ยังอยู่ในขั้นอัยการ ซึ่งคณะรับมนตรีต้องรอกระบวนการขั้นตอนของศาลว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และการเบิกจ่ายเงินชดเชยนั้น จำเป็นต้องมีกฎหมายมารองรับหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่ยุติมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทางเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน จะดำเนินการฟ้องต่อศาลต่อไป

อนึ่ง นพ.ตุลย์ ได้โพสต์ลงเฟชบุ๊คเมื่อเวลา 10.30 น. ด้วยว่า
“รวมพลังกดดัน ครม. ให้ยกเลิกมติอปยศจ่ายเงินให้เสื้อแดงอย่างผิดกฎหมาย ไม่มีกฎหมายรองรับ ใครร่วมกดดันรัฐบาลช่วยกันเผยแพร่ด้วย Like กด Share”

อย่างไรก็ตาม
มีผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงเดินทางมาคัดค้านการยื่นหนังสือของ นพ.ตุลย์ ด้วย โดยในช่วงที่กลุ่มของ นพ.ตุลย์ ใกล้เลิกชุมนุม ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงได้ประท้วงเชิงสัญลักษณ์บริเวณประตู 4 มีการเดินสลับการหมอบกราบกลุ่มของ นพ.ตุลย์ เป็นระยะทาประมาณ 100 เมตร พร้อมชูป้าย

“ไม่อยากให้จ่ายเยียวยา แล้วยุให้ ‘ฆ่า’ กันทำไม”
“ไม่มีใครสมควรตายเพราะคิดต่างทางการเมือง”

จากนั้น มีการล้มตัวลงนอนราบลงกับพื้น เพื่อแสดงคัดค้านการยื่นหนังสือของกลุ่ม นพ.ตุลย์ ดังกล่าว ทั้งนี้ไม่มีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น มีเพียงการตะโกนจากกลุ่มผู้สนับสนุน นพ.ตุลย์ เช่น

“น่าอนาถ”
“น่าสมเพช”
“พวกเผาบ้านเผาเมือง”
ฯลฯ
โดยใช้เวลาไม่นานทั้งสองฝ่ายจึงยุติการชุมนุม.

ครับ ผมพอจะเข้าใจที่คุณหมอตุลย์และผู้สนับสนุนลุกขึ้นมาปกป้องกฎหมายหมิ่นสถาบัน ฯ 112 แต่ไม่เข้าใจวาทกรรมที่ซ้ำเติมผู้ที่โดนในเรื่องนี้ว่า “โทษเพียงแค่นี้ยังน้อยไป” รวมทั้งวาทกรรมจากการลุกขึ้นมาขัดขวางมติเยียวยาผู้ตายจากการสลายการชุมนุมที่ว่า

“คนเสื้อแดงชุมนุมกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ยุบสภาเพื่อให้พรรคเพื่อไทยขึ้นมามีอำนาจ”
(ทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยเขามาจากการเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เองมั่นใจเกินร้อย ว่าตนเองจะต้องนอนเข้าสภาฯ เสียด้วย)
“คนเสื้อแดงชุมนุมไม่ถูกต้องตามทางของประชาธิปไตย”
“คนเสื้อแดงเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง”
ฯลฯ

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวาทะกรรมที่ยั่วยุฝ่ายตรงกันข้ามให้เกิดความโกรธแค้น คลับคล้ายคลับคลาเหมือนอย่างว่า พวกคุณหมอตุลย์ต้องการก่อให้เกิดความรุนแรงอะไรสักอย่างขึ้นมาอีก เพื่ออะไรก็ไม่รู้

แต่ถึงอย่างไรในห้วงเวลานี้
เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยมอง ผมกลับนึกขอบคุณที่มีคนแบบคุณหมอตุลย์ลุกขึ้นมาปกป้องทั้งมาตรา 112 และคัดค้านมติการเยียวยาผู้ชุมนุมแบบหัวชนฝา แบบไม่ยอมประนีประนอมกับใครหน้าไหนในโลกนี้ทั้งสิ้น

เพราะถ้าหากไม่มีคนแบบคุณหมอตุลย์ ปรากฏตัวออกมาเป็นคู่ขัดแย้งดังกล่าว คณะนิติราษฎร์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และกลุ่มครก.112 คงไม่มีโอกาสได้ออกมาแสดงพลังของตนเองให้สาธารณชนได้รู้จักในวงกว้าง และเติบโตมาเป็นพลังทางสังคมที่เข้มเข้มแข็งในทางความคิด เหตุผล ข้อเท็จจริง และหลักการ ที่ยากจะมีใครมาหักล้างได้ ดังที่เห็นๆกันอย่างนี้หรอก โดยเฉพาะคณะนิติราษฎร์ที่คนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าเขายอมรับกัน

อ้าว หลังจากหมอตุลย์ออกมาพูดได้วันสองวัน วันที่ 20 มกราคม 2555 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ออกมาประกาศทาง ASTV เชิญชวนให้ทหารลากปืนออกมาทำการปฏิวัติและพร้อมที่จะร่วมมือว่า

“...มีแต่พลังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะคุ้มจุนประเทศชาติ ทหารอย่านิ่งเฉยรีบออกมาปฏิวัติเสีย แล้วพันธมิตรทั่วประเทศจะออกมาช่วยทหาร ยึดประเทศไทยคืนมาจากไอ้พวกชั่วๆ ก็เท่านี้แหละครับพี่น้อง” (โธ่เอ๋ย...ผีห่าซาตานตนใด มาดลใจให้คุณสนธิ ที่ผมเคยรักและเคารพมาคิดสั้นแกล้งโง่ พูดทำลายตนเองได้ถึงขนาดนี้ โอ้ มายก๊อด)

อ้าว ยังไม่ทันหายตกใจจากคุณสนธิ ก็ปรากฏว่า คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวเครือเนชั่น ก็ได้โพสต์ลงเฟชบุ๊ค “kanok Ratwongsakul” เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2555 โดยวิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนการแก้ไขแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา 112 ว่า

“...ทุก 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟชบุ๊คนี้ ผมก็อ่านมาตลอด บางคนลงรูปอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าพวกนี้บนเฟชบุ๊คผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 - 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่าพ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่เขาน่าจะได้เห็น “ในหลวง” ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านกฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่...ไม่ห้ามปรามเลยหรือ หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมกล่าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า”

ครับ นอกจากเราควรจะขอบคุณคุณหมอตุลย์ เหมือนอย่างที่ผมนึกขอบคุณแล้ว ผมว่าเราควรจะขอบคุณ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เชิญชวนทหารให้ออกมาทำการปฏิวัติ และขอบคุณ คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ที่ตั้งคำถามต่อกลุ่มผู้ที่สนับสนุนการแก้ประมวลกฎหมายอาญาฯ 112 ว่า

“อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า”

เพราะผมมองว่าทั้ง 3 ท่านนี้เป็นผู้ที่มาเปิดช่องทางให้แก่พลังทางสังคมที่เต็มไปด้วยคุณภาพของคณะนิติราษฎร์และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ออกมาแสดงพลังดังกล่าวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น และทำให้เราได้พิจารณาเปรียบเทียบ “ปริมาณและคุณภาพของอุดมการณ์” ของทั้งสองฝ่าย ว่าใครดีกว่าใคร และเราควรจะเชื่อถือใครดี ระหว่างคณะนิติราษฎร์ และกลุ่มคนเสื้อหลากสี กลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งไม่ว่าจะพูดอะไร ในที่สุดก็จะสรุปซ้ำๆซากๆแบบนกแก้วนกขุนทองในเชิงกล่าวหาเขาได้เพียง Concept เดียวว่า

“พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ” “พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ”
“พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ” “พวกนี้เป็นพวกคิดจะล้มล้างสถาบันฯ” ฯลฯ

ครับ
ระหว่างวาทกรรมที่เต็มไปพลังทางความคิด เหตุผล ข้อเท็จจริง และหลักการ และวาทกรรมที่อ้างเอาความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาผูกขาดเป็นของตัวเอง - ปกป้องตัวเอง และถือเป็นความชอบธรรมในโต้แย้ง ดุด่า คุกคาม ข่มขู่ และกล่าวหาคนที่เขาคิดต่างว่า “เป็นพวกที่คิดจะ ล้มล้างสถาบันฯ” เป็นคนที่ควรกวาดล้างออกไปจากผืนแผ่นดินไทยให้หมดสิ้น ใครเจ๋งกว่าใคร ใครหน่อมแน้มกว่าใคร (ฮา) ขอเชิญชวนวิญญูชนและท่านผู้เจริญแล้วเลือกพิจารณาและเชื่อถือได้ตามใจชอบ ครับผม.

18 - 28 มกราคม 2555 กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
บุญญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์นามนี้เป็นที่รู้จักกันมานาน และยังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการสื่อมวลชนภาคเหนือตอนบน ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอาวุโสของจังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้จักเขามานาน ก่อนที่เขาจะเป็นนักหนังสือพิมพ์เสียอีกนั่นคือ รู้จักเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่มเอวบางร่างน้อย จากดินแดนแห่งขุนเขาและม่านหมอกอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ที่เดินทางจากบ้านเกิดหน้าที่ว่าการอำเภอ ไปบวชเรียนเป็นเณรอยู่ที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ต.บางจาก อ.พระโขนง กรุงเทพฯ ภายใต้ร่มเงาพุทธธรรมของท่านอาจารย์วิริยังค์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติชื่อเสียงโด่งดัง สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน  เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น  ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
   
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ภาพจาก http://gotoknow.org/file/i_am_mana/DSC04644.1.jpg คุณที่รักผมลงมือเขียนต้นฉบับนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งนับจากวันนี้ไปอีก 3-4 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง แต่จนป่านนี้ ผมซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศที่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 2 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังนึกไม่ออกเลยว่าควรจะใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ไปเลือกใครหรือพรรคใด หรือว่า...ควรจะโนโหวต คือไม่เลือกใครเลยเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเพราะว่า ผมเป็นคนที่หน่อมแน้มในเรื่องการเมืองจริง ๆ  จึงไม่สามารถวิเคราะห์และตัดสินด้วยตัวเองได้อย่างเชื่อมั่น ว่าใครหรือพรรคการเมืองใดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเป็นคนที่วิตกกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวิตกว่าตัวผมผอมไป วิตกว่าผมจะร่วงจนหมดศีรษะ กลัวไปว่าแต่งงานแล้วจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พอ กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก ๆ ไม่ได้ และเพราะเหตุที่ตัวผมเองมีชีวิตไม่ค่อยเป็นสุขนัก ผมจึงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์ของตัวเองที่ปรากฏต่อคนอื่นเพราะความวิตกกังวล ทำให้ผมเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ผมทำงานไม่ไหวอีกต่อไปต้องหยุดงานอยู่กับบ้าน ผมวิตกกังวลมากเกินไปจนเลยขีดขั้นจำกัด คล้ายกับหม้อน้ำเดือดที่ปราศจากวาล์วปิดกั้น จนทำให้ผมต้องเป็นโรคประสาทอย่างหนัก ผมไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้แต่กับคนในครอบครัวของผมเอง ผมควบคุมความคิดของตัวเองไม่อยู่ และรู้สึกหวาดกลัวไปหมด…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปไกลลิบลับไม่กลับมาจากไปแล้วหนา...วนิดา คนดีคนดีของคนยากของแผ่นดินยุคทมิฬ รัฐ บรรษัท ทำบัดสีถืออำนาจอยุติธรรมคอยย่ำยีขยำขยี้คนจนปล้นทรัพยากรสารพัดในนามของความผิดที่เขาคิดมากล่าวหามาถอดถอนเพื่อขับไล่ไสส่งจากดงดอนจากสิงขร จากน้ำฟ้า ป่าบรรพชนด้วยกฎหมายที่เขาตราขึ้นมาเองใช้เป็นเหตุยำเยงทุกแห่งหนที่มาดหมายครอบครองเป็นของตนขับไล่คนเหมือนหมูหมาเหมือนกาไก่เธอจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้อยุติธรรมแด่ผู้ที่ยากไร้ทั้งชีวิตอุทิศทั้งกายใจควรกราบไหว้ควรเชิดชู ควรบูชาโอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปแล้วคุณคนดี วนิดาต่อแต่นี้น้ำตา...…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
- สวัสดีครับ- สวัสดีค่ะ- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ- โอ๋ ดีจังเลย- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ - ถูกต้องค่ะ- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่ผ่านโลกและชีวิตมาอย่างโชกโชนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นคนที่เข้าใจมนุษย์ พวกเขามักจะมีคำตอบที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง ชนิดที่เราฟังแล้ว...บางทีถึงกับสะอึก และต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต เพราะมันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจวันหนึ่งนานมาแล้วผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเข้าเมือง ไปส่งคุณแพรจารุ พูดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะคุณแพรและอาจารย์เลี่ยงไปคุยกันอีกมุมหนึ่งในห้องรับแขก ผมก็นั่งดูหนังจาก ยูบีซี ที่ท่านอาจารย์เปิดค้างไว้  รู้สึกว่าจะเป็นหนังจากยุโรป เรื่องอะไร…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากที่ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาได้จากไป เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเต็ม ๆ ผมคิดว่านอกจากบทเพลงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามากมายหลายชุด ที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่ทำให้เราคิดถึงถึงเขา ยามได้ยินบทเพลงของเขา ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังมีสถานที่และผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของเขา บางสถานที่บางบุคคล ที่ทำให้เราคิดถึงเขา ยามได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น และได้พบใครบางคนดังกล่าว เช่นร้านอาหาร สายหมอกกับดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่ 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีใครต่อใครมากมายหลายคนบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทำไมนะคนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชนอยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้นตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสณ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมมีความเชื่อว่าคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบ้านเรา ถ้าหากไม่หลงไปปฏิบัติผิดที่ผิดทาง ท่านคงจะรู้กันดีทุกคนนะครับ ว่าเป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติเพื่อลดละและปล่อยวาง  ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นตัวของเรา – เป็นของของเรา ซึ่งทางพุทธบ้านเราถือว่าเป็นต้นตอรากเหง้าของความทุกข์ทางใจทั้งหลายทั้งปวงส่วนจะเป็นทุกข์มากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับใจของเรา ที่เข้าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกำหนด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเข้าไปยึดถือมากก็ย่อมเป็นทุกข์มาก ถ้าเข้าไปยึดถือน้อยก็เป็นทุกข์น้อยนั่นเองครับนี่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก…