Skip to main content
 

ปลายสัปดาห์นั้น หมู่บ้านคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้ใหญ่บ้านประกาศล่วงหน้ามานานหลายวันแล้วว่า วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมชาวบ้าน มารับฟังปัญหา จึงขอเชิญชาวบ้านมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกัน

ซึ่งอันที่จริง การขอเชิญ นั้น ก็มีการขอร้อง กึ่งๆ ขอแรง ปะปนอยู่ด้วย เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังวุ่นกับงานในไร่ เตรียมจะปลูกแตงกวา มะเขือเทศ ถั่วฝักยาวกัน

นานๆ จะมีเจ้าใหญ่นายโตมาเยี่ยมหมู่บ้าน ใครต่อใครก็เลยต้องทำความสะอาด ปัดกวาดบ้านกันใหญ่ เพราะเดี๋ยวถ้าเกิดแจ๊กพ็อต ผู้ว่าฯ เดินเข้ามาหาถึงบ้าน แล้วบ้านรกยังกับรังนก เป็นได้อายเขาตายเลย ยิ่งใครก็ไม่รู้ ปล่อยข่าวว่า จะมีนักข่าวเคเบิลทีวีตามมาด้วย ชาวบ้านเลยต้องขยันเก็บกวาดกันผิดปกติ

วัว ควาย เป็ด ไก่ หมู หมา แมว กระสอบ จอบ เสียม รถเข็น เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ถูกเก็บ ถูกจัด ถูกวางแบบที่ไม่เคยเป็นระเบียบอย่างนี้มาก่อนในรอบสิบปี พวกหนุ่มๆ ถูกเกณฑ์มาทำความสะอาดอนามัย อบต. ศูนย์เด็กเล็ก ชมรมผู้สูงอายุ ถนนหนทางของหมู่บ้าน ทั้งเก็บขยะ ดายหญ้า กวาดถนน

และหมายกำหนดการในวันศุกร์ของท่านผู้ว่าฯ ที่จะมาตรวจเยี่ยมชาวบ้านนั้น ก็คือ 
           

14.00 น. ผู้ว่าฯ และคณะ เดินทางมาถึงที่ทำการ อบต. ซึ่งจะมีนายอำเภอ ปลัด กำนัน และ นายกฯ อบต. รอต้อนรับอยู่
14.15 น. นายอำเภอ กล่าวรายงานข้อมูลพื้นฐานของอำเภอ พร้อมกับแนะนำหัวหน้าส่วนราชการในอำเภอ
15.00 น. กำนัน กล่าวรายงานข้อมูลพื้นฐานของหมู่บ้าน พร้อมกับแนะนำผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาต่างๆ ของตำบล
15.30 น. ผู้ว่าฯ รับฟังปัญหา และพูดคุยกับชาวบ้าน
16.30 น. ผู้ว่าฯ ออกเดินตรวจเยี่ยมตามบ้าน
17.00 น. ผู้ว่าฯ เดินทางกลับ

แต่ปรากฎว่า ตอนเช้าวันนั้นเอง คณะของผู้ว่าก็แจ้งมาว่า ผู้ว่าฯ ติดภารกิจด่วน หมายกำหนดการทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเหลือแค่หนึ่งในสาม นั่นคือ ผู้ว่าฯ มาถึง ก็รับฟังปัญหาจากชาวบ้าน ออกเดินตรวจเยี่ยมชาวบ้าน แล้วก็เดินทางกลับ

พอกำนันรู้ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าโล่งอก หรือ เซ็งจัดกันแน่ เพราะอุตส่าห์ทำความสะอาดกันยกตำบลเสียเรี่ยมเชี่ยม
"...ก็ดีเหมือนกัน..." ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งพูดลอยๆ แบบไม่มีเหตุผลต่อท้าย

พอได้เวลาสี่โมงเย็น(เลื่อนจากเดิมลงมาอีกสองชั่วโมง) คณะของผู้ว่าฯ ก็เดินทางมาถึงที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล มี นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการในอำเภอ นายกฯ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้าน หลายสิบคน ไปร่วมต้อนรับ

เมื่อผู้ว่าฯ มาถึง ทุกคนก็ได้ทราบว่า กำหนดการจะเปลี่ยนไปอีก เพราะผู้ว่าฯ ไม่มีเวลาเดินตรวจเยี่ยมชาวบ้านแล้ว จึงจะเปลี่ยนไปเยี่ยมหน่วยงานในตำบลแทน

"...จะเอาที่ไหนล่ะ ไม่ได้จัดไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย..." นายกฯ อบต. กระซิบเสียงเครียดกับผู้ใหญ่บ้าน 4-5 คน ขณะที่กำนันกำลังกล่าวรายงานแนะนำหมู่บ้าน
"...กำหนดการก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา...เฮ้อ..." ผู้ใหญ่บ้านหมู่สามบ่นพลางส่ายหัว
"...จะให้ไปเยี่ยมหน่วยงานไหนล่ะ? โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก เด็กๆ มันก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว อนามัยก็มีเจ้าหน้าที่อยู่แค่สองคน กลุ่มแม่บ้าน ป่านนี้ก็ยังไม่กลับจากไร่จากนากันหรอก..." ผู้ใหญ่บ้านหมู่สี่ ชี้แจงอย่างจนใจ

ยืนเครียดกันอยู่สักพัก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ห้าก็เสนอขึ้นมาว่า
"...เอางี้สิ...ให้ผู้ว่าแกไปเยี่ยมชมรมผู้สูงอายุดีกว่า เดี๋ยวฉันไปเปิดที่ทำการไว้ให้ แล้วก็ช่วยกันเกณฑ์ไปสักสิบยี่สิบคน แค่ที่ยืนๆ อยู่นี่ก็คงพอ..."
พอได้ยินดังนั้น คนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที

ผู้ใหญ่บ้านหมู่ห้าหัวไวจริงๆ เพราะ หนึ่ง ที่ทำการชมรมผู้สูงอายุ ก็อยู่ติดกับ ที่ทำการ อบต.นั่นเอง และ สอง ชาวบ้านที่เกณฑ์กันมาต้อนรับผู้ว่าฯ กว่าครึ่ง ก็เป็นคนแก่ คนเฒ่า สมาชิกชมรมทั้งนั้น ดังนั้น ทุกคนจึงช่วยกันจัดการทันที
"...ปลูกผักชีกันอีกแล้ว..." ผู้ใหญ่บ้านหมู่สามบ่นขำๆ
"...เอาเหอะ เขาอยากกิน ก็จัดให้เขาหน่อย..." นายกฯ อบต. พูดยิ้มๆ

พอเสร็จสิ้นการรายงาน(อย่างรวบรัด) คณะของผู้ว่าฯ ก็เดินตรงไปที่ชมรมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวอยู่ไม่ไกลจาก อบต. ผู้เฒ่าผู้แก่สมาชิกชมรม มานั่งรอกันอยู่พร้อมหน้ากว่ายี่สิบคน ซึ่งอันที่จริง ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่ไปยืนต้อนรับผู้ว่าฯ นั่นเอง กระนั้น ก็ดูเหมือนผู้ว่าฯ จะไม่ได้สังเกตุ หรือไม่ก็เต็มใจที่จะมองข้าม ท่านผู้ว่าฯ จึงเข้าไปทักทายพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม

"...คุณตาอายุเท่าไรแล้วครับเนี่ย ยังดูแข็งแรงอยู่เลย" ท่านผู้ว่าฯ ทักตาชุ้ย ชายชราผิวเข้มร่างใหญ่ แกมีรอยสักทั่วตัว แต่หน้ายิ้ม ดูใจดีตลอดเวลา
"...ปีนี้ก็เจ็ดสิบห้าแล้วล่ะครับ" ตาชุ้ย ตอบยิ้มๆ
"โอ้โห...ยังดูแข็งแรงเหมือนเพิ่งอายุหกสิบเลยนะ" ผู้ว่าฯ หยอก เล่นเอาทุกคนหัวเราะครืน
"เมื่อก่อน คงทำไร่ทำนาเก่งน่าดูสินะ ถึงยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้" ผู้ว่าฯ ถาม แต่ตาชุ้ยส่ายหัว
"เปล่าครับ...ผมไม่ได้ทำไร่ทำนาหรอก เมื่อก่อนผมเป็นมือปืน ยิงคนตายติดคุกอยู่ตั้งสิบกว่าปี เพิ่งจะออกมาได้สักเจ็ดแปดปีนี่แหละครับ" ตาชุ้ยตอบซื่อๆ เล่นเอา ท่านผู้ว่าฯ กับคณะเงียบกริบ แต่พวกชาวบ้านแอบปิดปากกลั้นหัวเราะกันแทบแย่

ตาชุ้ย เป็นอดีตมือปืน ตอนหนุ่มๆ โหดเหลือหลาย แต่พอออกจากคุกตอนแก่ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใจเย็น ยิ้มง่าย ไม่มีเรื่องราวกับใคร เข้าวัดถือศีลแปดทุกวันพระ แถมยังได้รับคัดเลือกให้เป็นคณะกรรมการวัดอีกต่างหาก

ท่านผู้ว่าฯ หัวเราะแหะๆ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันไปหาคุณยายอีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งเคี้ยวหมากหยับๆ อยู่ข้างๆ
"ยาย...ยังกินหมากอยู่อีกหรือ" ผู้ว่าฯ ทัก ยายไข่หันมายิ้มฟันดำปี๋
"จ้า...เลิกไม่ได้ร้อก...กินมาตั้งกะสาวๆ แล้ว..."
"ยายอายุเท่าไรแล้วจ้ะ" ผู้ติดตามคนหนึ่งของท่านผู้ว่าฯ ถามยาย
"ปีนี้ก็...แปดสิบเก้าแล้วล่ะ" ยายไข่ตอบทันที แกตอบคำถามนี้บ่อยเสียจนจำอายุตัวเองได้แม่น
พอยายไข่บอกอายุตัวเอง ก็เรียกเสียงฮือฮาจากคณะผู้ติดตามทันที
"โอ้โห...ยายจะเก้าสิบอยู่แล้ว ยังแข็งแรงอยู่เลย นี่เดินมาจากบ้านเองหรือเปล่า" ผู้ว่าฯ ถาม ยายไข่ใช้มือปาดน้ำหมากจากปาก พยักหน้าหงึกๆ
"บ้านก็อยู่เคียงๆ (ใกล้ๆ)นี่แหละ...เดินมาเองได้"
ผู้ว่าฯ นั่งลงข้างๆ ตั้งท่าจะคุยเป็นงานเป็นการ
"ยายมีเคล็ดลับอะไรถึงได้อายุยืนขนาดนี้ พอจะบอกผมบ้างได้มั้ยล่ะ เผื่อผมจะได้เอาไปเผยแพร่ให้ประชาชนคนอื่นเขารู้บ้าง"

คณะผู้ติดตามกระซิบกระซาบกัน คนหนึ่งหยิบกระดาษปากกาออกมาจด อีกคนบอกให้ กล้องโทรทัศน์จากเคเบิลทีวีเข้าไปเก็บภาพใกล้ๆ
แต่ยายไข่ ไม่ตอบคำถามผู้ว่าฯ แกเบะปาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็พูดว่า
"พวกเอ็ง...อย่าอยู่นานอย่างข้าเล้ย มันลำบาก...ทุกวันนี้ ข้าก็รอว่าเมื่อไรจะตายจะได้เลิกลำบากซะที"

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…