Skip to main content
พี่หวี จอดรถเครื่องที่ใต้ร่มมะขาม แกเดินหน้าเซ็งมานั่งที่เปล คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง นอนแกว่งเปลถอนหายใจสามเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายความในใจออกมาด้วยประโยคเดิมๆ ว่า

"...เบื่อว่ะ...ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันอีกแล้ว..."


เจ้าบุญ น้าเปีย เจ้าปุ๊ก ที่กำลังนั่งแกะมะขามสุกเอาไว้ทำมะขามเปียก ก็หันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ปล่อยให้พี่หวีได้พูดระบายความเครียดไป ถามบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะนั่งฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ

ไอ้เปี๊ยก ลูกชายวัยรุ่นของพี่หวีกับพี่แสวง ออกจากโรงเรียนตอน ม.2 มันเคยเป็นเด็กเรียบร้อยและเรียนดี แต่เพื่อนที่มันคบ ไม่เรียบร้อย และไม่ชอบเรียน มันก็เลยถูกลากถูกจูงไปกับเขาด้วย ในที่สุด พี่แสวง ก็เลยให้มันมาช่วยงานที่อู่ซ่อมรถยนต์ที่แกทำงานอยู่


"...ไม่เรียน...เอ็งก็มาทำงานก็แล้วกัน..." พี่แสวง พูดอย่างปลงๆ เพราะเคยตั้งใจไว้ว่าอยากจะส่งให้มันเรียนสูงๆ แต่ในเมื่อมันไม่รักเรียน จะไปบังคับมันก็ไม่ได้


ผ่านไปสองปี ไอ้เปี๊ยก ก็คล่องงาน ทำได้แทบจะทุกอย่าง แม้จะยังขี้เกียจหรือเหลวไหลอยู่บ้าง แต่ค่าแรงวันละสองร้อยกว่าบาท ก็พิสูจน์ว่ามันดูแลตัวเองได้ น้าหวี กับพี่แสวง ก็เริ่มเบาใจ คิดว่า ต่อไป ถ้ามันเอาการเอางาน ก็น่าจะเป็นช่างซ่อมที่มีฝีมือได้

 

แต่แล้วเมื่ออายุสิบหกย่างสิบเจ็ด ไอ้เปี๊ยกก็ไปก่อเรื่องให้พ่อแม่ปวดกะบาลจนได้

ไอ้เปี๊ยกไปทำเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันท้อง

เรื่องมันแดงก็เพราะเด็กผู้หญิงกินยาขับลูกออก จนต้องเข้าโรงพยาบาล

"...ท้องได้สี่เดือนแล้วค่ะ..." คุณหมอบอก แม่ฝ่ายหญิงได้ยินดังนั้น ก็เป็นลมไปเลย

 

ฝ่ายนู้นเขาเป็นคนมีเงินมีหน้ามีตา เขาก็โวยวายจะเอาเรื่อง น้าหวีกับพี่แสวงต้องไปเจรจา ในที่สุด ต้องจัดงานแต่งงานให้ โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นไปร่วมแสน

สามเดือนต่อมา พี่หวีกับพี่แสวงก็ได้อุ้มหลานชายน่าเกลียดน่าชังตัวจ้ำม่ำ พร้อมกับรับลูกสะใภ้วัยทีนเอจมาอยู่ด้วย

 

แรกๆ ก็ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะไปได้ดี พี่แสวงกับไอ้เปี๊ยกทำงานที่อู่ พี่หวีขายลูกชิ้นปิ้งอยู่กับบ้าน มีลูกสะใภ้เลี้ยงหลานกับช่วยงานบ้าน บางวัน พ่อตาแม่ยายของไอ้เปี๊ยกเขาก็จะมาหาหลานเขาบ้าง พร้อมกับหอบข้าวของมาให้มากมาย


แม้คุณแม่มือใหม่จะยังดูเก้ๆ กังๆ ต่อทั้งการเลี้ยงลูกและงานบ้าน แต่พี่หวีก็พยายามบอกพยายามสอน ทั้งแม่ยายไอ้เปี๊ยกก็บอกว่า

"...อยู่บ้านมันก็ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นหรอก ค่อยๆ สอนมันไปเถอะนะ..."

ดังนั้น แม้พฤติกรรมจะยังขึ้นๆ ลงๆ พี่หวีกับพี่แสวงก็เชื่อว่า อีกหน่อยมันก็คงจะดีเอง

 

ทว่า เรื่องที่เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือ ไอ้เปี๊ยกกับเมียชอบทะเลาะกัน

ทะเลาะกันได้แทบจะทุกวัน แทบจะทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุด ก็ต่อปากต่อคำกันจนเป็นเรื่องเป็นราว เมียไอ้เปี๊ยกขี้บ่นอย่างที่พี่แสวงเปรียบเทียบว่า

"...เหมือนมันอมรังผึ้งไว้ในปาก เดินไปไหนก็บ่นหึ่งๆๆ ไปด้วย..."


พี่หวีปลอบใจตัวเองว่า ผัวหนุ่มเมียสาว มันก็วัยรุ่นด้วยกันทั้งคู่ ยังอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจตัวเอง อีกหน่อยมันโต มันก็คงจะเข้าใจ แล้วก็ใจเย็นลง

แต่ไม่มีใครรู้ว่า "อีกหน่อย" ที่ว่านั้นเมื่อไรจะมาถึง ? ...

 

ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวัน บางวันถึงกับขว้างปาข้าวของ พี่แสวงสุดจะทนต้องออกปากว่า ถ้าไม่หยุดทะเลาะกัน จะไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น เพราะแกทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน กลับบ้าน ก็อยากพักผ่อน สองผัวเมียวัยรุ่น ก็เลยสงบปากสงบคำไปได้พักใหญ่

แต่แค่ไม่กี่วัน ก็ตั้งต้นมีปากเสียงกันอีกแล้ว

 

"...กูก็ไม่รู้ว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา..." พี่หวี ระบายให้เจ้าปุ๊กฟัง

"...ไม่ใช่ว่าไอ้เปี๊ยกมันดีอะไรนักหนาหรอกนะ แต่เมียมันขี้บ่นจริงๆ ไอ้เปี๊ยกพูดนิดพูดหน่อยมันก็เถียง ไม่ยอมฟัง...เงินเดือนได้มา ไอ้เปี๊ยกก็ให้เมียมันหมด แต่เมียมันนะ...ไอ้เปี๊ยกจะขอสิบยี่สิบบาทไปซื้อขนมกินเมียมันยังไม่ให้เลย...แต่พอมันเข้าตลาดซื้อของ เสริมสวย อะไรต่ออะไรของมัน หมดไปตั้งหลายร้อย...งานบ้านไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่แตะเลย นานๆ ทีถึงจะลุกมากวาดบ้าน ล้างจาน นอกนั้นก็นอนดูทีวี...เสื้อผ้าลูก ขวดนมลูก ปล่อยทิ้งไว้เกลื่อน...ลูกมันมันก็ไม่ค่อยจะดูจะแล ไอ้เราก็ต้องเลี้ยงแทน ไหนจะขายของ ไหนจะงานบ้าน มันจะมาหยิบมาจับช่วยเราสักนิดก็ไม่ได้...เฮ้อ...กลุ้มจริงโว้ย..."


พี่หวี บ่นเรื่องลูกสะใภ้เป็นประจำ จนใครต่อใครก็เห็นใจ แต่เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวเขา วิธีที่ที่สุดที่จะช่วยได้คือ รับฟัง


พี่แสวงกับพี่หวี เป็นพวกมีความอดทนสูง พยายามทนให้ถึงที่สุด พอทนไม่ไหวจริงๆ ถึงจะออกปากเตือนสักครั้ง พอเตือนที เหตุการณ์ก็ดีขึ้น แต่พอผ่านไปสักพัก ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมพี่หวีพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงพ่อตาแม่ยายของไอ้เปี๊ยกในทางที่ไม่ดี แต่แกก็อดสงสัยอยู่บ่อยๆ ไม่ได้ว่า เขาเลี้ยงลูกยังไงของเขา มันถึงเป็นคนแบบนี้ แถมพอไอ้เปี๊ยกทะเลาะกับเมีย จนเมียมันหอบลูกกลับไปอยู่บ้านมันทีไร แม่ยายไอ้เปี๊ยกจะยุให้เมียมันเลิกกับไอ้เปี๊ยกเสียแทบจะทุกที


แต่ผ่านไปไม่กี่วัน เมียไอ้เปี๊ยกก็หอบลูกกลับมาเหมือนเดิม

วันไหน พ่อตาแม่ยายมาเยี่ยม ไอ้เปี๊ยกจึงทำหน้าเซ็งไม่พูดอะไรสักคำ

 

ไอ้เปี๊ยก ออกอาการว่าเริ่มเบื่อเมีย(รวมถึงแม่ยาย) พอเมียกลับบ้านที มันก็จะออกไปเที่ยวไม่กลับบ้านกลับช่อง มีข่าวกระเซ็นกระสายว่ามันไปติดผู้หญิงคนใหม่ จนพี่หวีต้องไปตามมันกลับบ้าน


เมื่อความสัมพันธ์ของคู่ผัวเมียวัยรุ่นระหองระแหง แถมผู้ใหญ่ฝ่ายหนึ่งก็ทำตัวไม่ค่อยสมกับเป็นผู้ใหญ่ ในที่สุด ความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ก็เลยพลอยแย่ไปด้วย

 

เย็นวันหนึ่ง ไอ้เปี๊ยกก็ถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เมื่อมันทะเลาะกับเมียดังลั่นบ้าน เมียมันไล่ให้มันไปพ้นๆ หน้า ไอ้เปี๊ยกไม่พูดไม่จา เดินไปสตาร์ทรถเครื่องขับออกจากบ้านหายไปในความมืด


ไอ้เปี๊ยกหายตัวไปสามคืน พี่หวีกับพี่แสวงร้อนใจ ออกตามหา แต่เพื่อนของมันทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รู้ เมียมันก็อยู่ไม่ได้ ต้องหอบลูกกลับไปอยู่บ้าน


ล่วงเข้าสัปดาห์ที่สอง พี่หวีก็ได้ข่าวว่ามันไปอยู่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง แต่ก่อนที่แกจะไปตาม พี่แสวงก็บอกว่า

"...มันคงจะกลุ้มเรื่องเมียมัน ปล่อยมันไปสักพักเถอะ...ข้าว่า มันไม่เป็นอะไรหรอก แล้วช่วงที่มันกับเมียมันไม่อยู่นี่นะ ข้ารู้สึกสบายใจดีว่ะ..."

พี่หวีได้ฟังดังนั้น ก็เห็นจริงตาม พอไม่มีเสียงทะเลาะกัน บ้านก็เงียบสงบไปเลย แม้จะเป็นห่วงไอ้เปี๊ยก แต่ในที่สุด พี่หวีก็ตัดสินใจไม่ไปตาม แต่ฝากบอกเพื่อนๆ มันว่า ให้ช่วยดูแลมันด้วย ถ้ามันเป็นอะไรก็ให้มาบอก

"...ดีเหมือนกันว่ะ สบายหูดี ..." พี่หวี เห็นด้วย

 

แต่คนที่ทำท่าว่าจะทุกข์ร้อนใจยิ่งกว่า คือเมียกับแม่ยายของไอ้เปี๊ยก เพราะเมียมันเทียวมาถามทุกวันว่า ไอ้เปี๊ยกกลับมาบ้านหรือยัง

"...ถ้ามันกลับมา หนูจะเลิกทะเลาะกับมัน..." เมียไอ้เปี๊ยกทำตาแดงๆ สำนึกผิด

แม่ยายไอ้เปี๊ยกก็โทรมาถามพี่หวีทุกวันว่า ไอ้เปี๊ยกกลับมาหรือยัง พอพี่หวีบอกว่ายัง แกก็อึกอักๆ บอกว่า ถ้ามันกลับมาให้โทรมาบอกด้วย

"...คงจะเบื่อเลี้ยงหลานแล้วล่ะสิ...ค่านม ค่ายา น่ะ พี่แสวงเขาจ่ายทั้งนั้น ทางนู้นเขาขี้เหนียวไม่เคยจ่ายสักกะบาท..." พี่หวีว่าอย่างรู้ทัน

ดูเหมือนแกจะเริ่มสบายใจจริงๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน

 

ยุคนี้ สมัยนี้

ผัวเมียวัยรุ่น ท้องแล้วจำใจต้องแต่ง มีกลาดเกลื่อน

จำนวนไม่น้อย ที่ความรับผิดชอบต่ำ เอาแต่ใจ ด้อยวุฒิภาวะ

อยู่กันได้ไม่นานก็เลิก เพราะไม่ได้รักกัน หรือ ไม่เคยเข้าใจคำว่าชีวิตคู่ด้วยซ้ำ

แน่ละ ชีวิตใคร คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ

แต่สำหรับ วัยที่ยังไม่เดียงสาเหล่านี้

 

ผู้ใหญ่' ควรมีส่วนรับผิดชอบในการกระทำของพวกเขา มากน้อยสักแค่ไหน ?

 

 

 

 

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…