Skip to main content
เกษตรทางเลือก เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เกษตรแนวใหม่ ฯลฯ ล้วนแต่น่าสนใจ และกำลังเป็นทางเลือกสำหรับการทำการเกษตรในอนาคต
ทว่า ชาวบ้านจำนวนมากก็ยังคงรู้จักอยู่แค่อย่างเดียว
คือ เกษตรเคมี


ฟังดูอาจจะขัดกับความรู้สึกของคนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง ที่กำลังอินกับกระแสรักสุขภาพ แต่ก็โปรดรับรู้เถิดว่า ผักที่ท่านซื้อจากตลาด(ไม่ว่าจะติดแอร์หรือไม่ก็ตาม) เกือบจะร้อยเปอร์เซนต์ ล้วนมีสารเคมีทั้งสิ้น  มากบ้างน้อยบ้างตามประเภทของผัก และตามปริมาณการใช้ของผู้ปลูก


ว่ากันง่ายๆ พืชผักประเภทหนักยาอย่าง ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บล็อกโคลี่ จะหาไอ้ที่สารเคมีน้อยๆ นั้น ยากเหลือหลาย ผักสวยๆ แบบปลอดสารแท้ๆ นั้นแทบจะไม่มี มีแต่ปลอดภัย คือฉีดยา แต่พ้นระยะอันตรายไปแล้ว ซื้อไปบริโภคได้
ส่วนประเภทเบายา เช่น กระเพรา โหระพา ใบแมงลัก แตงกวา ผักชี แม้ไม่ค่อยมีศัตรูพืช แต่ก็ต้องฉีดยากันเชื้อราบ้าง

พืชผักแต่ละอย่างก็มีรายละเอียดในการดูแลแตกต่างกันไป ใครถนัดอย่างไหนก็ปลูกอย่างนั้น ใครถนัดหลายอย่าง ก็ปลูกได้หลายอย่าง
ถ้าจะปลูกหลายอย่าง อย่างละเล็กอย่างละน้อย แค่พอไว้กินเอง นั้นไม่มีปัญหา (แต่ถ้าคิดว่าจะปลูกไว้กินเอง เหลือค่อยเก็บขาย กลับไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะถ้าไม่สวย ก็ไม่มีใครซื้อ)

แต่ถ้าจะปลูกหลายอย่าง เพื่อขาย นอกจากจะต้องมีความขยันขันแข็งอย่างยิ่งยวดแล้ว ยังต้องมีทุนอย่างยิ่งด้วย
ก็ผักแต่ละอย่าง ค่าปุ๋ย ค่ายา มันน้อยเสียเมื่อไร
ปุ๋ยกระสอบละ 500-800 บาท
ยาฆ่าแมลงขวดละ 300-500 บาท
ฮอร์โมนเร่งการเติบโตขวดละ 400-600 บาท

ปลูกหลายอย่างก็ใช้ยาหลายตัว แถมยาสมัยนี้ก็มีหลายยี่ห้อ หลายชื่อเสียเหลือเกิน จะฉีดยาฆ่าหนอนสักชนิด มียาให้เลือกใช้ตั้ง สิบกว่าชื่อ มองขวดจนตาลายยังไม่รู้จะเลือกอะไรดี จะเลือกแบบมั่วๆ ก็ไม่ได้ เพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ แถมถ้าใช้ไม่ได้ผล คุมหนอนแมลงไม่อยู่ ก็เสี่ยงที่จะเสียไปทั้งหมด

แล้วถ้าเกิดใครสักคน ไม่อยากใช้ยาฆ่าแมลง หรืออยากใช้ให้น้อยกว่าคนอื่น จะเกิดอะไรขึ้น
?
หนอน แมลง มันก็จะมารุมลงแปลงผักที่ฉีดยาน้อย หรือไม่ได้ฉีดยาน่ะซี
คืนเดียวเท่านั้น รับรองว่า เรียบ ไม่ต้องฟื้นกันเลย
ในเมื่อใครๆ เขาก็ฉีดกันทั้งนั้น แล้วใครจะกล้าเสี่ยงไม่ฉีด
เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ ผักปลอดสาร ฯลฯ ใช่ว่าชาวบ้านจะไม่รู้ แต่ก็ก็จนด้วยคำถามเดิมๆ  "ใครล่ะ จะกล้าเสี่ยง?"

ใครต่อใครจึงต้องหาทางฉีดยาคุมศัตรูพืชให้อยู่ ภายใต้งบประมาณที่ประหยัดที่สุด ทีนี้แต่ละคนก็มีความเชื่อ และความนิยมแตกต่างกันไป บ้างก็ชอบยี่ห้อ บ้างก็ชอบที่ชื่อ บ้างก็เน้นแต่ว่า เอายาที่ผลิตจากบริษัทนี้ๆ เท่านั้น 
พอตอนเอามาใช้ บ้างก็เอายาตัวนั้นผสมกับยาตัวนี้ บ้างก็เอายาตัวนี้ไปผสมกับฮอร์โมนตัวนั้น หรือ ยาสองตัวกับฮอร์โมนอีกตัวหนึ่ง ฯลฯ  หลายคนขี้เกียจจำ ขี้เกียจไปคิดค้นสูตร ก็ใช้ตามๆ คนอื่น ใช้ดีก็ใช้ต่อไป ใช้ไม่ดีก็เปลี่ยนไปลองตัวอื่น
แต่ก็มีอีกไม่น้อย ที่มี "สูตรลับ"  ซื้อปุ๋ย ซื้อยาอะไรมาจากที่ไหน ไม่มีเสียละที่จะบอกใคร กระทั่งกระสอบปุ๋ย ขวดยา ยังแอบซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้
มันคงจะเป็นความภาคภูมิใจประหนึ่งได้ครอบครองภูมิปัญญา(เคมีเกษตร)อันล้ำค่าไว้

หน้าแล้งปีนี้ ปลูกแตงโมกับมะเขือเทศกันเยอะ
แตงโมต้องใช้ความเชี่ยวชาญไม่น้อยเลย ต้องรู้พันธุ์ รู้ดิน รู้ปุ๋ย รู้ยา รู้เทคนิคในการปลูก การดูแล ไปจนถึงการตัดขาย และที่สำคัญที่สุดคือ รู้ตลาด
ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะถ้ายังตัดใจ ตัดลูกแตงโมทิ้ง ไม่ลง

ลุงเหมือน คนปลูกแตงโมมานานกว่ายี่สิบปี พูดไว้น่าฟัง
"...ถ้าต้นหนึ่งออกสามลูก เราเอาไว้ทั้งสามลูก จะไม่ดีสักลูก เอาไว้สองลูกได้ราคาครึ่งเดียว เพราะน้ำหนักไม่ดี แต่ถ้าเอาไว้ลูกเดียว ขายได้เต็มราคา เพราะแตงได้กินปุ๋ยเต็มที่..."
ที่อันตรายที่สุด คือถ้าถูกน้ำท่วม หรือน้ำซึมมาเจิ่งๆ นองๆ แตงโมมีสิทธิ์เน่าได้ทั้งไร่
ถ้าฝนตก ก็ต้องภาวนาอย่าให้ท่วม

มะเขือเทศดูแลง่ายกว่า เพาะกล้าในกระบะ ทำแปลงคลุมผ้าพลาสติก ปักไว้ไว้ผูกต้นตอนที่มันโต ถ้าดูแลดีๆ มะเขือเทศแค่ไม่กี่ไร่ ก็ได้ผลผลิตหลายตัน(หนึ่งพันกิโลกรัม)
ถ้าได้ราคาสักกิโลกรัมละสิบบาท ก็พอยิ้มออกไม่ขาดทุน
ถ้าได้ถึงกิโลกรัมละ 15-20 บาท ก็นอนยิ้มร่า ฝันดีไปได้หลายวัน
แต่ถ้าไปถึงกิโลกรัมละ 25-30 บาท ปีนั้นก็เตรียมปลดหนี้ปลดสิน จ้างลิเกมาเล่น จ้างหนังมาฉาย
และถ้าหากเกิดร่วงไปเหลือแค่กิโลกรัมละ 2-5 บาท ก็แค่ช้ำชอกกันไปอีกครั้ง เหมือนๆ ที่เคยผ่านมา ปีหน้าค่อยเสี่ยงดวงกันใหม่

ว่าตามจริง มะเขือเทศฉีดยาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือตอนที่ลูกมันกำลังจะสุก กำลังจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง ตอนนั้นละ ที่หนอนแมลงจะพากันมาปาร์ตี้โดยมิได้รับเชิญ จังหวะนี้เท่านั้นที่จะชี้ชะตาชาวสวนว่าจะได้หรือจะเสีย จังหวะนี้เท่านั้นที่ต้องฉีดยาคุมให้อยู่

ยายปี่กับตาเปลื้อง ก็ปลูกมะเขือเทศเหมือนคนอื่นๆ ที่นาสามไร่ติดบ้านถูกเปลี่ยนให้เป็นแปลงมะเขือเทศ ส่วนที่ติดๆ กันนั้น ก็ล้วนพี่น้องเพื่อนบ้าน ปลูกมะเขือเทศเหมือนๆ กันทั้งนั้น ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องทำมาหากินกันทุกวัน

เรื่องอะไรก็คุยได้ แต่พอคุยเรื่องปุ๋ย เรื่องยาฆ่าแมลง ว่าใช้ตัวนั้นสิดี ตัวนั้นไม่ได้เรื่อง  ยายปี่กับตาเปลื้อง กลับหุบปากเงียบไม่คุยเรื่องนี้กับใคร ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะแกเคยปลูกมะเขือเทศได้ราคาทุกปี แกก็คงหวงสูตรของแกเป็นธรรมดา

"...ปีนี้ใช้ยาอะไรล่ะแก ?" ลุงเหมือน ถามสองตายาย ในวงเสวนาเย็นวันหนึ่ง
"...ไม่บอกหรอกโว้ย นี่มันสูตรลับเคมีเกษตร..." ตาเปลื้องว่า แล้วก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
"...จะหวงไว้ทำไมล่ะ แบ่งๆ กันมั่งซี..." น้าต่วน คนปลูกมะเขือเทศที่ติดๆ กัน หันมาถามยายปี่
"...อ้าว...ของอย่างนี้ บอกกันง่ายๆ ได้รึ เกิดได้ผลดีกันหมด ของข้าก็ราคาตกเท่ากับพวกเอ็งน่ะสิ..." ยายปี่ไม่ยอมบอกท่าเดียว

พอถึงเวลาที่ต้องฉีดยา สองตายายตรงแน่วไปร้านขายเคมีเกษตรเจ้าประจำ บอกชื่อยาที่ต้องการ
"...อ๋อ ตัวนั้นเขาเลิกผลิตไปแล้วครับ..." คนขายบอก
"...อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะ ฉันเคยใช้แต่ตัวนั้นเสียด้วยสิ..." ยายปี่ชักกังวล
"...ใช้ตัวนี้ก็ได้ครับ แทนกันได้ มาจากบริษัทเดียวกัน..." คนขายหันไปหยิบยาอีกตัวหนึ่งมาให้ดู
"...แล้วใช้ เอ่อ..." ตาเปลื้องหันซ้ายหันขวา ป้องปากกระซิบเสียงเบาเหมือนกลัวใครจะได้ยิน
"...ใช้ผสมกับฮอร์โมนตัวเดิมได้เหมือนกันหรือเปล่าล่ะ ?"
"...อ๋อ ลุงเคยใช้แบบผสมฮอร์โมนใช่มั้ย? แต่ตัวนี้เขาไม่ให้ผสมอะไรนะ ให้ใช้แค่ตัวนี้ตัวเดียวก็พอ..." คนขายอธิบาย
"...แล้วมันจะได้ผลเหมือนเดิมเรอะ?..." ยายปี่หันไปถามตาเปลื้อง
"...ซื้อมาก่อนเหอะแล้วค่อยว่ากัน...ใส่ถุงเลยๆ..." ตาเปลื้องบอกคนขาย แล้วหันไปนับเงินส่งให้

คืนนั้นตอนสามทุ่ม ตาเปลื้องกับยายปี่ แอบมาฉีดยา เพราะกลัวว่าใครจะมาแอบดูสูตรของแก
"...ตกลงจะผสมฮอร์โมนดีหรือเปล่าวะ?..." ยายปี่ยังไม่แน่ใจ
"...เฮ่ย...แกก็ไปฟังไอ้คนขาย มันจะรู้ดีกว่าเราที่เป็นคนใช้ยาได้ยังไง ถ้ามันเหมือนกันมันก็ต้องผสม ไม่ผสมมันก็ได้ผลเท่าของคนอื่นน่ะสิ..." ว่าแล้วตาเปลื้องก็ผสมฮอร์โมนกับยาใส่ถังฉีดพ่นไปด้วยกัน
พอฉีดยาเสร็จ สองตายายก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่า คราวนี้ มะเขือเทศของข้า คงจะดก คงจะงามยิ่งกว่าของใครแน่ๆ

ทว่า พอตอนเช้ามืด สองตายายมารดน้ำแปลงมะเขือเทศ ก็แทบจะเป็นลม เพราะยอดมะเขือเทศแทนที่จะชูขึ้นฟ้า กลับเหี่ยวเฉา สลบไสล ราวกับโดนน้ำร้อนลวก

พอยายปี่โวยวายเสียงดัง เพื่อนบ้านก็เลยพากันมาดู
"...ก็เมื่อคืนข้าพ่นยา เช้ามามันก็เป็นอีแบบนี้แหละ..." ตาเปลื้องเสียงสั่นๆ ยังตกใจไม่หาย
"...แกผสมยาอะไรเข้าไปล่ะ ?..." ลุงเหมือนถาม ตาเปลื้องกับยายปี่อิดๆ ออดๆ อยู่พักหนึ่ง กลัวเพื่อนบ้านจะรู้ความลับ แต่แล้วก็ต้องบอก เพราะผลลัพธ์มันเห็นอยู่ตำตา
"...ก็คนขายเขาบอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าไม่ให้ผสมๆ แกก็ยังไปผสมอีก มันก็เลยร้อนน่ะสิ พอมันร้อนยอดมันก็เลยเหี่ยว..." ลุงเหมือนวินิจฉัย
สองตายายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
ก็ยอดมันเหี่ยวเสียแล้ว ต้นมันจะโตได้ยังไง แล้วถ้าต้นมันไม่โต ลูกมันจะโตได้ยังไง

น้าต่วน หัวเราะเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง
"...ทำอะไรไม่ปรึกษาใคร แล้วเป็นไงล่ะ...สูตรลับเคมีเกษตร ยอดพับไปเลย..."

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…