Skip to main content

เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไป

หญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้น
เด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวัง
ร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่าย
เจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม
    
ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้ง
มวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ
ลมผะผ่าวเคลื่อนอยู่กลางถนน ไหลเข้าสู่ปอด ร้อนเข้าไปในทรวง
เสียงจากวิทยุ รายงานข่าว

“...ท่านผู้ฟังที่จะเข้ามาในเมืองขอให้หลีกเลี่ยงเส้นทางรอบคูเมืองด้านนอก เพราะรถมากเคลื่อนตัวช้า บางจุด ทางเลนซ้ายที่ไม่มีคนเล่นน้ำรถเคลื่อนได้ช้ามาก ทางรายการจะประสานให้เจ้าหน้าที่ไปอำนวยความสะดวก ส่วนท่านผู้ฟังที่จะออกจากเมือง เส้นซุปเปอร์ไฮเวย์ และเส้นโชตนา รถมากแต่ยังเคลื่อนตัวสะดวก ขอให้ระมัดระวังในการขับขี่ หากพบกับปัญหาการจราจรหรือการเล่นน้ำสงกรานต์ ท่านสามารถแจ้งมาได้ที่เบอร์โทร...สำหรับท่านที่จะออกไปเล่นน้ำที่คูเมือง ขณะนี้การจราจรติดขัดมาก ขอให้เคลื่อนรถไปเรื่อยๆ อย่าจอดอยู่นิ่งๆ นะคะ เพราะปริมาณรถหนาแน่นมาก  ทางรายการขอต้อนรับ ทุกท่านที่เพิ่งจะหมุนคลื่นมาฟัง และขอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านสู่เมืองเชียงใหม่ ในงานประเพณีปีใหม่เมืองปีนี้...”

ผมมองท้องฟ้า เมฆขาวลอยเป็นกลุ่ม คิดไปเรื่อยเปื่อยว่า ตั้งแต่เมื่อไรกันหนอ ที่คนไทยออกมาสาดน้ำกันกลางถนน สาดคนไม่รู้จัก และเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่า สงกรานต์ต้องเล่นสาดน้ำ จนกระทั่ง ภาพที่ปรากฎ ทำให้ชาวต่างชาติต่างวัฒนธรรมรับรู้เพียงแค่ว่า สงกรานต์คือ Splashing  Festival หรือ Water Battle Festival  

บางที คนไทยเองก็คงจะลืมไปแล้วกระมังว่า สงกรานต์คือปีใหม่ไทย ไม่ใช่เทศกาลสาดน้ำ
แต่ใครจะสนใจ ในเมื่อเป้าหมายของวันหยุดยาว ไม่ใช่การเข้าวัดทำบุญ

เชียงใหม่-เมืองแอ่งกะทะ ปีนี้ร้อนเช่นเคย
ทุกเช้า อากาศเย็น แต่พอเริ่มสาย อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงเที่ยงตรง อากาศร้อนจนสามารถทำให้คนที่อยู่กลางแดดสักยี่สิบนาที หน้ามืดเอาได้ง่ายๆ

ไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ผมไม่ทราบตัวเลขแน่นอน เท่าที่เห็นคือควันไฟลอยขึ้นจากป่าเชิงดอยสุเทพ และรถดับเพลิงวิ่งผ่านแยกหนองฮ่อเป็นประจำ

เมื่อปีที่แล้ว ชาวเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤติมลภาวะฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้
ท้องฟ้าเป็นสีแดงทั้งวัน เขม่า ขี้เถ้า ลอยคลุ้งเหมือนเมืองถูกล้อมด้วยกองไฟ
ฝุ่นควันหนาขนาดที่ทำให้คนเดินถนนแสบตา หายใจไม่ออก และมีผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจเข้าโรงพยาบาลวันละหลายร้อยคน
สัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติดังขึ้นเป็นครั้งแรก

คนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมคนหนึ่ง กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจากการที่นักท่องเที่ยวกว่าสามล้านคนเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ โดยปราศจากการคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องน้ำ

เมื่อคนใช้น้ำเพิ่มขึ้นถึงสามล้านคนในช่วงหน้าแล้ง ปริมาณน้ำในธรรมชาติจึงถูกดึงมาใช้มากกว่าปกติ ป่าจึงขาดน้ำ ต้นไม้จึงแห้ง ในที่สุดไฟป่าก็เกิดขึ้นได้ง่ายและบ่อยกว่าเดิม ประกอบกับปริมาณของความร้อนและควันจากท่อไอเสียของรถนับหมื่นคันจากทั่วประเทศที่มุ่งมาสู่เชียงใหม่ เมืองที่มีสภาพเป็นแอ่งกะทะ ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา จึงถูกฝุ่นควันปกคลุมอยู่นานร่วมเดือน

นักท่องเที่ยวมาแล้วก็ไป ไม่มีใครรอชำระค่าฟื้นฟูสภาพแวดล้อม    

ปีนี้ นักท่องเที่ยวไม่มากถึงสามล้านคนดังเช่นปีที่ผ่านมา แต่ฝุ่นควันก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ประจำหน้าร้อนของเชียงใหม่ไปเสียแล้ว แม้ไม่หนาทึบขนาดต้องสวมผ้าปิดจมูก แต่ก็มากพอจะรู้สึกได้

คนมากขึ้น คนต้องใช้น้ำ น้ำถูกดึงมาจากป่า ป่าแห้งแล้ง เกิดไฟป่า เกิดฝุ่นควัน
น้ำน้อยลงแต่คนยังเพิ่มขึ้น และต้องใช้น้ำมากขึ้นด้วย
การรณรงค์ การออกข้อบังคับห้ามเผาขยะ ห้ามเผาป่า ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ในระยะยาวแค่นี้อาจไม่พอ
เช่นเดียวกับเรื่องโลกร้อน ทุกคน(ในฐานะมนุษย์)ต้องลงมือทำ ทำในสิ่งที่สมควรจะทำ
เราคงไม่อยากได้ยินลูกหลานค่อนแคะว่า “…คนรุ่นคุณช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน…”

ย่ำค่ำในเมืองเชียงใหม่ รถราแน่นขนัด ทุกคนมุ่งจะไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงครอบครัว
รถมอเตอร์ไซค์ 2-3 คันความเร็วเกือบร้อย วิ่งฝ่าไฟแดงอย่างไม่กลัวใคร
รถกระบะบรรทุกวัยรุ่นเต็มคันบีบแตรไล่รถจักรยานที่ชายชราปั่นงกๆ เงิ่นๆ ขณะเลี้ยวเข้าซอยแคบ เมื่อพบหญิงสาวสองคนเดินสวนมา วัยรุ่นบนรถเป่าปากแซว

หนุ่มสาวที่รวมตัวกันเล่นน้ำอยู่ริมถนน เปิดเพลงเสียงดัง ตั้งวงดื่ม ตั้งวงดิ้น สมมติให้ถนนเป็นผับชั่วคราว
ความหฤหรรษ์กู่ตะโกนอยู่ข้างใน มีพลังกระตุ้นเร้าให้เล่นน้ำตลอดวัน ร้อง ดิ้น และเมาตลอดคืน ฮึกเหิมถึงขนาดกล้าทำในสิ่งที่ปกติไม่คิดทำ สนุกกันสุดเหวี่ยง สนุกจนลืมตาย
จนกระทั่ง ตายเพราะสนุกเสียจนลืมตัว
ความประมาทเดินตามความคึกคะนอง แต่ไม่มีใครมองเห็น

ข่าววิทยุรายงานอุบัติเหตุนับสิบรายในช่วงสงกรานต์ มีทั้งอุบัติเหตุจากคนขับเมาสุรา อุบัติเหตุจากการเล่นสาดน้ำทำให้รถมอเตอร์ไซค์ล้ม รถที่ตามหลังเบรคไม่ทันเลยวิ่งทับ  อุบัติเหตุจากรถโดยสารที่บรรทุกคนล้นคัน ตอนเข้าโค้งเลยเสียหลักพลิกคว่ำ
ฯลฯ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงให้สัมภาษณ์ว่า ปีนี้ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุน่าจะน้อยกว่าปีที่แล้ว
“…ตายน้อยลง...”  คงเป็นเป้าหมายการรณรงค์ที่แปลกที่สุดในโลก
ไม่ตายเลยแม้แต่คนเดียว จะได้ไหม ?

แดดสาย
คนเก็บของเก่าปั่นซาเล้งคู่ชีพตระเวนหาของที่ถูกทิ้งแต่ยังมีราคา
คนกวาดถนนทำงานหนักขึ้นเพราะขยะมากขึ้น
คนเก็บขยะรู้หน้าที่ของตน หน้าที่ป้องกันไม่ให้ขยะท่วมเมือง
ขอทานกับขันสังกะสี ที่เดิมหน้าตลาด
ตำรวจจราจร ยืนเฝ้าที่สี่แยก อธิษฐานขออย่าให้มีอุบัติเหตุให้ต้องปวดกะโหลก
พนักงานร้านสะดวกซื้อ เปิดลังเบียร์เตรียมแช่ขาย
พนักงานร้านกาแฟที่เจ้าของร้านเห็นแก่ตัวระดับสิบดาว รำพึงถึงวันหยุดที่เจ้าของร้านแกล้งลืม และเงินพิเศษที่เจ้าของไม่เคยพูดถึง
คนเขียนหนังสือรีบปั่นต้นฉบับ ใบแจ้งหนี้ที่หนีบไว้ข้างหน้าต่างโบกตามแรงลม

ผมฟังเสียงจักจั่นกรีดปีก เหม่อมองฟ้าใส เมฆขาวชวนให้คิดถึงขนมสายไหมรสหวานแหลม และ น้ำแข็งไสใส่น้ำหวานราดนมข้นชุ่มฉ่ำ แต่ไม่มีความอยากออกจากบ้านแม้แต่น้อย
สำหรับบางคน มันไม่ต่างจากวันธรรมดา แค่วันหนึ่งในฤดูร้อน เหมือนกันทุกวัน

ความร้อน
น้ำ
คน


ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย เรายังมีน้ำให้ดื่ม ให้ใช้ ให้สาดเล่นสนุกสนาน อย่างเหลือเฟือจนถึงวันไหน แล้วถ้าวันนั้นสิ้นสุดลง

วันหนึ่งในฤดูร้อน มันคงจะยาวนานเหลือเกิน

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…