Skip to main content

วัยเยาว์ของเธอ

ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล

อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น


เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง

เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ


เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง


เธอค่อยๆ เรียนรู้ว่า การงานคือความภาคภูมิของชีวิต หากการงานนั้นขาดความภาคภูมิ เธอก็คล้ายสิ่งไร้ชีวิตเข้าไปทุกขณะ

หากไม่ให้ค่ากับหัวใจตนเอง ชีวิตของเธอจะไม่ได้เป็นของเธอ


วัยหนุ่มสาวหมดไปกับการแสวงหา ยอมตนลงเพื่อรับใช้ผู้อื่น เพื่อจะได้ประทับความรู้สึกเหนื่อยหน่ายของความว่างเปล่า

เธอจำเป็นต้องเห็นสิ่งที่เธอปรารถนาจะหลีกพ้นให้กระจ่างชัด เพื่อจะได้เห็นจุดหมายที่ควรมุ่งไปให้ชัดยิ่งกว่าเดิม


และแล้ว...

เมื่อเธอเติบโตขึ้น ล่วงเข้าสู่วัยหนึ่ง ความระอุอ้าวในดวงวิญญาณได้สงบระงับลง สิ่งที่เธอเคยปรารถนาไว้แต่ไม่อาจกระทำได้ ก็กลายมาเป็นร่มเงาให้แก่ช่วงวันอันยาวนาน เธอมองหาความสุขในสิ่งเล็กน้อย รอยยิ้ม คำขอบคุณ และเสียงหัวเราะ นั้นเป็นสิ่งชุบชูใจ


ความจริงได้ตอกตรึงเธอไว้กับชีวิต เหลือพื้นที่ให้ฟุ้งฝันเพียงเล็กน้อย แต่เธอได้ดวงตาที่เปิดกว้าง และดวงใจที่เติมเต็มมาแทนที่

แม้จะไร้คำประกาศและมาลัย แต่นี่มิใช่ดอกผลที่คุ้มค่าหรอกหรือ ?


การอดทนและการรอคอยคือบทเรียนที่สำคัญ

เธอไม่อาจปลูกต้นไม้ในผืนดินที่แห้งแล้ง ไม่อาจเก็บผลผลิตหากมันยังไม่สุกงอม เธอได้เรียนรู้ว่า ธรรมชาติจะมอบช่วงเวลาที่เหมาะสมให้โดยไม่ขึ้นกับคำร้องขอ


สิ่งที่ท้าทายคือสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ เพราะนาฬิกาชีวิตไร้หน้าปัด แต่ละคน แต่ละเรือน รู้เมื่อพร้อม เมื่อยังไม่รู้ จึงต้องใช้ชีวิตในวันนี้อย่างที่ควรใช้


เหมือนการยืนรอคอยยามรุ่งสาง เธอไม่อาจเห็นเงาตน จนกระทั่งแสงแรกของดวงตะวันพ้นขอบฟ้า เมื่อนั้นเธอจึงเห็นอีกด้านของชีวิต


เมื่อเสียงจากภายในร่ำร้อง เธอจึงกลับสู่ผืนดินที่ฝังรกเธอไว้

ผืนดินที่เธอรู้มาตลอดชีวิตว่าเธอไม่อาจเป็นสุขได้ หากไม่ได้กลับมา แม้ว่าผู้คนรอบข้างจะเป็นดังวัชพืช แต่เธอก็เข้มแข็งขึ้นมาก แกร่งพอจะปฏิเสธหนามไหน่และการเกาะเกี่ยวของพวกมัน เธอรู้ว่าคนเหล่านี้ พร้อมจะกัดกินคนขลาด แต่กลับหวาดคนกล้า


พวกมันก็รู้ จึงไม่เข้าใกล้เธอ

แรกนั้น เธอหวังใช้ต้นทุนจากประสบการณ์ชีวิตเพื่อการค้า แต่แล้วเมื่อต้นไม้ใบหญ้า ปลุกเธอขึ้นด้วยกลิ่นหอมและรสอันดิบบริสุทธิ์ของมัน เธอกลับเห็นหนทางกระจ่างชัด


ผืนดิน

ผืนดินบ้านเกิดของเธอ คืออุทรอันยิ่งใหญ่ของแม่ธรณี สร้างชีวิตนับเอนกอนันต์ มอบชีวิต สู่ชีวิต ทั้งยังเป็นที่จบสิ้นของทุกชีวิต มารดาของโลก

ดินดำที่พร้อมแก่การเพาะปลูก กระซิบบอกเธอถึงสิ่งที่ต้องทำ เธอฟัง และตามเสียงนั้นไป การงานยิ่งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อลงมือไถหว่าน


วันแล้ววันเล่า เธอเปี่ยมสุขจากการได้กลับมาดูแลมารดาผู้ชรา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง เธอได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ได้เก็บเกี่ยวอาหารจากผืนดินที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เกิด เก็บเพื่อกินเอง มีมากก็ขาย


รายได้จากการขายผลผลิตไม่อาจเทียบได้กับค่าจ้างที่เธอเคยได้รับ แต่เธอกลับเป็นสุขยิ่งกว่า ภาคภูมิยิ่งกว่า

อาหารจากพืชผักรอบบ้าน ก็มิใช่อาหารรสเลิศ แต่ข้าวทุกเม็ด ผักทุกใบ ปราศจากสารทำลายชีวิต และความสดเป็นรสชาติที่ทรงพลังในตัวของมันเอง พริก น้ำตาล น้ำปลา มะนาว ล้วนของใกล้มือ

ทุกวัตถุดิบ เสมือนเส้นสีที่เธอใช้ปรุงแต่งอาหารตามแต่จินตนาการจะพาไป

อาหารรสมือเธอนั่นเอง ที่สร้างเรี่ยวแรงให้ขันแข็งต่อการงานตลอดวัน


เมื่อครั้งยังต้องรับใช้ผู้อื่น ทุกอรุณรุ่ง เธอตื่นด้วยความเหนื่อยหน่ายเพื่อจะดำเนินชีวิตเป็นวงกลมที่มืดมน ทุกราตรี เธอเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน และปรารถนาจะตื่นมาแล้วพบกับชีวิตใหม่


แต่ที่บ้านเกิด เธอตื่นก่อนตะวันขึ้น หุงข้าว ทำกับข้าว รอใส่บาตรพระ ทำความสะอาดบ้าน เข้าไร่ เก็บผัก อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

เธอเข้านอนหลังมหรสพในจอสี่เหลี่ยมจบลง ใช้ชีวิตเรียบง่ายทุกวันคืน

เป็นวงกลมเช่นเดิม แต่สว่างไสวราวเดือนเพ็ญ


วันหนึ่ง เมื่อหมู่เมฆฤดูหนาวมาเยือน เธอมองพืชพันธุ์ที่เธอปลูกเติบโตเต็มผืนดินด้วยความภาคภูมิ พริก กะเพรา โหระพา ผักหวานบ้าน บวบ แมงลัก และอีกหลายอย่าง ผสมผสานกันไป เก็บขายได้ทุกวัน ไม่มากมาย แต่เกินพอสำหรับรายจ่ายประจำวันอันน้อยนิด


เธอหวนคิดถึงอดีต วันวัยที่ถูกเหวี่ยงไปตามยุคสมัย เคว้งคว้างล่องลอย พร่องอยู่ตลอดเวลา เพราะแสวงหาแต่ภายนอก

ก้มมองดินดำชุ่มชื้น ไส้เดือนโผล่ออกมาทักทาย

เงยหน้ารับแสงแดดสีทอง, สิ่งศักสิทธิ์อันสามัญ

ลำคลองหลังบ้านยังเปี่ยมน้ำ เหมือนหัวใจเธอที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก


เธอคุกเข่าลง ก้มกราบแม่พระธรณี ท้นด้วยสำนึกในพระคุณที่ไม่อาจทดแทนได้


ผืนดินบ้านเกิด

 

 


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ…
ฐาปนา
“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49) ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง…