Skip to main content
 

 

บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วย


ตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้

 

เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา ความตกใจทำให้ฉันรีบถอยตัวหนี


กลายเป็นว่า ฉันเผลอไปเหยียบรังมดเข้า ตายทีเดียว 10 ตัวรวด ยังไม่พอ ยังเผลอเหยียบหอยทากที่นอนเล่นอยู่บนพื้นแตกดังกร๊วบ ไปอีก 1 ตัว


"
แย่จัง" ฉันคิด เพราะความกลัวเกินกว่าเหตุแท้ๆ เชียว

ฉันตั้งหลักใหม่ จ้องมองตัวบุ้งนั้นอย่างพิจารณา สีของมันสวยดี มีลวดลายน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอ่อน ผิวของมันนุ่มๆ หยุ่นๆ หากไม่มีหนามพวกนั้น มันก็คงดูน่ารักไม่น้อย ฉันเคยเห็นบุ้งบางตัวมีสีสันสดใสฉูดฉาดมาก แม่บอกว่ายิ่งสีสวยเท่าไหร่ให้รู้ว่ามันมีพิษเยอะ อย่าชะล่าใจเด็ดขาดเพราะเด็กน้อยที่หมู่บ้านเคยโดนตัวบุ้งจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว เพราะมีอาการแพ้เข้าไปในระบบหายใจ อาการหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอด


 

เจ้าบุ้งตัวนี้ชอบกินใบไม้ ใบที่มันเกาะอยู่คือต้นอ่อนของผักเซียงดา ซึ่งเป็นผักมีรสขม เพื่อนฉันบางคนเบือนหน้าหนีให้ผักชนิดนี้ ฉันเลยแอบหัวเราะขำๆ ว่าเจ้าบุ้งตัวนี้สงสัยชอบกินของขม มันค่อยๆ ไต่ไปหาใบอ่อน แต่มันไม่ยอมกัดกินเหมือนอย่างเคย คงเพราะมันรู้แล้วว่าตอนนี้มีอยู่มายืนอยู่ด้วย

 

ฉันถ่ายรูปอย่างทุลักทุเล เพราะอยากถ่ายรูปให้เห็นเต็มตัว เห็นรายละเอียด เห็นในสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมัน อยากบันทึกเอาสิ่งที่เป็นความกลัววัยเด็กไว้ดูเล่น ความพยายามของฉันที่ผสมความกลัว กลับทำให้มันตกใจมากขึ้นไปอีก มันหันหัวกลับ และทำท่าจะหนีไปให้ไกล

 

ดังนั้น ฉันจึงเพิ่งคิดได้ว่า ความกลัวของฉันนั้นมันก็แค่นิดเดียว อยากเข้าใกล้มันเอง ก็ต้องกลัวมัน แต่มันไม่ได้อยากใกล้ฉันสักหน่อย ถ้าหากถือไม้เล็กๆ สักอันเขี่ยมันร่วงจากกิ่งไม้ มันก็คงใจหวิวๆ ลอยล่องตกไปนอนเจ็บอยู่บนพื้นก็เท่านั้นเอง ดังนั้นคนตัวใหญ่อย่างฉันควรจะกลัวอะไรกับบุ้ง


ฉันคิด จากนั้นขยับขาเปลี่ยนมุมเล็กน้อย เพื่อยื่นกล้องเข้าไปให้ใกล้ที่สุด เตรียมกดชัตเตอร์ แต่แล้วความซุ่มซ่ามหนที่สองก็ทำให้เผลอเอากล้องไปโดนเข้ากับหนามเล็กๆ ของมัน


เจ้าบุ้งโกรธน่าดู เหมือนจะหันมามองหน้าฉัน แล้วพองตัวขึ้นอีกเท่านั้น คราวนี้หนามชูชันพวกนั้นเหมือนจะยาวออกมาอีก แค่ระยะไม่ถึง 1 เซนติเมตร ก็จะเกี่ยวเข้ากับนิ้วของฉันแล้ว


คันคะเยอๆๆ แสบๆๆ แน่ๆ ฉันคิด รีบถอยตัวเองผละออกมา

 

อีกแล้ว !! ที่ฉันเผลอเหยียบเข้ากับรังมด หันไปมองอีกที คราวนี้มีหอยทากตายคาเท้าไปอีก 2 ตัว ทำไมมาอยู่แถวนี้เยอะจังก็ไม่รู้ ฉันนิ่งไป ยืนมองซากชีวิตเหล่านั้นในสวนเล็กๆ หลังบ้าน แล้วก็ค่อยๆ เดินถอยออกมาอย่างรู้สึกผิด

 



มันเป็นแบบนี้เอง เจ้าบุ้งกำลังสอนฉันอยู่แน่ๆ หรืออาจจะเป็นฝูงมดและหอยทากที่ให้บทเรียนกับเราว่า สิ่งที่ดูน่ากลัวที่สุด มันทำให้เราระวังตัวเสมอ ระวังว่าจะถูกทำร้าย เหมือนใครในชีวิตที่เรารับรู้ว่าเขาร้าย มีฤทธิ์มาก ต้องระวังที่จะคบหาหรือเข้าใกล้


แต่กับคนดีๆ กับสิ่งธรรมดาสามัญที่ไม่ได้แสดงความโหดร้ายออกมา เรากลับไม่รู้จักระวังมันเลย บางครั้ง เราก็ทำร้ายจิตใจของคนดีๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าเขาคงไม่เป็นไร เราเผลอแสดงความไม่เกรงใจกับคนที่เขาใจดีที่สุด เพราะแน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นไร จนบางทีสุดท้าย เราอาจจะต้องเสียเพื่อนดีๆ ไปสักคน เพราะมัวแต่ระวังอะไรที่มันใหญ่กว่า แล้วลืมรักษาสิ่งเล็กๆ ระหว่างกันและกันไป


"
ขอโทษนะเจ้ามดและหอยทาก"

ฉันมองร่างแน่นิ่งพวกนั้นอย่างเสียใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจ้าบุ้งพิฆาตที่ยังพองหนามออกมา แล้วบอกว่า

"ฉันจะไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว"


............................

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว” รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน..........จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย…
วาดวลี
----------ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้ จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า เจ้าอย่าทำเมินไฉน พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา----------“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ” “เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ “อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม” ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล…
วาดวลี
ระหว่างทุ่งนาเขียวขจีของฤดูฝน หรือ ถนนดินแดงเต็มไปด้วยผงฝุ่นฤดูแล้ง ยามหนึ่งในอดีตกาล ในความนึกคิดวัยเยาว์จำความได้ว่า ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันและเพื่อนต่างจ้ำอ้าวออกจากประตูโรงเรียนแทบไม่คิดชีวิต เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดโรงเรียนขนาดนั้น ไม่ได้เบื่อคุณครู เพียงแต่เราคิดถึงพื้นที่อิสระ ที่เราไม่ต้องใส่ชุดกระโปรงแล้วกลัวเปื้อน มีที่วิ่งเล่น ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ มีขนมกิน  มีคนดูแล และมีหนังสืออ่าน และพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือบ้านของเราเองบ้านของฉันห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโลเมตร แค่ออกจากบ้านมาสัก 10 ก้าว ก็เห็นเสาธงตั้งโด่เด่ติดกับวัดของหมู่บ้าน ดังนั้น…
วาดวลี
“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”เขากำลังจะกลับบ้านชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรมาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ…