Skip to main content
กวีประชาไท
ส ต รี เ ห ล็ ก ผู้ ก ล้ า แ ก ร่  ง...ตัวจริง ! เสียงจริง ! ของจริง !!!"ไ ม่ ข อ รั บ เ กี ย ร ติ ย ศ ใ ด ๆ ทั้ ง สิ้ น"ยลยินแล้วดวงใจเราเปล่ง สดใสขอก้มค้อมคำนับคารวะ คารวาลัยจิตวิญญาณไท มิใช่ทาสเผด็จการศักดินา......เกิดจากดิน คืนสู่ดินชีวีท่านงามสง่าแกล้วกล้าอีกทั้ง "ท่านปรีดี พนมยงค์" ยงศรัทธารังสรรค์สร้างเพื่อมวลมหาประชาชนได้กำชัย"ไ ม่ ข อ รั บ เ กี ย ร ติ ย ศ ใ ด ๆ ทั้ ง สิ้ น"แผ่นดิน คือชีวินประชากระจ่างสว่างไสวเถิดผองเพื่อนพี่น้องทั่วถิ่นไท"คุณป้าพู น ศุข  พ น ม ยง ค์ " นี้ไซร้งามงดชีวีโอ้ ... โลกชีวิตเอ๋ย ... เกิด แก่ เจ็บ ตายชีวาวาย - ดีงาม ดำรงทุกที่เพียงผองเพื่อนพี่น้องประชาชนหลอมชีวีสามัคคี ขุดโค่นล้ม ถอนโคนรากเหง้ากาฝากปฐพี หมดสิ้นไป !!!ด้วยดวงจิต คาราวะ คารวาลัยแ ส ง ดา ว   ศ รั ท ธา มั่ นต้นฤดูหนาว, 9 มกราคม 2551, ล้านนาอิสระ, เจียงใหม่. 
กวีประชาไท
 โลกใหม่ไหวเช้าเรายืนอยู่            มองโลกทอดมองไกลออกไป        โลกเก่าเราช้ำหรือชื่นฉาย            ว่าในยุคสมัยเนิ่นนับนาน            อันมิอาจต่อว่าชะตาลิขิต            รองเรืองรัศมีโชติวะวับแวว            ว่าก็ว่ากันไปโลกไหนใครครอง        โลกเก่าโลกใหม่ล้วนในนาม        สมดุลในวิถีเท่าเทียมฟ้า            บางโลกเก่าแตกยับไปเป็นจุล        คือการเดินทางข้ามภพ – แผ่นดิน        มาอาศัยใบบุญคลื่นขบวน            เจ็บปวดบอบช้ำจากภายใน            มองไปข้างหน้าภาพเลือนราง        ไม่รู้แล้ว ไม่รู้ ไม่เข้าใจ            ถดร่างริมทางเหม่อเฝ้าคอย  รุ่งสางสร่างตรู่แสงสดใหม่คล้ายหาสิ่งดลใจ – ปรากฏการณ์หลากภาพผุดพรายแจ้งสถานสุข, ทุกข์ล้วนผ่านไปมากแล้วด้วยชีวิตหวังวาดอันเพริดแพร้วขับให้เน้นให้เห็นแนวความดีงามแห่งมนุษย์บางผองที่ขีดข้ามการแสวงหาค่าความพอสมดุลกาลเวลาปรากฏเพียงธุลีฝุ่นบางโลกใหม่ต่อทุนมาเย้ยชวนเมื่อถึงกาลสูญสิ้นแต่บางส่วนไม่ว่าควรไม่ควรแต่ไร้ทางประหนึ่งหัวใจวายโหวงว่างวิญญาณยิ่งซีดจางและล่องลอยโลกใหม่ไหวเช้าเราท้อถอยภาพที่จะสอดร้อยสองโลกนั้น  นาโก๊ะลี
นาโก๊ะลี
ติช นัท ฮันห์  เล่าไว้ในหนังสือยองท่านตอนหนึ่งว่า  มีคนถามว่า เวลาใดเป็นเวลาที่คนเราจะมาความสุขมากที่สุด  ท่านตอบว่า เวลานี้ไง  เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า  เราจะรฤกถึงวันนี้อย่างมีความสุข   นี่เองมันจึงหมายความว่า ทุกวันล้วนเป็นวันแห่งความสุข สิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ความจริงมันก็คงเป็นวันเหมือนกับวันอื่นๆ  ผ่านมาและผ่านไป  คงมีผู้คนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้น กับเทศกาลปีใหม่  ปีนี้  คราวนี้   ขณะที่ผู้คนต่างหา และเฉลิมฉลองตามแบบตนช่วงเทศกาล  พวกเราหลายคน นัดกันที่กลางทุ่งนา หนองจ๊อม แม่โจ้  เชียงใหม่  ทุ่งนาผืนสุดท้ายที่อยู่ใกล้เมืองที่สุด อ้ายไพทูรย์ พรหมวิจิตรว่าไว้อย่างนั้น  เมื่อสองปีก่อน  ปีนี้ เราเห็นป้ายประกาศขายที่ดิน  และข่าวคราวที่มีการขายที่นามากขึ้น  ต่อไปผืนนาก็อาจจะไม่มีอีกแล้ว แล้วยังมีตึกรามใหม่ๆ ผิดโผล่ขึ้นมาในละแวกนี้มากขึ้น  เมืองรุกถึงกลางทุ่งแล้ว  แต่....อย่างไรก็ตาม วันนี้ ทุ่งนายังอยู่ .....  ค่ำนี้....ฝูงนกกระยางยังบินตัดผ่านฟ้าแม้เราจะเห็นเพียงฝูงเดียวไม่เหมือนเมื่อสองปีก่อน ที่มากันเต็มฟ้า หลายฝูง  หรือบางตัวก็ผ่านมาเพียงลำพัง ไม่มีฝูง  แต่เรายังเห็นนก  แม้ว่าเราจะรู่ว่า อีกไม่นานมันอาจหายไป    สองปีก่อนผู้คนมากมายแวะเวียนมา  ตลอดช่วงเวลาสี่สิบวัน รอยต่อของปีเช่นกันที่พวกเราปักหลักอยู่ที่นี่  ศิลปินน้อยใหญ่ มิตรสหายผู้ใกล้ชิดกับเจ้าของสถานที่  แสงดาว  ศรัทธามั่น  ถึงปีนี้เราอยู่กันไม่กี่คน กับภารกิจ ซ่อมสะพาน  แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเงียบเหงานัก  เสียงกบ เขียด แมลงกลางคืนยังอยู่  คืนที่กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนศักราช  เสียงเพลง แสงเสียงพลุ แสงโคม กึกก้องกระจายอยู่รอบตัวเอา ยังเหมือนเมือสองปีก่อนสองปีมานี้  สถานที่นี้ต้อนรับผู้คนมากมาย  บนชั้นมีภาพใหม่ๆ ทั้งภาพถ่าย ภาพเขียน และบทกวี อันเป็นผลงานของผู้มาเยือน  ลานหน้าบ้านที่เมื่อสองปีก่อนเราใช้เป็นที่กางเต้นท์ หรือก่อไฟ ตอนนี้มีต้นไม้และหญ้ารก  จากที่เคยกางเตนท์นอน คราวนี้ต้นไม้บางต้นสามารถผูกเปลได้แล้ว    เนื่องด้วยการได้ตอนรับผู้คนมาหมายนี่เองมันจึงมีเรื่องราวมากมายที่ปราศจากการบันทึกมีบ้างก็คงเป็นภาพถ่าย  และบทกวี  แต่เรื่องเล่า และการสนทนาส่วนใหญ่ก็หายไปในทุ่งนี้    คราวนี้ก็ดั่งเดียวกัน  เรื่องราวการสนทนาก็ดำเนินไป หลายครั้งหลายหนเรามักจะวกเข้ามาถึงเรื่อง บรรยากาศ ของที่นี่ เมื่อสองปีก่อน  แน่นอน...เราพูดถึงมันด้วยความสุขมีคำหนึ่งที่ผุดโผล่ขึ้นมาในใจ  “ซากปรักหักพังของกาลเวลา”  วูบแรกรู้สึกอยู่ว่ามันมีความหมายเป็นลบ  ก็เลยพยายามหาความหมายของ คำ ซากปรักหักพัง  ดั่งโบราณสถานทิ้งซากปรักหักพังเอาไว้  บอกเล่าความงาม และเรื่องราว  เช่นนั้นซากปรักหักพังของกาลเวลาก็คงเช่นกัน  มันหักพังเพื่อบอกเรื่องราว และความงาม  ด้วยว่า เมื่อมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น  สิ่งเก่าก็ต้องผุพังไป แล้วมันก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร  เพราะความงามมันก็ปรากฏอยู่เสมอ ทั้งในความใหม่ และในความเก่า  หรือความงามในความทรงจำในซากปรักหักพังนั้นบ้านดินรักดาว....ณ เวลานี้ ก็ไม่พ้นไปจากความธรรมดาสามัญนั้น  ขณะที่ต้นไม้โตขึ้น ลานก็หายไป  บ่อที่เคยขุดดินย่ำสร้างบ้านก็เก่าแก่ไม่มีใครก้าวลงไปสัมผัสมันอีก  มันจึงเพียงทิ้งรอยเท้ามากมายในทรงจำ  ฝนที่สาดซัดมาแล้วสองฤดูฝนทำให้บางมุมบ้านสีผุกร่อน  ผนังดินที่สร้างไว้นอกบ้าน เปื่อยสลายไปบ้าง  สะพานพังไปเป็นแถบ ต้องค่อยๆ ปะ เพื่อพอใช้งานได้ ..ชั่วคราว  นี่ยังไม่รวมถึงวัยของผู้คนที่มากขึ้น  แล้วที่สุด ก็มีเด็กเล็ก เกิดใหม่เพิ่มขึ้นที่จะแวะมาเยือนมีหลายคนที่เขียนถึง  สถานที่และเจ้าของสถานที่นี้  ในหลายที่หลายโอกาส   เมื่อคราวที่ครบวาระหนึ่งปีผมก็อยู่ที่นี่  โดยไม่คาดหมาย วาระสองปีก็ได้กลับมาอีก คิดอยู่ว่า ปีหน้าจะมาอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่าหนอ  นอกจากเยี่ยมคารวะเจ้าของสถานที่แล้ว  ก็ยังได้กลับมาเสพทรงจำที่ดีงามเนื่องด้วยการสร้างสถานที่นี้นั้นมีผู้คนเกี่ยวข้องด้วยมากมาย และนั่นคือเวลาที่เราต่างมีความสุข  ......คารวะเจ้าของสถานที่ ผู้ที่ผมเรียกจนติดปากว่า ท่านผู้เฒ่า แสงดาว  ศรัทธามั่น 
กวีประชาไท
แก้ไขสี จากต้นฉบับ http://www.flickr.com/photos/poakpong/491087791/ ( ๑ ) หลับใหลแล้วเห่ให้ ที่ทุกข์ล้ำย้ำกราย หลับแล้วตื่นดั่งสาย ที่มิ่งขวัญคืนครั้น ลับหายอย่างนั้นหยุดดอก ไม้พันธุ์หวั่นคร้ามข้ามคืน ฯ ( ๒ ) เพื่อชีพตื่นอยู่ย้ำมาอยู่ปรนปรับเหมือนเพื่อสัมผัสน้อมเตือน มามิ่งใจกายคล้อย เยี่ยมเยือนชีพน้อยกรายสู่เคลื่อนครั้งจรัสจรูญ ฯ ( ๓ ) แสงธรรมคูณค้ำแม่ กระจ่างจำรัสฝันแสงศรีนพคุณครัน กระจ่างเหตุก่อแก้ ผู้สรรค์ สร้างเอยใฝ่แท้บรรสพทุกข์ล้ำกล้ำกราย ฯ ( ๔ ) จากสายหยุดกลิ่นเช้า                       สายบ่ายเช้างมงายจากหยดกลั่นหยาดหมายสายเสน่หาฉ่ำแล้ง จางสลาย ชื่นมาหม่นแจ้งคืนค่า ชีพฤๅวาดต้องละอองถึง ฯ ( ๕ ) เทียมซึ้งจริงเท็จทั้ง โลกอยู่ร้อยเสน่หาเทียมสายหยุดชื่นวา -โลกคติเผยอ้าง สวรรยาโศลกสล้างจาหนึ่งผ่องไว้เผยวาร ฯ.  ณรงค์ยุทธ โคตรคำ 
กวีประชาไท
ภาพประกอบจาก http://www.flickr.com/photos/poakpong/2074330653 แสงระบายเงาผ่านบานไม้เก่าใบหน้าฉันอยู่ในเงาแห่งห้องหมองผ่านหน้าต่างบานนั้นฉันเฝ้ามองพลิ้วทำนองหล่นราย ใบไม้ชราเหนือระแนงดอกไม้บางชนิดผีเสื้อตัวน้อยนิดเล่นเริงร่ากระหยับปีกผ่อนริ้วราวปลิวมากับสายลมปริศนาต้นเหมันต์แสงหม่นลงทีละน้อยทีละน้อยผีเสื้อคล้อยเคลื่อนหาย - สายตาฉันใบไม้เหลืองหล่นรายคล้ายเงียบงันสลับกันทับกล่นบนหนทางจากแผ่วแผ่วลมผิวปลิวม่านไหวเพียงพลิ้วร่วงร่ายใบทีละร่างอากาศเริ่มเจือหนาวอยู่เบาบางช่อดอกไม้ชูสล้างต่างสะเทือนณ ระแนงดอกไม้บางชนิดหลายดอกดวงร่วงปลิดลงกล่นเกลื่อนเหลืองที่ร่วงห่มทางก็ร้างเลือนฟุ้งขึ้นเหมือนผีเสื้อเหนือสายลมระส่ำระสายต้นไม้และพุ่มดอกอากาศเย็นม้วนระลอกราวหมอกห่มฉันขยับชันเข่า บนเก้าอี้กลมกระชับแขนนิ่งชมนาฎการณ์คล้ายได้กลิ่นดินหอมมาฉ่ำฉ่ำคลับคล้ายเมฆจะนำฝนมาผ่านเด็กเด็กรีบนำฝูงจักรยานกลับเข้าบ้านดั่งรู้อนาคตกวิสรา 20 ตุลาคม 2550 เกือบบ่ายสองที่สายฝนจวนเจียนจะมาถึง 
นาโก๊ะลี
ดูเหมือนว่า  บางคราวการอยู่ร่วมกันของผู้คนนั้นเป็นเรื่องยากลำบากนักหนา  ด้วยวิถี วิธีที่ผ่านไปของพวกเขาทั้งหลาย  สิ่งที่ปรากฏดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ล้วนเป็นเรื่องเลวร้าย  หรือบางอย่างมิได้ถึงขั้นเลวร้ายมันก็เกิดเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ความล้มเหลว สู่ความขาดพร่องของวิถี หรือการปิดกั้นการเรียนรู้  ดังว่า...สถานการณ์จำลองหลายครั้งในกิจกรรมการเรียนรู้  ที่เรามักพบเห็นผู้คนผู้....มากเกินไปทั้งหลาย เช่น เงียบเกินไป ก้าวร้าวเกินไป  นั่นก็เป็นตัวปิดกั้นการเรียนรู้ของชีวิต  ทั้งหมดนั้นมันบ่งบอกว่าบางมนุษย์นั้นชอบอยู่คนเดียว  มีความหมายลึกล้ำกว่านั้นหรือไม่  การอยู่คนเดียว เพียงตัดสินใจเอง เผชิญเอง รับผิดชอบเอง อาจจะเป็นเรื่องไม่ยากที่ผู้คนจะกระทำได้  แต่มันจะทำให้เราเติบโตได้อย่างไร เพราะเราจะไม่ได้เห็นความคิด หรือเรื่องราวที่แปลกใหม่เลยว่าถึงการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม หรือชุมชน หรือกลุ่มคน แน่นอนอยู่ว่าจะมีบางเรื่องราวที่ไม่ถูกใจเรา บางความเห็นของเราจะไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ หรือบางเรื่องก็ไม่ได้รับการใส่ใจ  และไม่อาจเลี่ยงว่าบางคราวเราก็แสดงออกถึงความโง่เขลา ซึ่งทุกคนมีภาวะนี้อยู่แล้ว  ทั้งหมดนั้นถ้าเข้าใจมันได้  มันก็จะหมายความว่ากลุ่มต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับกลุ่ม ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับใครคนใดคนหนึ่ง  แน่นอน...นี่คือสังคมในอุดมคติ  ในสังคมนั้นทุกคนต้องเป็นผู้นำ ทุกคนมีส่วนร่วม  ไม่มีใครหรือกลุ่มใครกุมอำนาจอยู่เพียงคนหรือกลุ่มเดียว ซึ่งก็เหมือนเดิมล่ะว่า ความต้องการของกลุ่มบางเรื่องไม่ตรงกับความต้องการของเราหลักการดูว่าไม่ยากนัก รูปแบบทางกายภาพก็ดูไม่ยากนัก ตามเหตุตามผลก็ไม่ยากนัก  ความสำเร็จ ความล้มเหลว วิถีวิธีก็ชัดเจนแล้ว  แต่สิ่งที่ยากคืออะไร...  ส่วนที่ยากที่สุดมนุษย์มีความรู้สึก  มีกิเลสของตัวเอง  มีความปรารถนา ความต้องการส่วนตัว  มีด้านมืดด้านสว่างที่ต่างไป  และนี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง และเมื่อมองตามอุดมคติแล้ว  ความขัดแย้งนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ความสำเร็จหรือล้มเหลวของสังคมนั้นๆ  คืออะไร  มันก็ย่อมจะมาจากว่า  สังคมนั้นๆ  จัดการความต่างความเหมือนอย่างไร  จัดการกับความขัดแย้งของกลุ่มอย่างไร  ที่สำคัญคือจัดการกับความขัดแย้งในตัวเองได้อย่างไร  นี่คือหนทางหรือไม่...ที่สุดแล้ว  มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่น  นั่นคือการต้องอยู่กันเป็นสังคม ผู้คนจะแสวงหา เรียนรู้ ดำรงอยู่อย่างเป็นสุขได้เพียงใด  ล้วนขึ้นอยู่กับความวางใจ  ว่าจะวางใจไว้ตรงไหน จะจัดการกับความขัดแย้งทั้งหลายทั้งปวง จะจัดการกับความเหมือน ความต่างทั้งปวงนั้นอย่างไร  ว่าตามอุดมคติแล้ว  ผู้คนก็ต้องมีพื้นที่ของตัวเอง  มีพื้นที่ในการแสดงออก  ได้รับรู้วิถีของตัวเอง และผู้คนอย่างแท้จริงนั่นเองหรือว่าการอยู่รวมกันของพวกเราทั้งหลายนั้นจะมิใช่บทกวีที่งดงาม... 
นาโก๊ะลี
บางเวลา  บางเหตุปัจจัยได้นำพาความคิดคำนึงย้อนกาลสมัยกลับไปยังวัยเยาว์  นั่นย่อมได้พบเห็นการเติบโตของตัวเอง  วันเวลาเหล่านั้นทั้งหมดจะว่ายาวนานก็ยาวนาน  จะว่ารวดเร็วก็รวดเร็วยิ่ง    ภาพของบางช่วงเวลาปรากฎเด่นชัด  ภาพของบางช่วงเวลาก็หลงเหลือเลือนลาง แล้วภาพของบางช่วงเวลาก้ลบหายไปหมดแล้ว  นับรวมไปถึงว่าคุณค่า หรือสูญเปล่าของเรื่องราวทั้งหลายในระหว่างนั้น  นั่นก็อาจเป็นธรรมดาอันหนึ่ง  ที่สุดแล้ว ภาวะความเป็นไปของเรื่องราว  การแสดงออก หรือถ้อยคำ ล้วนสะท้อนภาพภาวะภายในที่เป็นไประหว่างนั้น  เมื่อค่อยๆ ทบทวนถึงถ้อยคำในแต่ละช่วงวัยของชีวิต  กลับไปดูว่า เวลานั้นเรากล่าวถ้อยคำใด  กล่าวเช่นไร  หลายครั้งที่มิอาจปฏิเสธว่า นั่นเป็นเวลาที่เราช่างโง่เขลาอยู่นัก  คำพูดที่เราคิดว่าดีที่สุดในช่วงนั้น บัดนี้กลับกลายเป็นถ้อยคำที่โง่เขลาไปเสียแล้ว   หรือว่าความจริงเป็นเช่นนั้นหากเราได้ศึกษาอีกมิติของชีวิต  ไยมิใช่เส้นทางนี้ที่เป็นเงื่อนไขให้สืบสาวดูว่า  เราเติบโตอย่างไร  ผ่านยุคสมัย ผ่านการเรียนรู้มาอย่างไร  ชีวิตเติบโตมาอย่างไร  นี่ล้วนเป็นเรื่องน่าสนใจมิใช่น้อย ‘อาจารย์’  เคยบอกว่า “เขียนหนังสือด้วยปากกา  จะทำให้เราเห็นพัฒนาการของความคิดของตัวเอง  คอมพิวเตอร์ มันลบ และแก้ไขง่าย  แต่ในลายมือมันอาจมีรอยลบ รอยขีดฆ่า คำตามที่ผุดโผล่จัดวางอยู่ในหน้ากระดาษนั้น ทั้งหมดเราเห็นมัน”  นี่อาจเป็นเรื่องราวเดียวกันกระมัง เมื่อเรามิได้รังเกียจความโง่เขลาของตัวเอง  เราย่อมมองดูหนทางที่ผ่านมาด้วยความแจ่มใส เมื่อนั้นเราอาจได้ยิ้มให้กับความโง่เขลาและความเปรื่องปราชญ์ของตัวเองทางหนึ่งเราอาจเปรียบเทียบถ้อยคำในเรื่องราวเดียวกันของกาลก่อนกับวันนี้  มีบางสิ่งเพิ่มเข้ามา แล้วอาจมีบางสิ่งหายไป ความหนึ่ง ไม่มากก็น้อยที่เราจะรู้สึกได้ว่า คำของวันนี้ลึกล้ำ  เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิด และประสบการณ์  อาจถึงขึ้นตกผลึกความคิดปรัชญา ก้าวเข้าสู่ภูมิความรู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์  เป็นความเหนือล้ำกว่ากาลก่อนมหาศาล  และนั่นจะนำการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วนี่นับเป็นเวลาอันน่าภาคภูมิใจ  นั่นก็ใช่ หรือว่า กาลเวลาเก่าก่อนนั้น เรามิได้รู้สึกเช่นนี้เช่นนั้นแล้วเมื่อเรามองออกไป  ในกาลภายหน้า คาดว่าความรู้ การสั่งสมสติ ปัญญาของเราคงมิได้หยุดอยู่เพียงนี้  ทั้งประสบการณ์ และผู้คน เหล่ายอดฝีมือที่เราจะพานพบต่อไป  ล้วนเอื้อต่อการเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป  อย่างไม่หยุดนิ่ง  หากว่านั่นเป็นชีวิตที่ปรกติเรียนรู้อยู่เสมอ  อย่างนั้นในกาลนั้นเราคงได้มองกลับมายังวันนี้  เรื่องราวและถ้อยคำของวันนี้  เราอาจรู้สึกอย่างเดียวกับที่วันนี้เรารู้สึกต่อกาลก่อนว่ากันไปอย่างที่ว่ากันมาเสมอว่า โลกและชีวิตล้วนเปลี่ยนแปลง  ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่  ไม่เว้นแม้แต่ความจริง สิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่ง อาจดีที่สุดสำหรับเวลา หรือสถานที่หนึ่ง  และเพียงครั้งเดียว  ดังนั้น โลกจึงมีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ชีวิตเราก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เราจึงมีสิ่งที่ดีที่สุดมากมายนักแล้ว  สิบปีที่แล้ว เราอาจมีถ้อยคำที่ดีที่สุดสำหรับเวลานั้น วันนี้เรามีถ้อยคำที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้   และแน่นอนทีเดียวว่า วันต่อไป พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า เราก็จะมีถ้อยคำที่ดีที่สุดของเวลานั้น  และทั้งหมดล้วนแฝงความโง่เขลา และเปรื่องปราชญ์ อยู่พอกัน  อย่างนั้นการผ่านกาลเวลาอย่างเข้าใจ  ไม่ใช่ความอันลึกล้ำหรอกหรือ
กวีประชาไท
สตรีเหล็กนาม... “วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์" รัก...พิทักษ์ความเป็นธรรม มิเคยพรั่นหลอมชีวิต ร่วม " ลุ ก ขึ้ น สู้ " ตราบนิรันดร์เป็นนักรบแห่งชนชั้น ร่วมลงแรง"สหาย ม ด...วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์" คือนักรบประชาชน ชีพงามแกร่งจิตวิญญาณ หัวใจเพื่อนจึงสำแดงเป็นนักรบแห่งชนชั้น ชีพยอมพลี...รู้ รู้อยู่ว่า สหายไม่สบายด้วยโรคร้ายมาทำลายชีพวิถีโอ...ผองเพื่อนพี่น้องทั่วปฐพีล้นหลามชีพชีวีให้ พ ลั ง ใ จ"สหาย ม ด...วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์"โลกประจักษ์ ชีวาเธองามยิ่งใหญ่ชั่วชีวิตเธออุทิศให้คนยากไร้ได้เป็นไท มิใช่ทาสเผด็จการ !!!!...สมัชชาคนจน, บ่อนอก - หินกรูดและจะนะ -สงขลาแลแด่พี่น้องชนเผ่า หลอมชีวาจิตเหิมหาญคารวะ..."ส หา ย ม ด" ผู้แต่งแต้มสืบสานมั่นตำนานโลกขับขานบทเพลงเปล่งคารวาลัย...คืนสู่ดินแล้ว..."สหาย ม ด... วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์"...คืนสู่ดิน...แม่พระธรรมชาติชีวินแซ่ซร้องอวยพรให้โลกเอกภพจักรวาลอวยพรชัยสหายเอย...ประชาชนพร้อมสืบสานความเป็นไท แด่..."สหาย ม ด...วนิดา ฯ ประชาชนพร้อม "ลุกขึ้นสู้"เพื่อสืบสานอุดมการณ์ที่งดงามแห่งสหายผู้ใ จ งา ม !!!ด้วยดวงจิตคารวะ – คารวาลัย อดีตสหายรัตน์ ... แ ส ง ดา ว  ศ รั ท ธา มั่ นต้นฤดูหนาว ,6 ธันวาคม 2550ล้านนาอิสระ , เจียงใหม่ ภาพประกอบจาก http://www.thaingo.org/man_ngo/mod.htm
นาโก๊ะลี
ฟังว่า... นานมาแล้ว นานจนไม่อาจนับว่ามันเป็นเวลากี่ช่วงอายุขัย  นับแต่กาลนั้น กองไฟลุกสว่างและอุ่น กลางค่ำคืนเหน็บหนาว  ทอดวางตามถิ่นที่อาศัยของมนุษย์  กาลนั้น นอกจากเป็นแสงสว่าง  นอกจากเป็นความอุ่น  นอกจากป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายนานา  แต่กองไฟยังกลายเป็นสถานที่สำคัญอันหนึ่ง ว่าก็คือ ผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ใช้พื้นที่ข้างกองไฟนี้ในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งนิทาน ปรัมปรา จารีต ประเพณี  สัพเพเหระ สารทุกข์ สุกดิบ ข่าวคราว  นั่นคล้ายว่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาสู่ชุมชน ล้วนต้องผ่านข้างกองไฟนี้  คืนแล้วคืนเล่า  ผู้เฒ่าได้บอกเล่ากล่าวความผ่านวันเวลามากประสบการณ์  ส่งต่อสืบผ่าน พื้นที่และเวลานี้  ขณะที่เด็กๆ คนหนุ่มคนสาว  ก็เติบโต และเรียนรู้ กล้าแกร่ง สะสมประสบการณ์ ณ พื้นที่ และเวลาข้างกองไฟนี้เช่นเดียวกันภูเขาบางภู บนเทือกเขาบางเทือก ขณะที่เวลาของโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น  ผู้คนหันหาพื้นที่ใหม่ๆ  มากขึ้น  ด้วยว่าการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของเวลานั้น ด้านหนึ่งมันก็คือการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ  แต่ทว่า อย่างไรก็ตามกองไฟมันมีพลังเฉกเช่นเมื่อกาลก่อนอย่างไม่เสื่อมคลาย  และมันยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังดำรงอยู่ ดำเนินไป ทำหน้าที่ทั้งให้ความอบอุ่น แสงสว่าง และเป็นพื้นที่เล่าเรื่อง  ว่าไปแล้วมันก็คือ รอยต่อแห่งยุคสมัยที่มีพลังอย่างยิ่ง  และนอกจากมันจะเป็นพื้นที่สำหรับส่งผ่านจารีต ประเพณี ความเชื่อของอดีต  มันก็ยังเป็นพื้นที่รับเรื่องราวใหม่ๆ จากโลกใหม่ที่เข้ามาสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว   เช่นนั้นเอง ไม่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะสามารถสร้างเครื่องให้แสงสว่าง  เครื่องกันหนาว  ทั้งที่ซื้อขาย ทั้งที่แจกจ่ายด้วยโฆษณา แต่กองไฟก็ยังเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตอย่างยิ่ง นี่ก็ว่าในบางที่ ที่ยังสามารถหาฟืนก่อไฟ  เพราะหากว่าถึงมหานครแล้ว กองไฟก็ไม่นับเป็นอย่างไรได้เพื่อนนักดนตรีจากเทือกเขาคนหนึ่งเคยบอกว่า  ชีวิตของเขานั้นสัมผัสถึงกองไฟอย่างลึกซึ้ง  ด้วยว่ากองไฟทำให้เขารู้สึกถึงพลังแห่งชีวิต ณ ที่นั่น  ไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยวเหงาหรือรื่นรมย์เพียงไร  หรือผ่านภาวะใด เขาก็ยิ่งระลึกถึงกองไฟอยู่เสมอ  ยิ่งแล้วในราตรีเหน็บหนาว ท้องฟ้าจามดาวพราวพร่าง ผ้าห่มใด ห้องนอนใด ไหนจะเท่าข้างกองไฟ ที่เทือกเขา ที่บ้าน  บรรเลงเพลงและร่ำดื่ม ร่ายบทกวีกับสหาย นานใยมิใช่สุขใจนัก  ......บ่อยครั้งยามเยือนเพื่อนคนนี้ เราจึงมีกองไฟอยู่เสมอว่าถึงที่สุดมนุษย์ต่างก็โหยหาพื้นที่แบบนี้  วันนี้เราอาจไม่สามารถก่อกองไฟ  กระนั้นในกระบวนการเรียนรู้บางรูปแบบ ค่าย นักเรียน นักศึกษา  ขาดกองไฟไม่ได้เอาเสียเลย ว่าก็คือ คืนสุดท้าย  นั่นคือการรวบรวมเนื้อหาการเรียนรู้และความสัมพันธ์ทั้งหมด นั่นคือการสรุป นั่นคือพันธะสัญญา  ณ วาระนั้นกองไฟจึงเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาอันใดในรัตติกาลเหน็บหนาวจะยิ่งไปกว่าการได้ก่อกองไฟสักดวง  ชักชวนมิตรสหายมาร่วมผิงไฟอุ่น  ไถ่ถามข่าวคราวเรื่องราวชีวิตกันและกัน  จากนั้นสักวัน ได้ไปเยือนกองไฟของเพื่อน สนทนา  เปิดเผยทรงจำ ต่อกองไฟอันทรงพลัง  โอบกอดวิญญาณบรรพชนที่ถ่ายเท ทับถมอยู่ในกองไฟ ไม่ว่ากาลเวลาจะนำมาซึ่งยุคสมัยเช่นไร ขอเพียงวิญญาณไม่มอดไหม้ไปกับไฟฟ้า  คงมีสักหลายคราได้กลับสู้อ้อมกอดบรรพชนอีกครั้ง อีกครั้ง ด้วยพลังแห่งกองไฟ
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างรับรู้กันโดยพื้นฐานว่า  เหล่าศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นจิตรกร นักดนตรี กวี หรือแขนงอื่นใดล้วนสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาจากแรงบันดาลใจทั้งสิ้น  หลายคนให้ค่าคำนี้ยิ่งใหญ่ บางคนอาจน้อยลงไปนิด นั่นก็หาเป็นไรไม่  แต่ความจริงก็คือ ด้วยแรงบันดาลใจนั่นเองที่ส่งผลให้ศิลปินน้อยใหญ่ใหม่เก่าทั้งหลายสร้างสรรค์ผลงานอันมีความหมายและทรงค่า  หากปราศจากแรงบันดาลใจเสียแล้ว ศิลปินก็ไม่อาจสร้างงานได้อีกต่อไป  หรือเมื่อแรงบันดาลใจร่อยหรอลง ศิลปินก็อาจลดสถานะเหลือสภาพเพียงช่าง  แต่กระนั้นแรงบันดาลใจของช่างก็อาจคือการทำมาหาเลี้ยงชีวิต  เป็นสัมมาอาชีวะอันมีความหมาย  นั่นก็อาจเป็นแรงบันดาลใจ แม้สังคมจะมองว่า มันเป็นแรงบันดาลใจที่ปราศจากอุดมการณ์ก็ตามมันคงไม่ใช่เท่านี้  นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดของโลกใบนี้ ค้นพบ และสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีทั้งหลาย ก็ด้วยแรงบันดาลใจทั้งสิ้น    ความจริงก็คือมนุษย์ล้วนมีแรงบันดาลใจทั้งสิ้น  ไม่เช่นนั้นแล้วเขาผู้ไม่มีแรงบันดาลใจนั้นคงไม่อาจมีชีวิตได้อีกต่อไป  หรือไม่ก็อาจเป็นชีวิตที่แห้งแล้งเหลือหลาย  ผู้คนในยุคสมัยบริโภคนิยม  อาจมิค่อยได้ใคร่ครวญถึงวาระนี้  ด้วยว่าการโน้มนำทั้งหลายของการบริโภคได้ดึงชีวิตคนเข้าไปสู่ศูนย์กลางของกระแสของมันเองอย่างลึกล้ำ  ประหนึ่งการจัดวาง ทางที่จะก้าวเดินไป โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ  และนั่นก็คือ ชีวิตสำเร็จรูป  ภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากมายต่อชีวิตมนุษย์  อันสำคัญก็คือความเครียด  หลายหนที่มีข่าวการฆ่าตัวตายของผู้คนในเมืองใหญ่  แง่หนึ่งก็อาจจะว่าไปตามปัญหาในระดับปัจเจก  แต่ความจริงที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ  ผู้คนทั้งหลายขาดแคลนแรงบันดาลใจต่อการดำรงชีวิต  สภาวะหนึ่งของชีวิตก็คือคงมีบางครั้งคราว  บางช่วงเวลาของชีวิตที่เราได้สูญเสียแรงบันดาลใจ  เมื่อนั้นเราย่อมเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ทั้งเรื่องราวของตัวเองและผู้คน  จ่อมจมอยู่กับความทุกข์  ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาของตัวเอง  รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า  เหลือเพียงความหม่นเศร้าเหงาหงอยซึมเซา  ปราศจากความหวัง และความฝัน ปราศจากความมั่นใจ วิตก ลังเล และนั่นก็คือภาวะเวลาอันเปราะบางของชีวิต ช่วงเวลาที่เปราะบางของแรงบันดาลใจ  อาจไม่ง่ายนักต่อการก้าวพ้นภาวะนั้น  ซึ่งมันอาจขึ้นอยู่กับวิถี วิธีการดำเนินชีวิตของแต่ละคน  และทั้งหมดนั้นมันก็อาจไม่ถึงกับยากเกินการแก้ไขเยียวยา  หากเพียงได้ตระหนักในความหมายของวาระนั้นอย่างแท้จริง  และปรารถนาจะสร้างแรงบันดาลใจใหม่  ชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้สิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่งจากประสบการณ์ของผู้รู้หลายท่านก็คือ  เดินออกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ หรืออาจต้องเปลี่ยนงาน ย้ายบ้าน เดินทางไปต่างถิ่น จากที่คุ้นเคยไปยังที่ที่ไม่รู้จัก พบประสบการณ์ใหม่ๆ ท่องเที่ยว พบผู้คนใหม่ๆ เสพย์สุนทรียภาพศิลปะ  นั่นก็คือการนำพาตัวเองออกไปจากพื้นที่ และพลังงานอันซึมเซาเปล่าร้างนั่นเสีย  หรือเริ่มหยิบจับทำงานด้วยมือ ใช้ร่างกายประดิดประดอย ขุดดิน ปลูกต้นไม้  นั่นอาจเป็นหนทางหนึ่งในการค้นหาแรงบันดาลใจใหม่  เพื่อก้าวข้ามภาวะความเปราะบางของชีวิตนั้น....
กวีประชาไท
คนรอบข้างลอบมองข้าพเจ้าด้วยสายตายากเกินจะเข้าใจแน่นอนที่ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นเพียงรู้สึกว่ามันน่ากลัวเสียเหลือเกินนั่นคือเหตุผลที่ข้าพเจ้าใช้อ้างในการเอาชนะหรือคนรอบข้างไม่ได้มองข้าพเจ้าเลย...ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง?