Skip to main content
มาลำ
พ่อเพ้อทั้งคืนจนฉันตกใจ ทั้งเป็นประโยคยาวๆ บางคราวเหมือนพึมพำอยู่ในลำคอ หลายครั้งฉันเผลอตอบเพราะนึกว่าพ่อพูดกับฉัน แต่เปล่า พ่อกลับหลับต่อหลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบ หลายคำที่พ่อเพ้อ ฟังเหมือนเรียกชื่อใครหลายคน เวลาที่พยาบาลมาวัดความดัน ฉีดยา พ่อลืมตามาดูเหมือนพ่อตื่น แต่พอฉันถาม พ่อกลับหลับตาต่อเหมือนยังไม่ตื่นเช้าแล้ว แม่มาถึงข้างเตียงพร้อมข้าวต้มเช่นเคย หลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูเตียงนอนใหม่ พ่อหลับสนิท แม่ถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันสบตาแม่แล้วบอกว่าความดันเลือดยังต่ำอยู่ต้องให้ยาเพิ่มความดันต่อ อย่างอื่นก็ดูดีนะ พ่อหายใจปกติและไม่มีไข้ มีอย่างเดียวที่น่าตกใจก็คือพ่อเพ้อทั้งคืน หลายคำที่พูดจาเหมือนเสียงคนโบราณ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา หรือว่าหลังพ่อช็อคคงเป็นธรรมดาที่จะเพ้อ ใช่หรือเปล่านะแม่ ฉันถามแม่เบาๆแม่สบตาฉันแล้วดึงฉันออกมาจากข้างเตียงพ่อ จูงมือฉันมานั่งที่ระเบียงตึก หลังปูเสื่อลงแล้วแม่บอกฉันว่า กินข้าวก่อนนะ แม่มีอะไรจะบอกให้ฟังแม่เล่าว่า วันแรกที่พ่อช็อค แม่นั่งเฝ้าพ่ออยู่ข้างเตียงหลังจากที่คลายความวุ่นวายลงแล้ว แม่ว่าแม่ยังรู้ตัวอยู่แต่เหมือนอยู่ในภวังค์เคลิ้มๆใกล้หลับ แม่ได้ยินเสียงดังในหูว่ามันไม่เชื่อกู ไม่เคารพกู มันเลยต้องเจออย่างนี้เลย แล้วก็เป็นเสียงหัวเราะ แม่ขนลุกไปหมด สะดุ้งสุดตัว  แม่ว่าพ่อคงทำผิดอะไรสักอย่าง ที่สำคัญพ่อคงไม่สนใจเรื่องอะไรอย่างนี้  แม่เลยไม่ได้เล่าให้พ่อฟัง แม่บอกฉันเบาๆว่า ลูกคงจำได้ บ้านเรามีห้องสวดมนต์ของแม่ มีหน้ากากนายพรานและกระดูกของบรรพบุรุษ   สงสัยเขาจะโกรธพ่อ แม่ต้องกลับไปขอโทษเขาก่อนและขอให้เขายกโทษให้พ่อ พ่อจะได้ดีขึ้นถ้าทำให้แม่สบายใจก็ทำเถิด ฉันยิ้มให้แม่สมัยที่มีมโนราห์โรงครูที่บ้านปู่ ซึ่งมีการเข้าทรงหลังการรำมโนราห์  ฉันชอบนั่งข้างหน้าสุดเพื่อดูทุกอย่างให้เต็มตา ฉันชอบการรำมโนราห์ เสียงกลองทับที่ตีฉับฉับสะเทือนเข้าไปในหัวใจ  ปี่มโนราห์โหยหวนส่งเสียงแทนคำร้อง หลายครั้งที่คนฟ้อนมาฟ้อนอยู่ตรงหน้า ฉันจ้องตาเขาพบว่าแววตาเลื่อนลอย หรือการรำคือการเข้าทรง  ฉันนึกสงสัย ยิ่งในเวลากลางคืน มโนราห์โรงครูยิ่งขลัง น้ำเสียงกลองทับและปี่ยิ่งดังก้องกังวาน เร่งเร้า สั่นหัวใจของเราเหมือนจะให้ออกมาเต้นอยู่นอกอก คนรำมโนราห์นั้นเล่า ฉันไม่กล้าสบตาเขาเลย เพราะตาที่แข็งกร้าวนั่นเหมือนจะสะกดจิตคนนั่งหน้าโรงได้ ถึงกระนั้นฉันก็ยังนั่งดูตาไม่กระพริบจนกระทั่งมโนราห์เลิกในตอนที่ดึกมากแล้ว แล้วฉันก็หลับอยู่หน้าโรง ไม่ยอมลุกไปที่ไหนจนโรงมโนราห์ถูกถอนออก  ทุกครั้งที่มีมโนราห์โรงครู ฉันต้องขอแม่ไปดูเสมอ บางคราวมีการซัดข้าวสารก่อนรำถวาย เป็นการโหมโรง เสียงครูโนราห์ตวาดเด็กๆที่อยู่หน้าโรงให้ถอยไป เดี๋ยวจะถูกของ  ฉันยังวิ่งออกมาเสียไกล เพราะกลัวที่ต้องถูกเข้าทรง นึกถึงอาของฉันที่ต้องเป็นคนทรงในคราวหนึ่ง  เธอถูกเข้าทรงอยู่สองวันสองคืนเต็มๆ อาเหนื่อยจนเป็นลม คำถามที่ฉันถามหลังอาฟื้นมาคือ  อาหายไปไหนมาถึงสองวัน หลังจากที่อากลายเป็นคนอื่นในสายตาฉัน  อายิ้มและหลับต่อ  ทิ้งให้ฉันสงสัยและเก็บไปกลัวจนกระทั่งโต พ่อเป็นคนเดียวที่ไม่เคยลงนั่งเข้าทรง  พ่อเดินตัวตรงผ่านหน้าโรงมโนราห์ เป็นพี่ชายคนโตที่น่าเกรงขามของน้องๆ  พ่อไม่เคยถูกร้องขอให้มาเข้าทรงเลย ปู่รู้จักพ่อดีแม่กลับบ้านไปทำอย่างที่พูด พ่อตื่นมากินข้าวต้มของแม่ ฉันถามพ่อว่าพ่อเพ้อทั้งคืน พ่อจำได้หรือเปล่าว่าเป็นอะไร พ่อบอกว่า ไม่รู้หรอกลูกแต่พ่อเหนื่อยจัง เหมือนเดินไปไหนมาที่ไกลมากๆและหยุดพักไม่ได้ พ่ออยากนอนพักมากๆ พ่อพูดแล้วหลับตาต่อ หายใจยาวๆสักครู่เดียว พ่อก็หลับสนิท พลอยให้ฉันนึกถึงอาหลังจากฟื้นตื่นจากการเข้าทรง  อาหลับไปอย่างง่ายดายและเหนื่อยอ่อนเหมือนกับพ่อ ฉันเช็ดตัวให้พ่อใหม่ กลิ่นยาจากตัวพ่อฉุนแตะจมูก  พ่อหลับลงอีกครั้งและครั้งนี้ยาวนานจนฉันตกใจ เย็นย่ำแล้ว พยาบาลมาวัดความดันเลือดตลอดทุกสองชั่วโมง พ่อก็ยังหลับอยู่อย่างนั้น หน้าตาที่บวมเพราะแพ้ยาเริ่มยุบลงบ้าง ปากที่เจ่อก็ยุบลง ความดันเลือดเริ่มดีขึ้น แต่พ่อยังหลับแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนพลบค่ำ
วิจักขณ์ พานิช
การที่คนคนหนึ่งจะอุทิศชีวิตเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนตนเองอย่างมุ่งมั่น พลังแห่งศรัทธานั้นมักจะเกิดขึ้นด้วย “จุดเปลี่ยน” อันเป็นช่วงชีวิตที่เขาได้มองเห็นความเป็นจริงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ความจริงที่แตกต่างออกไปจากแบบแผนหรือความเชื่อที่ผู้คนในสังคมบอกให้ทำตามๆกันมา จุดเปลี่ยนได้นำมาซึ่งแรงดลใจ ความมุ่งมั่น และศรัทธา บ่มเพาะเป็นความกล้าที่จะ “เอาชีวิตเข้าแลก” จนเส้นทางชีวิตของเขาได้ปรากฏเป็นประจักษ์พยานในตัวของมันเอง ชีวิตหนึ่งที่ทำผู้คนรอบข้างได้ตระหนักว่า สิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้สามารถเป็นไปได้ พลังแห่งศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะภายใต้ความยิ่งใหญ่ย่อมแฝงไว้ด้วย “ทิฐิ” ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเสมอ ทิฐิ ที่ว่าหาได้มีความถูกหรือผิด “สัมมา” หรือ “มิจฉา” โดยสมบูรณ์ เพราะสิ่งเดียวที่จะเป็นประจักษ์พยานถึงผลลัพธ์แห่งทิฐินั้น ก็คือการปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของบุคคลผู้นั้นนั่นเองในเรื่องของการปฏิบัติภาวนาก็เช่นเดียวกัน ที่ไม่ใช่ว่านักภาวนาจะต้องถูกปั๊มออกมาเป็นพิมพ์เดียวเหมือนกันหมด คนที่เลือกเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนทางจิตวิญญาณจำเป็นต้อง “critical” ในศรัทธาและความเชื่อของตนเองอยู่เสมอๆ มิฉะนั้นเราก็คงไม่สามารถเรียกเส้นทางสายนี้ว่าเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพ หรือเส้นทางแห่งการเรียนรู้ จนสามารถนำศักยภาพสูงสุดในตนเองออกมาเป็นประจักษ์พยานได้เลย บนเส้นทางแห่งการฝึกตน เราจำเป็นจะต้องมีความกล้าที่จะเข้าไปเผชิญกับทุกขสัจ เพราะมีเพียงทุกขสัจเท่านั้นที่จะเป็นครูแห่งประสบการณ์ตรง ให้เรารู้จักที่จะติดดิน เรียนรู้ชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับผู้อื่น หากเส้นทางแห่งการฝึกตนเป็นไปเพื่อความสุขสงบจาก “การหนี” เราคงไม่สามารถรู้สึกถึงความเต็มเปี่ยมของการเติบโตทางจิตวิญญาณที่แท้ได้ขอฝากถ้อยคำของหลวงพี่ไพศาล วิสาโลที่ผมได้ยินได้ฟังจากการเข้าร่วมประชุมจิตวิวัฒน์ ที่มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา มาฝากเพื่อนๆทุกคน เป็นถ้อยคำที่ทำเอาผมน้ำตาเอ่อ ช่วยปลุกเร้าพลังแห่งศรัทธา และอุดมคติของชีวิตของคนเล็กๆบ้าๆ ที่คิดฝันจะทำอะไรแปลกๆได้อีกครั้งขอขอบคุณพี่นัน (วรพงษ์ เวชมาลีนนท์) สำหรับไฟล์บันทึกเสียงของหลวงพี่ไพศาล ที่ส่งมาถึงผมตามคำขออย่างรวดเร็วทันใจนะครับพลังแห่งศรัทธา พระไพศาล วิสาโล ในการปฏิบัติธรรม คุณต้องเผชิญหน้ากับความกลัว เข้าไปในป่า เข้าไปเจอสิ่งเสียดแทงในชีวิตอย่างแรง จนคุณสามารถผ่านมันไปได้ พระอรหันต์หลายท่านได้สูญเสียลูก สูญเสียคนรัก เจ็บปวดทางใจมากมาย จนเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในของเขา สำหรับถ้าเรามองเรื่องจิตวิวัฒน์ เราต้องมีความเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ อาตมาคิดว่าโอกาสแห่งความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากการที่คนเราโดนบีบคั้นอย่างรุนแรง คือ พอมันตั้งจิตไว้ได้ถูก ยิ่งเจอความรุนแรงมากเท่าไหร่ เจออุปสรรคในชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนมนุษย์มากเท่าไหร่ มันยิ่งเกิดศรัทธาในมนุษย์มากขึ้น มันยิ่งซาบซึ้งศรัทธาในเมตตาและความรักมากขึ้น และสิ่งนั้นจะเข้าไปชนะใจคนรอบข้างได้ วิวัฒนาการทางจิตไม่ใช่การนั่งในห้องสมาธิ หรือเพียงแต่สัมผัสกับฌาณสมาบัติ แต่เราต้องเข้าไปเผชิญกับการเสียดแทงร้อนแรงในประสบการณ์จริงของชีวิต อีกอย่างก็คือเราต้องพร้อมที่จะเชื่อในความเป็นไปได้จากสภาวะการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ (thinking impossible) นี่คือศรัทธา ถ้าเราเชื่อในจิตวิวัฒน์ เราต้องมีศรัทธา กล้าที่จะคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร...เพราะคนที่เชื่อเรื่องความรุนแรง และความเกลียดชังมีความเชื่อมั่นในวิธีการของเขามาก จริงๆแล้วมันมีไม่กี่คนในโลก แต่เพราะคนพวกนี้มีความเชื่อความศรัทธาอย่างแรง คือ เอาตัวเองเป็นประจักษ์พยาน จึงเป็นคำถามที่ว่า พวกที่เชื่อเรื่องสันติวิธีหรือเชื่อเรื่องจิตวิวัฒน์ เราจะอยู่แบบสบายๆ แฮ้ปปี้ๆ วันเด้อฟูล บิ้วตี้ฟุล แค่นั้นเหรอพอมั๊ย....ไม่พอ มันต้องมีความเชื่อมั่นที่แรงพอๆกัน แต่แรงในแบบของสันติวิธี  และเชื่อว่าในความเป็นไปไม่ได้นั้นมีโอกาสของความเป็นไปได้สูงมาก เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่เชื่อในการจะปล่อยโลกให้เป็นไปตามยถากรรม เพราะนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยทำให้เกิดจิตวิวัฒน์ได้ เราต้องเข้าไปเผชิญด้วยความศรัทธาในการเปลี่ยนแปลงภายในของมนุษย์ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ในกลางเตาหลอมเหลว มีจุดที่เยือกเย็นอยู่ ในใจของเราพร้อมที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในขั้นวิกฤติได้ท่ามกลางการบีบคั้นและกดดันอย่างแรง และเราก็เชื่อว่าความงอกงามในใจนั้นสามารถปลุกความหวังให้กับคนเล็กคนน้อยได้ เราต้องมีศรัทธาตรงนี้ ไม่ใช่ปล่อยโลกไปตามยถากรรม ปล่อยให้มันเป็นไปเถิด เพราะถ้าเราคิดเช่นนั้นเราก็ได้ปล่อยให้โลกถูกครอบงำโดยกลุ่มคนที่กำลังก่อสงครามและกำลังฆ่าฟันผู้คนมากมาย ซึ่งเชื่อว่าพระเจ้าอยู่ข้างเขา แล้วเขาสามารถจะทำอะไรก็ได้ แม้เขาจะมีคนแค่ ๑๐ คน ๒๐ คน เขาก็ยังกำลังเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ เพราะว่าพวกเราไม่มีความศรัทธาที่เข้มข้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องไม่กลัว ต้องกล้าที่จะหวัง และกล้าคิด และศรัทธาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ...ไม่น้อยไปกว่าเขา (เรียบเรียงจาก ไฟล์บันทึกเสียงการประชุมจิตวิวัฒน์ วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ)  
แสงพูไช อินทะวีคำ
วรรณคดีปฏิวัติที่กล่าวถึงมากที่สุดก็คงจะเป็นปรปักษ์สองด้าน คือ การปฏิวัติและระบบการปกครองเก่า การสะท้อนให้เราได้เห็นความอยุติธรรม นักประพันธ์ปฏิวัติสะท้อนให้เห็นภาพในระบบการปกครองเก่าได้ชัดเจน ว่า ระบบการปกครองเก่า เวลาใดก็เป็นปรปักษ์อย่างที่สุดต่อกับการปฏิวัติ ความอยุติธรรมส่วนมากก็คงเกิดขื้น บนแผ่นดินที่นอนอยู่ใต้แห่งการควบคุมของระบบการปกครองของระบบเก่าที่เวลาใดก็เป็นศัตรูสุดขีดต่อการปฏิวัติลาว ในบทประพันธ์สะท้อนให้เห็นมากที่สุดก็คงเป็น หนุ่มสาวพร้อมเพรียงกันหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของเขา ไปหาการปฏิวัติวรรณคดีปฏิวัติที่พบเห็นส่วนมาก นักประพันธ์ชอบใช้ในรูปของการบันทึกเป็นส่วนใหญ่ ทั้งเป็นการบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรืออาจเป็นการบันทึกซีกเสี้ยวหนึ่งในทางประวัติศาสตร์ด้วยการเติมรสชาติของงานศิลป์เข้าไป ทำให้งานมีความบรรจงและงดงามขื้นเต็มอีกขั้น แต่สิ่งเติมเต็มลงไปนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของความจ็บปวดจากสงครามที่ไม่มีใครปรารถนา ความหมดหวัง สิ้นหวังและไร้มนุษยธรรมของระบบการปกครองเก่า เป็นการบันทืกเสียงร้องไห้ครวญครางเรียกหาความช่วยเหลือ ความหวังในวันใหม่และการฟื้นชีพของผู้คนที่ได้มีโอกาสพบกับแสงสว่างของการปฏิวัติอย่างที่เราเข้าใจแล้วว่า การบันทึกใดก็ตามที หากเป็นการบันทึกที่ละเอียดรอบคอบดีและบันทึกอย่างเป็นระบบของมันได้ดีแล้ว ก็จะทำให้บทนั้นๆ กลายเป็นบทวรรณคดีที่ดีได้เช่นกัน แม้ว่านักประพันธ์จะไม่ได้ให้ความสำคัญ มากนักกับการประพันธ์ก็ตามทีบทวรรณคดีปฏิวัติที่เราได้พบเจอนั้นก็มีการประพันธ์ที่ดี มีรสชาติแห่งวรรณกรรม ซึ่งผู้แต่งก็มีความพยายามสูงเพื่อสร้างสรรค์งานออกมาให้น่าอ่าน รับใช้สังคมและได้รับความนิยมมากอันได้แก่ ‘กองพันที่สอง’ ของ ‘ส.บุบผานุวง’ ‘พะยุชีวิต’ ของ ‘ดาวเหนือ’ ทั้งสองท่านพูดได้ว่า เป็นตัวแบบที่ดีในวงการประพันธ์วรรณคดีปฏิวัติเท่าที่เคยเจอมาอย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังคงเข้าใจว่า วรรณคดีปฏิวัติเป็นการริเริ่มก้าวสู่ถนนแห่งวรรณกรรมในระยะนี้ เป็นการให้โอกาสใหม่เพื่อคนรุ่นหนุ่มสาวได้มีความสนใจในเส้นทางวรรณกรรมมากขึ้น เป็นการสร้างสรรค์วรรณคดีในระยะใหม่ด้วย ไปพร้อมๆกับการต่อสู้ปลดปล่อยชาติออกจากการเป็นทาสรับใช้ ให้แก่สังคมเก่าและต่างชาติ ฉะนั้น การที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจที่สุดในการสร้างสรรค์ วรรณกรรมของชาติให้สูงเด่นขื้นเรื่อยๆ นั้น ต้องได้เข้าใจให้มากขึ้นด้วยการเรียนรู้ให้มากขึ้นเช่นกัน เพราะเราๆไม่มีความสามารถที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งเก่าๆเพื่อเป็นต้นแบบโดยไม่มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าในตัวของวรรณกรรมปฏิวัติก็มีความต้องการเสริมแต่งในสิ่งใหม่ๆให้สูงเด่นขื้นไปอีกอย่างมาก โดยเน้นรูปแบบการประพันธ์เมื่อพูดอย่างนั้นก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำอย่างไรถึงจะพูดได้ว่าเป็นการประพันธ์? ผมขออนุญาตเสนอบางอย่าง ดังนี้ “มือเธอสั่นนิดๆ ในขณะที่เธอโขย่งตัวขึ้นบิดลูกบวบอ่อนๆ บนขอบรั้วบ้าน” นี่คือประโยคเล็กๆ ที่นำเสนอพอให้มองเห็นภาพของการเคลื่อนไหวของตัวละครเท่านั้น เพราะในบทประพันธ์หลายๆ บท ยังคงสับสนทำให้เรายังมองไม่เห็นภาพที่ชัดเจนเท่าไรนัก
ปรเมศวร์ กาแก้ว
พ่อกับแม่กลับบ้านไปหลายวันแล้ว  ผมกับบ่าวปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ และสภาพแวดล้อมที่นี่ได้ดีมากขึ้น ไอ้หมีกับไอ้ตาลก็คุ้นเคยกับเราดี ไม่เห่าคิดว่าเราเป็นคนแปลกหน้าเหมือนเก่าแดดเช้าสาดสีขาวจากขอบฟ้า ไก่ขันแจ้วๆ ตอบกันเหนือยุ้งข้าวมาแต่ไกล ย่าปลุกเราตั้งแต่เช้าขณะที่ลมอุ่นแห่งท้องทุ่งกำลังพัดโบยหมอกเช้า  เรางัวเงียพลิกตัวไปมาก่อนลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน “บ่าวๆ ๆ ๆ น้องๆๆ”  จ้อยมาตามเราตั้งแต่เช้า“วันนี้ที่ศาลาจะมีการประชันตอกลูกยาง ไปกันนะ ต้องสนุกแน่ๆ”  จ้อยชวน“ไปๆๆ ไอ้เสือสมิงของผมต้องชนะแน่ๆ” บอยประกาศถึงความมั่นใจในไอ้เสือสมิงลูกยางของตัวเองไอ้เสือสมิงเป็นลูกยางที่บอยเก็บมาได้จากสวนยางของแม่ตอนตามไปเก็บยางเมื่อหลายวันก่อน มันมีลายสีดำขลับแต้มจุดมันเลื่อมเปื้อนบนสีน้ำตาลเข้ม หัวเป็นเหลี่ยมน่าเกรงขาม  ไอ้เสือสมิงไม่เคยแพ้ใคร แต่วันนี้จ้อยบอกว่าเพื่อนที่ชื่อขาวแห่งหมู่บ้านใกล้เคียงจะเอาไอ้เสือดาวมาปราบไอ้เสือสมิงถึงที่“วันนี้บ่าวกับน้องยังไม่มีลูกยาง แล้ววันหลังเราค่อยไปเก็บกันในสวนนะ” บอยให้สัญญา“ประลองครั้งนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี” “เฮ....” เราฮึดเหมือนให้กำลังใจไอ้เสือสมิงอยู่เนืองๆวันนี้ไอ้หมีกับไอ้ตาลตามเราไปประลองความแข่งแกร่งของลูกยางที่ศาลาเสมือนเป็นทีมของเรามาด้วย มันทำทีดมต้นไม้ข้างทางไปตลอดแล้วฉี่รดเป็นจุดๆ พวกมันวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนานสายตาของมันจ้องไปที่สนามประลองของนักสู้ตัวน้อยที่ศาลากลางหมู่บ้านซึ่งเป็นสนามประลองมีเด็กๆ คนอื่นๆ มาถึงกันแล้วหลายคน รวมถึงทีมและเพื่อนๆ ของขาวจากหมู่บ้านอื่นมารอเราอยู่ก่อนแล้ว“ชักตื่นเต้นแล้วสิ”  บอยเปรยขึ้นก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดศาลาไปสู่สนามประลองประชันความแข็งแกร่งของไอ้เสือสมิงผู้ไม่เคยมีใครล้มมันลงได้เราทักทายกัน บอยแนะนำผมกับบ่าวให้เพื่อนๆ รู้จัก เรายิ้มตอบตามมารยาทก่อนจะเดินวนดูรอบๆ บนศาลาเกลื่อนไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้เป็นเศษเปลือกลูกยางพาราผู้พ่ายแพ้  เพื่อนต่างหมู่บ้านคนหนึ่งยื่นลูกยางให้ผมกับบ่าวคนละสองลูก เรารับไว้ด้วยมิตรภาพแล้วลองเอามาประกบกันดูเหมือนที่คนอื่นๆ ทำกัน“ฮ่า........”  จ้อยหัวเราะร่วนเมื่อเห็นบ่าวกับผมทำท่าเก้ๆ กังๆ ประกบลูกยางไม่เป็นท่าเป็นทางพิลึกบ่าวกับน้องต้องเอาผ่ามือทั้งสองข้างหนีบลูกยางทังสองลูกไว้อย่างนี้” พลางจ้อยก็ทำท่าให้ดูเป็นการสาธิต“แล้วเอามันมาประกบไว้ด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้แรงบีบเข้าหากัน” จ้อยสาธิตให้ดูอีกที“ต่อไปนี้จะเป็นการประลองความแข็งแกร่งระหว่างไอ้เสือสมิง”“เย้ๆๆ........เย้ๆๆ.......”“กับ ไอ้เสือดาว”“เย้ๆๆ........เย้ๆๆ.......”  กองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายโห่ร้องกันลั่นทุ่ง  ไอ้หมีกับไอ้ตาลได้ยินเสียงนั้นตกใจจึงวิ่งเข้าใต้ถุนศาลาอย่างว่องไว“ไอ้เสือสมิงสู้ๆๆ”  บอยลุกขึ้นชูสองมือปลุกใจอย่างฮึกเหิมพลางทำมือเรียกเสียงเชียร์จากเพื่อนๆ เช่นเดียวกับขาวที่เรียกเชียร์อยู่เช่นกันขาวมาในชุดกางเกงนักเรียนขาสั้นสีน้ำตาลกับสื้อยืดคอกลมเก่าๆ ในมือหิ้วถุงลูกยางพารามาด้วย เพื่อนๆ ของขาวก็เช่นกันต่างก็หิ้วถุงลูกยางมาอย่างมั่นใจ พวกเขาเรียกลูกยางของขาวว่าไอ้เสือดาวเพราะลายจุดสีดำที่เปื้อนไปทั่วลูกยางเหมือนลายของเสือดาวผู้น่าเกรงขาม  ในฤดูที่ลูกยางแตกผล เด็กๆ จะเก็บลูกยางไปขายให้คนที่มารับซื้อไปเพาะชำกล้ายางบ้างก็เก็บไว้เล่นต่างๆ นานาตามแต่จะชักชวนกัน“น้องคอยดูนะ เราต้องชนะแน่”“ครับ...ผมจะเอาใจช่วย”  ผมกับบ่าวเอาใจช่วยไอ้เสือสมิงและบอยอย่างเต็มที่เมื่อการประชันเริ่มขึ้นทุกคนต่างใจจดใจจ่ออยู่ที่มือของขาวซึ่งเป็นฝ่ายได้เริ่มก่อน“บ่าวว่าใครจะชนะ” “ไอ้เสือสมิงสิ มันเป็นนักสู้ของเรา”  บ่าวยิ้มให้ผมอย่างมั่นใจสายลมฤดูร้อนพัดใบโพธิ์ข้างศาลาอยู่ไหวๆ บางใบปลิวตามลมพลิ้วอยู่บางตา  วันนี้บนศาลาพลุกพล่านไปด้วยเด็กๆ จากสองหมู่บ้านที่นัดแนะกันมาสนุกสนานกัน สมาชิกใหม่ของหมู่บ้านอย่างผมกับบ่าวเริ่มคุ้นเคยและสนุกสนานไปกับการละเล่นของเด็กๆ ที่นี่แล้วขาวจับไอ้เสือสมิงและไอ้เสือดาวมาประกบกันอยู่ในอุ้งมือ ผมตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนบ่าวจะเฉยๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้านักสู้จากต่างหมู่บ้านออกแรงบดลูกยางทั้งสองในมืออย่างเต็มกำลัง ขณะที่กองเชียร์ของทั้งสองฝ่ายต่างก็โห่ร้องหนุนหลังอยู่“ปรี๊ด!” เจ้าเปียผู้รับหน้าที่กรรมการเป่าสัญญาณให้ขาวหยุดเพื่อเปลี่ยนให้บอยเป็นบดลูกยางบ้าง“แจ๋วเลยไอ้เสือสมิง ยังไม่แตก” ฝ่ายของเราโห่ร้องด้วยความยินดีบอยยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นไอ้เสือสมิงต้านทานแรงบดขยี้จากไอ้เสือดาวไว้ได้“เอาเลยบอย เอาเลย”กองเชียร์ฝ่ายขาวทำหน้าจ๋อยสร้างความกดดันให้ขาวยิ่งขึ้นเมื่อไอ้เสือดาวพลาดโอกาสแรกไป ผมสังเกตดูพฤติกรรมของทุกคนก็รู้ว่ากำลังลุ้นกันอย่างสุดตัว“เอาเลยบอย” ผมตะโกนให้กำลังใจคราวนี้เป็นโอกาสของบอยที่จะบดขยี้ไอ้เสือดาวให้แหลกคามือ บอยประกบไอ้เสือสมิงกับไอ้เสือดาวไว้แน่นด้วยอุ้งมือทั้งสอง ผ่อนแรงบีบที่ไอ้เสือดาวเล็กน้อยแล้วบี้ลูกยางทั้งสองเข้าหากันอย่างเต็มแรงเจ้าเปียคาบนกหวีดไว้คาปากพร้อมที่จะเป่าหยุดเกมตลอดเวลา บอยปั้นสีหน้าบู้บี้ออกแรงบดลูกยางอย่างตั้งใจ“ป๊อก!” ทุกคนเงียบเสียงแล้วหันมามองหน้ากันบอยคลายมือออกช้าๆ ขณะที่ขาวเอามือปิดตาไว้พอมีช่องมองให้มองเห็นลอดไปได้  มือของบอยค่อยๆ แผ่ออกแบบราบจนเป็นแผ่นเดียวกัน  เปียเป่านกหวีดหยุดเกมกระชากความตกใจจากทุกคนในมือของบอยเต็มไปด้วยเศษเปลือกลูกยางแตกกระจาย ไม่มีลูกใดยังคงสภาพ ทั้งสองแหลกจนเปลือกปะปนกันแยกไม่ออกว่าเป็นเศษของไอ้เสือสมิงหรือไอ้เสือดาว“เสมอ!” เจ้าเปียลั่นคำตัดสินการประลองสิ้นเสียงประกาศจากเจ้าเปีย ก็แทรกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะของกองเชียร์ทั้งศาลา ผมเองก็หัวเราะจนท้องแข็งไปพร้อมกับบอยและบ่าวที่หัวเราะอยู่ข้างๆ บรรยากาศตึงเครียดจากการประลองลดถอยลงสู่ภาวะปกติ ไอ้เสือสมิงกับไอ้เสือดาวเหลือเพียงชื่อให้จดจำ ขาวจับมือบอยแสดงความเสียใจที่ไอ้เสือสมิงต้องแหลกเป็นเสี้ยวและชื่นชมในความแข็งแกร่งของมัน  ผมยิ้มให้นักสู้ทั้งสองคนที่มีน้ำใจนักกีฬายอมรับผลการแข่งขันที่ออกมาได้“บ่ายนี้เรามีนัดเล่นชนวัว ไปด้วยกันนะ” ขาวชวนเราไปเล่นที่หมู่บ้านของขาว เรายิ้มตอบอย่างเป็นมิตรผมหันไปถามบอยว่าชนวัวมันเป็นอย่างไร  บอยยิ้มให้แล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับจ้อยและแดง ผมทำตางงๆ กับเสียงหัวเราะนั่นของทุกคนแล้วหัวเราะออกไปบ้าง“ไปสิ...ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเล่นชนวัวนั้นเป็นอย่างไร”“เคยเห็นแต่ในทีวี” ขาวยิ้ม
new media watch
ถ้าใครยังจำนิทรรศการภาพถ่าย ที่จัดแสดงให้ดูกันแถวๆ สถานีรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครเมื่อ 2-3 ปีก่อนได้ อาจรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกันบางประการ ระหว่างชายในชุดสูทสีชมพูและกระแสพิ้งค์ๆ ที่กำลังจะเป็นที่นิยมต่อจากนี้ไปอีกเป็นปี
แสงพูไช อินทะวีคำ
มีหลายอย่างที่สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นและคิด เมื่อมองเห็นภาพโดยรวมที่ว่า- -ทำไมนักเขียนถึงกำเนิดขึ้นในระยะที่ประเทศชาติทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย? นักเขียนปฏิวัติมีจุดยืนของตัวเองอย่างไร เพื่อเขียนบทประพันธ์ของตน? นักประพันธ์ปฏิวัติมองเห็นข้อบกพร่องอะไรบ้างของระบบล่าอาณานิคมแบบเก่าและใหม่?  พวกเขาใช้หลักการประพันธ์อย่างไรเพื่อให้คนอ่านได้มองเห็นความสมจริงของเรื่อง?  นักประพันธ์ปฏิวัติมีความต้องการให้เข้าใจการปฏิวัติอย่างไรและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่อระบบจักรววตินิยม? คำถามเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อการหาคำตอบว่า นักประพันธ์มีจุดยืนของตนอย่างไรเพื่อการเขียน!นักประพันธ์ปฏิวัติลาวกำเนิดขึ้นเกือบพร้อมๆ กับการปฏิวัติลาว เป็นสื่อแบบหนึ่งในการรับใช้ให้แก่การโฆษณา แนวทางก็คือระบอบการเมืองของการปฏิวัติลาวตั้งแต่แรกเริ่ม พร้อมๆ กับการโฆษณาด้านต่างๆเพื่อรับใช้การปฏิวัติลาวในช่วงนั้นๆ จริงๆ แล้ว เราก็เข้าใจกันแล้วว่า ‘วรรณกรรม วรรณคดีไม่มีชนชั้น วรรณกรรม วรรณคดีมีความเป็นเสรีในตัวของมันอยู่แล้ว’ แต่วรรณคดีจะถูกชนชั้นนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือของตน เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่การปฏิวัติชาติประชาธิปไตยประชาชนลาวในระยะนั้นได้นำเอาวรรณคดีมารับใช้ในแนวทางก็คือนโยบายของตน โดยมีวัตถุประสงค์ต่อต้านกับระบอบการเมืองเก่า หรือชนชั้นปกครองเก่านักประพันธ์ปฏิวัติในระยะนั้น ได้มีความพยายามเลือกเอากาละโอกาสที่ดีงามเช่นนั้น โจมตีฝ่ายตรงกันข้ามกับการปฏิวัติ โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ ของกำลังศัตรู นักประพันธ์ก็สามารถยกขึ้นมาเพื่อเขียนโจมตีอย่างเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ‘ในระบอบสังคมเก่านั้น บรรดาเจ้าใหญ่นายโต ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนเวลาใด ต่างก็เอาเปรียบผู้คนทั่วไป ข่มขู่ขู่เข็ญประชาชน หรือ แม้แต่การมีเมียน้อยของเจ้านายในระบอบเก่าก็ยกขื้นมาพูดกันในเรื่อง โดยมีนายเหนือหัวคือ อเมริกา เป็นผู้อุปถัมภ์ เมื่ออ่านบทเรื่องแล้วก็เข้าใจว่า นักประพันธ์ปฏิวัติมีความเข้าใจว่า มีเพียงการปฏิวัติเท่านั้นที่จะชักนำความศิวิไลซ์มาสู่พี่น้องชาติพันธุ์ลาวทั้งประเทศ’ในบทวรรณคดีปฏิวัติลาวที่ได้เสนอไปแล้ว มีบางเรื่องก็ประกอบสิ่งที่เหลือเชื่อ คืออาจเกินความเป็นจริงบ้าง แต่ที่สำคัญก็คือ นักประพันธ์ สามารถสะท้อนมุมเล็กๆ ที่บางครั้งหรือหลายครั้งคนทั่วไปมองไม่เห็น นำมาเขียนขึ้นให้น่าอ่าน น่าสนใจเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราๆ จึงสามารถมองเห็นว่า การนำเอาวรรณคดีมารับใช้ให้กับการปฏิวัติลาว จึงมีควาหมายสำคัญยิ่งนัก ข่าวการรบกันของกำลังปฏิวัติและกำลังฝ่ายตรงกันข้าม จึงเป็นไปว่ากำลังปฏิวัติได้รับชัยชนะเกือบทุกครั้ง มีบางเรื่องก็เกินจริงอย่าง “ข้าวห่อใบตองจับศัตรู”   เพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ใครจะไม่รู้จักข้าวห่อใบตอง? แต่อีกทางหนึ่งก็ไม่เกินไป เพราะว่าเวลาประชิดเอาปานนั้นคงไม่มีใครคิดว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะเสี่ยงตายถึงขั้นใช้ข้าวห่อใบตองทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้  50-50 ทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้นักประพันธ์ปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นในห้วงเวลาใดต่างก็มีความพยายามสูงมาก ในการสร้างภาพให้ผู้คนเข้าใจว่า การปฏิวัติประชาชน เพื่อประชาชน เพื่อให้หลุดพ้นจากการกดขี่ข่มขู่ของต่างชาติ นั่นคือความคิดส่วนหนึ่งของนักประพันธ์ปฏิวัติ !หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้ลงตีพิมพ์ครั้งแรกที่ หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ใหม่ วันที่ 5/3/2005
มาลำ
เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูกฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ  เพราะพวกเราผ่านเรื่องร้ายของชีวิตมาเสมอ ทั้งเรื่องของคนไข้และตัวเราเอง บางเรื่อง เราอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข  ให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี  ทั้งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว แต่มันยังติดตรึงในความรู้สึกไปชั่วชีวิต เพราะฉะนั้น หากเป็นเรื่องร้ายแรง  ทุกคนเต็มใจเสมอที่จะช่วยเหลือกัน นับเป็นสิ่งงดงามของความเป็นมนุษย์  เพราะยามเราต้องเผชิญเรื่องหนักหนาสาหัส  เราต้องการน้ำใจ กำลังใจจากคนรอบข้าง   ฉันโชคดีที่สุดแล้วที่ยังได้รับน้ำใจจากทุกคน  แม้ว่าโชคร้ายรออยู่ข้างหน้าก็ตามฉันซื้อตั๋วด้วยใจสั่นระริก มือกำตั๋วเครื่องบินชื้นไปด้วยเหงื่อ  ก้าวขึ้นเครื่องด้วยขาที่สั่น  ฉันไม่รู้ว่าต้องไปเจออะไรบ้าง สิ่งที่รอฉันอยู่ข้างหน้า  ทำให้หัวใจฉันแตกสลายลงหรือเปล่า ฉันมีแต่ความกลัวท่วมใจ  แม้ต้องข่มใจสักเพียงใด เข้มแข็งสักเพียงไหน  หัวใจฉันยังเต้นรัว  ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจะเข้มแข็งให้มากที่สุด ฉันหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มใหม่มาวางบนตัก  เล่มเดิมนั้นฉันวางไว้ข้างเตียงพ่อก่อนฉันกลับมาคราวที่แล้ว  ซึ่งฉันบอกพ่อให้สวดมนต์ทุกวัน ฉันยังจำคำที่พูดกับพ่อ  ลูกหวังให้พ่อเข้มแข็ง  อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุรนทุรายมากนักฉันสวดมนต์ไปเรื่อยๆระหว่างอยู่บนเครื่อง  สวดทุกบทที่เปิดผ่านแต่ละหน้า   ในใจฉันหวังให้กำลังใจตัวเอง  หวังให้พ่อคลายความเจ็บปวด ให้พ่อหาย ไม่ว่าพ่อจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ขอให้ผ่อนคลายความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่ ถึงตอนนี้  หัวใจฉันเศร้าหมองจนต้องร้องไห้ออกมา เพราะฉันรู้ว่า คราวนี้ของพ่อมันหนักหนาสาหัสนัก  ฉันจะไปหาพ่อได้ทันเวลาหรือเปล่า  ฉันจะได้กอดพ่อตอนที่พ่อยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ พ่อจ๋า ลูกจะมีเวลาเหลือได้ทำอะไรให้พ่ออีกหรือเปล่า  ความคิดนี้มันวนเวียน ทิ่มแทงหัวใจเหมือนโดนมีดคม  ฉันได้แต่สวดมนต์แล้วร่ำไห้เมื่อนึกถึงหน้าพ่อ คุณพระ คุณเจ้าช่วยด้วยเถิด ขอให้พ่ออย่าเป็นอะไรไปเลย ความคิดของฉันวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาฉันไปถึงโรงพยาบาลที่พ่อนอนอยู่จนได้   ระหว่างเดินทางนั้น  ฉันไม่ได้โทรหาแม่และน้อง ฉันกลัวที่จะฟังคำบอกกล่าว ฉันกลัวว่าจะทำใจไม่ไหว  ฉันเดินเหมือนคนหมดแรง แต่ละก้าวจึงละล้าละลัง  ในใจบอกตัวเองให้เข้มแข็งและกล้าเผชิญ  เหมือนที่ฉันเคยเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยช่วยคนอื่นๆพอผ่านประตูของตึกที่พ่อนอน  ฉันเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงหน้าเคาน์เตอร์ มองปราดเดียวฉันก็รู้ว่า พ่ออาการหนัก พ่อมีสายออกซิเจนในรูจมูก แขนพ่อมีรอยผ่าตัดให้น้ำเกลือผ่านเส้นเลือด มันเป็นการช่วยชีวิตในขั้นแรกของคนไข้ที่ช็อค ทำไมฉันจะไม่รู้  ระโยงสายน้ำเกลือนั้น  มียาที่เพิ่มความดันโลหิตอยู่ในเครื่องควบคุมจำนวนหยดน้ำเกลือ  ตัวที่ฉันคุ้นเคย แสดงว่า พ่อยังอยู่ในอันตราย  เข่าขวาของพ่อยังพันผ้าก็อสไว้เหมือนเดิมฉันถามตัวเอง  เราจะกลัวอะไรเมื่อมาถึงนาทีตอนนี้   พ่อยังนอนรอเราอยู่ตรงหน้า รอให้เรากอดและดูแล พ่อยังมีลมหายใจอยู่ และฉันต้องเดินไปกอดพ่อ ให้กำลังใจพ่อทั้งหมดที่มี ฉันยังทำได้และยังโชคดีที่สุดแล้วที่ยังมาทันเวลา  ฉันเช็ดน้ำตาจนแห้ง เดินไปหาพ่ออย่างปกติที่สุด เหมือนพ่อรู้ว่า ฉันมาแล้ว พ่อลืมตาขึ้นมาพอดีที่ฉันยืนอยู่ตรงหน้า เราต่างสบตากัน  แม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แต่เสียงสะอื้นในอกของใครหนอก็ยังดังออกมาข้างนอก  สองคนพ่อลูกกอดกันกลมอยู่บนเตียงนั้น พ่อพร่ำบอกฉัน พ่อนึกว่าเราจะไม่ทันได้กอดกันอีกแล้ว มันคงเป็นเวลาของพ่อแล้วกระมังลูกเอ๋ย  ไม่หรอกพ่อจ๋า  ฉันพร่ำบอกพ่อ  พ่อยังต้องอยู่กับลูกไปอีกนานเท่านาน พ่อต้องหาย ไม่เป็นไรหรอกนะพ่อจ๋า  ลูกจะอยู่ใกล้พ่อเหมือนเดิม ให้พ่ออดทนนะพ่อบอกฉันว่า พ่อได้กลับบ้านแล้ว เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา แต่เข่าขวาของพ่อมันบวมแดงขึ้นมาใหม่ พ่อต้องกลับมาหาหมอ  หมอให้นอนเพื่อทำแผลใหม่  ฉีดยาตัวใหม่ที่จำนวนมากกว่าเดิมเพื่อควบคุมการอักเสบ ใครจะรู้ว่า พ่อแพ้ยา ตัวบวม  ปากเจ่อ และทำให้พ่อช็อค    หมอช่วยชีวิตพ่อไว้ แม้ยังไม่พ้นขีดอันตราย  เข่าขวาของพ่อยังบวมอยู่มาก เชื้อโรคคงเข้าไปในกระแสเลือดด้วยพ่อเลยช็อค หมดสติไปสองวัน สองวันที่ผ่านมาแม่เล่าให้ฟังว่า  พ่อเพ้อถึงใครต่อใครล้วนแต่เป็นคนที่ตายไปแล้วแม่ยิ่งตกใจคิดว่า พ่อคงไม่รอดแน่นอนเลย  แม่เลยโทรบอกลูก โถ แม่คงนึกว่าลูกต้องมาไกลเหนื่อยมาก   แม่ไม่อยากให้ลูกมาเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ฉันบอกแม่ว่าดีแล้วที่ได้มา พ่อต้องการเรามากที่สุดในเวลาอย่างนี้  ขอให้ลูกได้ทำเพื่อพ่อบ้างค่ำนี้  ฉันนั่งฟุบอยู่ข้างเตียงพ่อเหมือนเดิม  คราวนี้ฉันไม่ได้ปิดม่านให้พ่อ แต่เลือกปิดไฟตรงหน้าเตียงให้แทน  แว่วเสียงที่พ่อเล่าอยู่ในหูของฉันเมื่อลืมตาตื่นว่า พ่อไปเที่ยวที่ไหนมาไม่รู้ลูก สวยเหลือเกิน สงสัยเป็นสวรรค์  พ่อคงถึงเวลาจากแล้วจริงๆ  ถึงได้ไปเที่ยวอย่างนั้น  ที่ที่สบายอย่างนั้นไปยากที่สุดเลย พ่อพูดเหมือนเพ้อ  แม้มันจะทำให้ฉันตกใจและพาลนึกใจเสีย แต่ฉันก็พูดบอกพ่อว่า หลับเถอะพ่อ พ่อขา คงเป็นฤทธิ์ยาที่ทำให้พ่อเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรหรอก ลูกอยู่ตรงนี้กับพ่อแล้ว  พ่อยิ้มให้ฉันแล้วหลับตา หลังจากพ่อหลับ  ฉันก้มหน้าซ่อนน้ำตา  ใจฉันอ่อนแอ ขลาดกลัว ... ถึงพรุ่งนี้พ่อจะฟื้นมาไหม พ่อจะลืมตามาส่งยิ้มให้ฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า พ่อจ๋า
แสงพูไช อินทะวีคำ
ในประเทศลาว หากเอ่ยถึงวรรณคดีปฏิวัติแล้ว หลายคนก็เข้าใจทันทีที่เอ่ยถึง ว่าเป็นบทวรรณคดีที่แต่งขึ้นในยุคที่ทำการปฏิวัติชาติประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศชาติลาวตกเป็นอาณานิคมของจักรพรรดิเก่าและใหม่  ระยะนี้วรรณคดีเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องมือรับใช้ให้แก่การปฏิวัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลดปล่อยประเทศชาติและประชาชนออกจากการกดขี่ของจักรวรรดินิยม เพื่อให้ชาติและประชาชนมีเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนเมื่อเป็นเช่นนั้น วรรณคดีปฏิวัติระยะนี้จึงมีความสำคัญมากในการประกอบส่วนเข้าในการโฆษณาเผยแพร่ผลงาน และการชนะสงครามของการปฏิวัติ, การรณรงค์ให้ประชาชนบรรดาชนเผ่าเข้าร่วมการปฏิวัติเพื่อต่อสู้กับจักรวรรดินิยม และหุ้นผู้ขายชาติที่หวังกลืนกินประเทศชาติลาวหลายๆ บทประพันธ์ที่ประพันธ์ขึ้นจากฝีมือของนักเขียนปฏิวัติ เช่น 1. ส.บุบผานุวง หรือ ชายเชโปน ที่มีชื่อจริงว่า “สุวันทอน บุบผานุวง” 2.จ.เดือนสะหวัน ที่มีชื่อจริงว่า จันที เดือนะหวัน  3. ดาวเหนือ และนักเขียนปฏิวัติ ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถจำชื่อได้หมดและก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย นักเขียนเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฟ้าเมืองลาว ในฐานะที่เป็นนักเขียนปฏิวัติอาวุโส บทเขียนที่เขียนขึ้นโดย ส.บุบผานุวงก็มี อาทิ ใต้ร่มทงของพัก, ลูกสาวของพัก, กองพันที่สอง, อยากข้าเพี่นโตตาย. บทเรื่องที่เขียนจาก “จ.เดือนสะหวัน” ก็มี เส้นทางแห่งชีวิต 3 เล่ม นอกนี้ก็มีบท เรื่องต่างๆที่ถูกนำลงพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ นอกจากสองท่านนี้ก็ท่านนักเขียนท่านอื่นๆเช่น “ดวงไช หลวงพาสี” เรื่อง สายเลือดเดียวกัน  เรื่อง ฟองเดือนเก้า ของ “ท่านคำมา พมกอง” และ พัดพากจากสี่พันดอน ของ “ป้าเวียงเฮือง”  นอกนี้ก็มีบทเขียนอื่นๆและนักเขียนปฏิวัติท่านอื่นๆ หลายท่านซึ่งผมไม่สามารถจำได้หมดบทเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมานั้น แสดงออกให้เราเห็นถึงแนวคิดปฏิวัติ สีสันตามรูปแบบปฏิวัติ หลักจรรยาบรรณของรูปปฏิวัติ ก้าวไปสู่แนวคิดที่สร้างสรรค์ในรูปแแบบปฏิวัติ เพราะทุกบทเรื่องที่เขียนล้วนสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า “มีเพียงการปฏิวัติเท่านั้น ที่สามารถนำความเป็นเจ้าของประเทศชาติมาสู่พี่น้องประชาชนชาวลาวทั้งประเทศได้” เมื่อเราอ่านวรรณคดีปฏิวัติแล้วทำให้เราสามารถมองเห็นเส้นขนานสองด้านอย่างแจ่มแจ้ง คือ ความก้าวหน้าศิวิไลซ์ของการปฏิวัติและความอยุติธรรมในสังคมเก่า แต่ในบทเรื่องปฏิวัติไม่ได้พูดถึงว่า การปฏิวัติมีอะไรบ้างที่ไม่ดีและในสังคมเก่ามีอะไรบ้างที่ดีเมื่อเราอ่านบทเรื่องปฏิวัติแล้ว เหมือนกับว่าเราสามารถมองเห็นความมีระเบียบของผู้คนจะเป็นใครก็ตามที่เดินตามเส้นทางปฏิวัติ มองเห็นความจงรักภักดีของคนที่มีต่อการปฏิวัติ ถือเอาการปฏิวัติเปรียบเสมอเหมือนชีวิตจิตใจ ถือการปฏิวัติเหมือนกับลมหายใจเข้าออกของตนนอกจากนั้น เมื่อเราอ่านแล้วทำให้เรามองเห็นว่า สภาพการดำรงชีวิตของผู้คนก่อนการปฏิวัติมีความเป็นอยู่ที่เลอะเทอะ สร้างสิ่งที่ไม่ดีงามขึ้นในสังคม อ่านแล้วทำให้เรามองเห็นภาพเหมือนกับว่า แผ่นดินลาวก่อนปฏิวัติถูกครอบงำด้วยซาตานอะไรประมาณนั้น อ่านแล้วเหมือนกับว่า ก่อนการปฏิวัติแผ่นดินลาวทุกหย่อมหญ้ามีแต่เปลวไฟลุกลามไปทั่ว ทำให้แผ่นดินกลายเป็นแผ่นดินเถื่อน ในแผ่นดินเต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำตา รอการช่วยเหลือให้หลุดออกจากกงกรรมแห่งนรกอเวจีอย่างใดก็ดี ในบทต่อไปผมจะอนุญาตท่านผู้อ่าน เสนอเรื่องลาวต่างๆในบทวรรณคดีปฏิวัติเพื่อเป็นการแลกเปลียนทัศนะด้วยกัน.หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ “เวียงจันท์ใหม่” เมื่อปี ค.ศ.2005 แล้ว แต่จำเดือนไม่ได้ จึงขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย  
มาลำ
ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลาเข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ บอกเป็นเพราะอาการกระทบกระเทือนทางสมองนั่นเอง แล้วพ่อก็หลับมากขึ้น มีฉันนั่งมองหน้าพ่ออยู่ข้างเตียง มองแล้วคิดย้อนไปไกล ในคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง พ่ออุ้มน้องสาวคนเล็กของฉันไว้ในอ้อมแขน พี่สาวและฉันเดินอยู่ตรงกลาง รั้งท้ายเป็นแม่หอบข้าวของพะรุงพะรัง ในกลางดึกที่เราต่างเดินดุ่มออกมาจากบ้านของย่า  แสงจันทร์สีขาวนวลกระจ่างอยู่กลางฟ้า เราข้ามสะพานไม้ที่ข้ามคลองถึงสามสาย เดินผ่านทุ่งนากว้าง แม้จะรู้สึกกลัว แต่เมื่อเหลือบมองพ่อ ความกลัวก็หายไป พ่อเดินตัวตรงในความมืดสลัว   ไปให้ถึงบ้านของเราโดยไม่หวาดหวั่น ฉันจึงเดินตามพ่ออย่างมั่นใจ  ในใจฉันรู้ว่า พ่อจะอยู่เคียงข้างเราเสมอและไม่มีวันทิ้งพวกเราไป ก้มลงไปมองในน้ำบนสะพานไม้ ยังเห็นแสงจันทร์สวยกระจ่าง ในตอนนั้นฉันยังเล็กมากแต่แสงจันทร์สวยจับใจติดในความรู้สึกและจำได้ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ  ฉันมักจะนึกถึงดึกคืนนั้น คืนที่พวกเราเดินในความเงียบกลางคืนแล้วก็ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับมาทำงานแล้ว  แม้ในใจฉันอยากอยู่ใกล้พ่อ ดูแลพ่อจนกลับบ้าน แม้ว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันวนเวียนอยู่ข้างเตียงพ่อ โรงอาหารและบ้านพักน้องชายที่ชายทะเลในตอนกลางวัน  แม้จะมีหน้าตาเหมือนคนที่ง่วงนอนตลอดเวลา แต่สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดทำให้พ่อดูดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อคงจะได้ออกจากโรงพยาบาลในเร็ววัน  ถึงกระนั้นในใจฉันยังอดห่วงพ่อไม่ได้ เมื่อกำตั๋วรถไว้ในมือ หัวใจก็หนักอึ้ง อ่อนแอ คำพูดบอกลามารออยู่ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยปากเมื่อสบตาพ่อเหมือนพ่อรู้ พ่อมองหน้าฉัน ถามฉันว่า จะกลับวันนี้ใช่ไหมลูก กลับเถอะ พ่อจะทำอย่างที่ลูกบอกและไม่กี่วันพ่อคงกลับบ้านได้ แล้วเราคงไปพบกันที่บ้านนะลูกนะ  พ่อไม่เป็นไรแล้ว  พ่อจะต้องหายดีและอยู่กับลูกไปนานๆ ขอบใจลูกทุกคนที่ทำเพื่อพ่อ พ่อรู้ว่าเรารักกัน พ่อดีใจที่สุดแล้ว ฉันกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่พากันมาอัดแน่นที่หน้าอกลงไป  พยายามกระพริบตาไล่น้ำใสๆ ที่ออกมาบังสายตาไว้ พยักหน้าให้พ่อ บอกพ่อให้กินข้าวมากๆ กินยาและทำตามที่หมอบอกด้วย ถึงอย่างไรพ่อป่วยครั้งนี้ก็ยังมีข้อดีที่ทำให้เราได้พบกัน  แม้จะเป็นในโรงพยาบาลก็เถอะ แต่เรายังได้อยู่ใกล้กัน  ลูกทุกคนของพ่อก็มาอยู่รวมกัน และที่ดีที่สุดก็คือ ฉันได้ใช้วิชาที่พ่อส่งให้ฉันเรียนจนจบมาเพื่อพ่อ  ถือเป็นการคืนกำไรทบต้นในเงินลงทุนที่พ่อขาดทุนมาตลอดชีวิต  แล้วพ่อและฉันก็หัวเราะพร้อมกันเป็นครั้งแรกถึงตอนนี้ พ่อคงรู้แล้วว่าฉันทำอะไรบ้างในเวลากลางคืน  ฉันและพ่อเหมือนกันคือ เราต่างเดินไปในความมืด  ทำอะไรก็ไม่รู้ในสิ่งที่มองหาแทบไม่เห็น  แต่ผลของมันยิ่งใหญ่เหมือนแสงจันทร์ในคืนเดือนมืดของดึกคืนนั้นเหลือเกิน มันกระจ่าง สว่างพราวอยู่อย่างนั้น พ่อคงเข้าใจและมองเห็นภาพได้ชัดเจนเมื่อนึกถึง เหนืออื่นใด ฉันได้กอดพ่อ เราได้กอดกันในวันที่เรายังมีลมหายใจและยังไม่สายนะพ่อนะ ลูกคงต้องกลับไปทำหน้าที่ต่อ เรายังได้พบกันในวันหน้าที่บ้านของเรา เราต่างจะทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อกันและกันนะพ่อ ฉันบอกพ่อเมื่อก้มลงกราบ พ่อยิ้มให้ฉันและกอดฉันนิ่งนาน  แม้ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง  ฉันก็รู้ว่า พ่อคงกล้ำกลืนน้ำตาเหมือนฉัน  ฉันเดินไปลาพยาบาลที่เคาน์เตอร์และบอกฝากดูแลพ่อด้วย  ฉันจะรบกวนโทรมาถามอาการพ่อบ่อยๆ และขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้พ่อของฉันหายเร็วขึ้นเมื่อหิ้วกระเป๋าออกจากโรงพยาบาล  ฉันกลับไปอย่างมั่นใจ อย่างน้อยฉันรู้ว่าพ่อจะได้กลับบ้านแน่นอน และพ่อจะหายอย่างที่ฉันภาวนามาตลอดทางที่นั่งรถมาหาพ่อ  แม้ว่าพ่อจะต้องเลิกทำสิ่งที่พ่อรักและเคยทำมาชั่วชีวิตหลังการป่วยไข้ครั้งนี้ท้องทุ่งกว้างๆ คงเศร้า ป่ายางเป็นแถวท่ามกลางแสงจันทร์คงเงียบเหงาวังเวง และพากันแปลกใจว่าทำไมพ่อจึงหายไปจากที่ที่เขารักเหลือเกินได้  แม้มันจะเข้าใจสัจธรรมและเหมือนล่วงรู้การบอกลาเหมือนฤดูเปลี่ยนผ่าน เหมือนในใจฉัน  แต่มันคงเฝ้าคิดถึงพ่อไม่รู้คลาย คงเหมือนพ่อและฉันที่เป็นอย่างนั้นระหว่างนั่งรถกลับมาฉันครุ่นคิดถึงพ่อและวางแผนว่าจะกลับมาหาพ่อในช่วงไหนดีนั้น   ฉันคงไม่กลับไป หากฉันล่วงรู้ได้ว่า อีกเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ฉันจะได้กลับมาหาพ่อด้วยความกระวนกระวาย ห่วงพ่อมากกว่าเดิมหลายเท่านัก