Skip to main content

นายยืนยง 

  
นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์

ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง

มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น  ในชีวิตหนึ่งกับเป้าหมายของพัฒนาการทางสังคมประชาธิปไตย ฉันมีส่วนร่วมซึ่งเรียกว่าแทบไม่ได้ไปร่วมแรงร่วมใจอะไรเลย เป็นได้เท่านั้น

ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ ฉันอาจหันหลังให้ภาคการเมือง ทำหมันการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของตัวเอง ดำรงตนเหมือนคนที่ในอดีตฉันเคยดูแคลนว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัว ไม่สนใจสังคมการเมือง มองเห็นแต่เล็บตีนของตัวเอง เพราะฉันเริ่มเชื่อแล้วละว่า การเมืองต้องแก้ไขด้วยกระบวนการทางการเมือง การลุกขึ้นมาเดินขบวนเรียกร้องความไม่เป็นธรรมนั้น เป็นเพียงตัวกระตุ้นหนึ่งที่อาจมีค่าความสำคัญขึ้นมาก็ต่อเมื่อสำนักข่าวให้ความสนใจจะทำข่าว และฉันเชื่อแล้วว่า การเมืองไม่อาจเยียวยาโรคเรื้อรังที่ลุกลามเป็นปัญหาสังคมได้ ไม่เท่านั้น การเมืองยังทำลายภูมิคุ้มกันของคนในสังคมไปพร้อมกันด้วย

ที่สุดแล้วฉันเลิกเชื่อในสิ่งที่เป็นภาพแบบมหภาค เช่น พวกตัวเลขจีดีพี อัตราการว่างงาน เปอร์เซ็นต์การเติบโตทางธุรกิจ แม้นักวิชาการจะปรารภว่าปัญหาของประเทศเราเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างก็ตาม

ฉันกำลังให้ความสนใจในเรื่องที่เป็นจุลภาค สิ่งเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้มือเรา ไม่ต้องกระเสือกกระสนสร้างภาพให้ดูดีเมื่อมองผ่านกล้องโทรทัศน์ในมุมไกล แต่เราจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ด้วยตาของเราเอง

เช่นเดียวกับนิตยสาร ควน ป่า นา เล ที่ออกเป็นรายเดือนจากฝีมือกลุ่มศิลปะวรรณกรรมควน ป่า นา เล จังหวัดสงขลา ที่ให้ภาพพจน์สำคัญแก่วิถีชุมชน ภายใต้แนวคิด "โลกทัศน์ชาวบ้าน จิตวิญญาณชุมชน"  ที่ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาแบบจุลภาค ให้ความสำคัญกับสิ่งใกล้ตัว ที่เราผูกพันอยู่ทุกวี่วัน

ควน ป่า นา เล ฉบับที่ 4 นี้ ให้ชื่อว่า "เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์" โดยในบทบรรณาธิการ คุณวัฒนชัย มะโนมะยา

ได้เขียนให้เห็นภาพพจน์ของคำว่า วิถีของเมล็ดพันธุ์ ที่นอกจากมีการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์แล้ว ยังมีอุปสรรคของการหยั่งรากลงดิน ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องอยู่กับ วิถีชีวิตตามหลักธรรมชาตินิยม

เขาเขียนไว้ว่า
ผมอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างเติบโตตามธรรมชาติ ออกดอกออกผลตามฤดูกาล และแผ่ขยายพันธุ์ออกไปอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยมีเงื้อมมือมนุษย์เข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตมันให้น้อยที่สุด

ขณะเดียวกัน บทความที่เผยแพร่อยู่ในควน ป่า นา เล เล่มนี้ ส่วนใหญ่ยังแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เติบโต แตกหน่อ ผลิใบ หรือแม้แต่กำลังร่วงโรยอยู่ในผืนดินแห่งศตวรรษที่ 21 โดยพยายามให้ความสำคัญของรากเหง้าที่เคยแข็งแกร่งในอดีต และกำลังกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งในปัจจุบัน เห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของ อิหม่ามรอหีม สะอุ บุรุษผู้ฟังเสียงปลา หรือ ตังเกหูเรดาร์ ผู้เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลึกในผืนดิน เติบโตให้ร่มเงา ดอกผลแก่ผืนดินนั้น

อิหม่ามรอหีม สะอุ เรียนรู้การฟังเสียงปลาในทะเล อันเป็นวิถีชีวิตของชาวประมงมาแต่ครั้งบรรพชน กระทั่งทุกวันนี้ อุปกรณ์หาเลี้ยงชีพของชาวประมงได้พัฒนามาถึงขั้นกวาดล้างทรัพยากรธรรมชาติให้เหี้ยนเตียนไปหมดในคราวเดียวได้ ก็ถึงคราวที่คนในชุมชนจะได้ตระหนักว่า วิถีชีวิตแบบไหนที่ยั่งยืน อย่างไหนเป็นเพียงกระแส โดยอิหม่ามรอหีมได้ยกเอาพระราชดำรัสในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นที่ตั้ง

วิถีพอเพียงนั้นแท้จริงแล้วได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่อยู่อาศัยแบบเกื้อกูลธรรมชาติ เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในกระแสพัฒนาเศรษฐกิจ วิถีชีวิตดั้งเดิมก็ถูกทำลายลง ทั้งคนและธรรมชาติแวดล้อม

การที่จะหวนคืนกลับมาใช้ชีวิตในวิถีดั้งเดิมได้อีกครั้งนั้น จะเริ่มต้นจากจุดไหน หากพึ่งโครงสร้างทางสังคม ซึ่งมีภาคการเมืองแบบองค์รวม ต้องใช้เวลากี่สิบปี ดังนั้นการเริ่มต้นจากจุดเล็กสุดก็ต้องเริ่มด้วยมือเราเอง กล่าวได้ว่า วิธีการแก้ปัญหาที่จะเป็นมรรคผลทั้งต่อตัวเองและสังคมนั้น ต้องเริ่มจากตัวเราเสียก่อน

ยกตัวอย่าง อิหม่านรอหีมที่ปลุกผักปลอดสารพิษไว้กินเอง และขายให้กับโรงพยาบาลหาดใหญ่

สร้างเครือข่ายร่วมกับคนในชุมชน ให้หวนกลับมาดำรงชีวิตด้วยวิถีดั้งเดิม เกื้อกูลธรรมชาติ ถือเป็นกระบวนการเยียวยารักษาโรคเทคโนโลยีเป็นพิษด้วยต้วเอง ไม่ต้องพึ่งนโยบายของรัฐบาล ชุมชนก็สามารถยืนหยัดขึ้นได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ ในควน ป่า นา เล ยังมีบทความน่าสนใจที่เป็นประโยชน์ ให้แง่คิด เกร็ดความรู้ ทั้งในแง่กฎหมายที่ควรรู้ มีภาษาท้องถิ่นแนะนำ รวมทั้งให้น้ำหนักกับงานวรรณกรรม เรื่องสั้น บทกวีอยู่พอสมควร หากแต่ละชุมชนจะมีนิตยสารหรือมีสื่อเป็นของตัวเองเช่นนี้ ถือเป็นพัฒนาการที่ดีงามของสังคมไม่น้อยไปกว่ามีเงินกองทุนหมู่บ้าน หรือโครงการประชานิยมทั้งหลายแหล่

แม้มีการกล่าวถึงหรือนำเสนอวิถีชีวิตเช่นเดียวกันนี้ในหลายสื่อ มีความพยายามสร้างภาพให้เป็นกระแสหลักอยู่พอสมควร แต่ภาพที่ผ่านกระบวนการตัดต่อโดยองค์กรสื่อจะถือเป็นภาพที่ซื่อสัตย์ได้กี่มากน้อย อย่างมากฉันเห็นเป็นแค่การนำเที่ยวชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นเอง นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างสื่อกระแสหลักกับสื่อของชุมชนเอง อย่างนิตยสารควน ป่า นา เล ที่เป็นนิตยสารระดับตำบล สร้างสรรค์โดยคนในพื้นที่ที่รู้เห็น เกี่ยวเนื่องผูกพันอยู่จริง ตามที่เขาโปรยหัวนิตยสารไว้ว่า นิตยสารระดับตำบล สำหรับคนทั่วประเทศ

หากถามว่า ตำแหน่งแห่งที่ของชุมชนหรือจุลภาคนั้น เป็นส่วนหนึ่งของประเทศของมหภาคไม่ใช่หรือ ก็แน่นอนว่าใช่ แต่การร่วมมือลงแรงของคนในพื้นที่ด้วยแรงบันดาลใจส่วนตัวย่อมมีพลังอยู่ในตัวเอง

ฉันเห็นว่าสื่อประเภทนี้มีความมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว อันนี้ไม่ได้หมายความว่า นิตยสารจะขายดิบดีหรือมีผลกำไรให้สานต่อเป็นรูปเล่มหนังสือ หากแต่ยั่งยืนในแง่ของการพัฒนาสังคม และสร้างสรรค์ให้เกิดคุณภาพชีวิตที่แผ่ขยายออกไปสู่คนรุ่นต่อไปได้ ด้วยแนวคิดหรือด้วยการประสานงานระหว่างคนในชุมชนเอง โดยไม่ต้องรอคอย ฝากความหวังไว้ที่รัฐบาล หรือหน่วยงานราชการแต่อย่างใด

ฉันเชื่อว่าถ้าชุมชนเข้มแข็ง ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง สักวันหนึ่ง คำโฆษณาชวนเชื่อของนักการเมืองจะกลายเป็นแค่ขี้ปากของคนใส่สูทกระจอก ๆ ที่ชวนอ้วก สักวัน เราจะไม่ต้องยืนทำท่าสงบเสงี่ยมเจียมตัว มือกุมเป้ากางเกง อ้อนวอนนักการเมืองขอถนน ขอเงินกองทุนหมู่บ้าน ฉันว่าตอนนั้น คำว่า ประชาธิปไตยคงไม่มีใครพูดถึงให้เปลืองน้ำลาย

ดังนั้นจึงน่าสนับสนุน หากความเข้มแข็งจะดำรงอยู่ในป้จเจกชนคนธรรมดา ในเครือข่ายที่ก่อกำเนิดขึ้นด้วยลำแข้งของตัวเอง

นิตยสาร ควน ป่า นา เล ของชุมชน จึงเป็นพื้นที่เผยแพร่ความเข้มแข็งที่ยั่งยืนให้แก่คนในชุมชนได้มากกว่าที่จะให้เรื่องราวเหล่านี้ไปปรากฏเป็นตัวประกอบให้กับสถานีข่าวกระแสหลัก เพราะแม้แต่สถานีทีวีไทยที่ดำรงนโยบายงี่เง่าแห่งชาติอย่างเหนียวแน่น ก็ทำข่าวชุมชนด้วยอาการดัดจริต ไม่ทราบจะมัวกระดืบคืบคลานเกาะชายกระโปรงรัฐบาลอภิสิทธิ์ไปเพื่ออะไร ไม่เชื่อถามใครที่ดู ทีวีไทย ก็ได้

พอจะมีพิธีทำหน้าที่ได้น่าชื่นใจสักคนหนึ่งก็มันอันต้องดับไปอีก เพราะหล่อนสวมเสื้อตัวในสีแดงทำหน้าที่พิธีกร ไม่ทราบตอนนี้หล่อนระเห็จหายไปจากหน้าที่พิธีกรไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานพูดผิด ๆ ถูก ๆ ทุก 5 นาที ออกมาเริงร่าแทน เวลาสัมภาษณ์ก็สวมวิญญาณนักศึกษาจดแล็คเชอร์ พยักหน้าค่ะ ๆ อยู่นั่นเอง

แน่นอน เรายังมีสื่อทางเลือกให้สรรหามาเสพตามอัตภาพ แต่สังคมไทย ยังขาดสื่อหลักของชุมชนอันจะเป็นปากเป็นเสียงของคนในชุมชนเอง เพราะขนาดไฟไหม้อยู่หน้าปากซอย เรายังเห็นภาพควันไฟโขมงโฉงเฉงอยู่หน้าจอทีวีก่อนเปิดหน้าต่างมองภาพด้วยตาของตัวเองด้วยซ้ำ นี่ยังไม่เกี่ยวกับ "ความน่าเชื่อถือ" ของสื่ออีกต่างหาก

ดูไปแล้ว กระแสความรับรู้ที่มีต่อสื่อนั้น เราได้ฝากความหวังไว้ที่ "คนอื่น" ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเรา และเรามักยอมรับสื่อที่ถูก "ปรุงแต่ง" มาให้พร้อมสรรพ พร้อมบริโภคเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มากกว่าเงยหน้าขึ้นมองด้วยตาของตัวเอง ยิ่งถูกสื่อต่าง ๆ ป้อนมาให้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผู้บริโภคอย่างเราแม้อิ่มตื้อแค่ไหนก็ต้องกล้ำกลืนกินเข้าไป เพื่อให้ได้ปริมาณและมีความรอบคอบ หลากหลาย โดยเฉพาะเพื่อแสวงหา "ความเป็นกลาง" หรือ "ความเที่ยงธรรม"

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มีสื่อใด ๆ จะเป็นกลางสมบูรณ์แบบ ที่เมื่อบริโภคแล้วทำให้รู้รอบ รู้ลึก ดังนั้น เพื่อบรรลุถึงอุดมการณ์ของผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร เราต้องเสพข่าวอย่างหลากหลาย คัดสรรกลั่นกรอง ให้ได้มาซึ่ง "เนื้อหา" ที่เที่ยงธรรมที่สุด แต่ขอโทษที ฉันเหนื่อยปางตาย แทบสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะเมื่อต้องอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน วันละสี่ฉบับ ต้องอ่านนิตยสารรายสัปดาห์ รายเดือน ต้องติดตามดูข่าวต้นชั่วโมง ต้องจ้องหน้าจอเว็บไซต์ ดูคลิปนักการเมืองให้สัมภาษณ์ อ่านข่าวที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในสื่อกระแส วันละสองชั่วโมง

และวันนี้ฉันขอหยุดตัวเองไว้แค่นี้ ปิดหน้าจอ ขี่มอเตอร์ไซด์ พาลูกชายนั่งหน้า ไปตระเวนดูตามศาลากลางจังหวัดที่เมื่อเช้าเห็นแว้บ ๆ มีทหารรักษาความปลอดภัยตั้งซุ้มมือปืน เอ้ย ไม่ใช่ ซุ้มรักษาความปลอดภัยเต็มพรืด ไปนั่งสูบมวนนิโคตินรับลมดูมวลชนเสื้อแดงแถวนั้น ให้เสียงจากลำโพงแหบ ๆ วิ่งผ่าโสตประสาท ถือเป็นการล้างหูไปในตัว เผลอ ๆ อาจต้องวิ่งไปหากระดาษแผ่นใหญ่ เขียนตัวอักษรร่วมสดุดีให้ได้อารมณ์

อำมาตยาธิปไตยจงเจริญ ทุนนิยมสามานย์จงเจริญ สาธุ!.

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ถ้าเปรียบสวนหนังสือเหมือนผืนดินแห่งหนึ่งแล้วล่ะก็ ผู้เขียนเองก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ จากการอ่านผลงานทางวรรณกรรมของบรรดานักประพันธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะรูปแบบเรื่องสั้น นวนิยาย หรือกระทั่งกวีนิพนธ์บางเล่ม ข้อเขียนที่มีต่อหนังสือบางเล่มหรือเรื่องบางเรื่อง อาจแบ่งเป็นผลรับตามสูตรคณิตศาสตร์ได้ไม่ชัดเจน ใช้หลักต้องใจต้องอารมณ์และความนึกหวังเป็นหลักก็ว่าได้
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก ผู้เขียน : กลุ่มจิตวิวัฒน์ ประเภท : ความเรียง พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน  
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ           :           ชะบน ผู้เขียน               :           ธีระยุทธ  ดาวจันทึก ประเภท              :           นวนิยาย   พิมพ์ครั้งที่ 1 เมษายน 2537 จัดพิมพ์โดย        :    …
สวนหนังสือ
นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มนุษย์หมาป่า ผู้แต่ง : เจน ไรซ์ ผู้แปล : แดนอรัญ แสงทอง จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์หนึ่ง พิมพ์ครั้งแรก : สิงหาคม 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : บันทึกนกไขลาน (The Wind-up Bird Chronicle) ผู้เขียน : ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) ผู้แปล : นพดล เวชสวัสดิ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน   “หนูอยาก...อยากจะได้มีดผ่าตัดสักเล่ม หนูจะกรีดผ่า ชะโงกหน้าเข้าไปมองข้างใน ไม่ใช่ผ่าศพคนนะ... แค่ก้อนเนื้อแห่งความตาย หนูแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ก้อนกลมเหนียวหยุ่นเหมือนลูกซอฟต์บอล แก่นกลางแข็งเป็นเส้นประสาทพันขดแน่น หนูอยากหยิบออกมาจากร่างคนตาย เอาก้อนนั้นมาผ่าดู อยากรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่... (ภาคหนึ่ง, หน้า 36)
สวนหนังสือ
นายยืนยง  เมื่อวานนี้เอง ฉันเพิ่งถามตัวเองอย่างจริงจัง แบบไม่อิงค่านิยมใด ๆ ถามออกมาจากตัวของความรู้สึกอันแท้จริง ณ เวลานี้ว่า ทำไมฉันชอบอ่านวรรณกรรมมากที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหลาย คุณเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้หรือเปล่า
สวนหนังสือ
นายยืนยง ฉันวาดหวังสวยหรูไว้กับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงบนผืนดินห้าไร่เศษ ที่ดินผืนสวยซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยปัจจัยแห่งกสิกรรม มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีบ่อน้ำขนาดใหญ่สองบ่อ และกระท่อมน้อยบนเนินเตี้ย ๆ รายล้อมไปด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี แต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มายาแห่งหวังก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ฉันจำเก็บข่มความขมขื่นไว้กับชีวิตใหม่ ในที่พำนักใหม่ ซึ่งไม่ใช่ผืนดินแห่งนี้
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ  : ความมั่งคั่งปฏิวัติ Revolutionary Wealth ผู้เขียน  : Alvin Toffler, Heidi Toffler ผู้แปล  : สฤณี  อาชวานันทกุล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน   พิมพ์ครั้งที่ 2  มกราคม  2552
สวนหนังสือ
  และแล้วรางวัลซีไรต์ปี 2552 รอบของนวนิยายก็ประกาศผลแล้ว ปรากฏเป็นผลงานนวนิยายเรื่อง ลับแลแก่งคอย ของอุทิศ เหมะมูล โดยแพรวสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์ (ประกาศผลเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา)ใครเชียร์เล่มนี้ก็ได้ไชโยกัน ฉันเองก็มีเล่มนี้เป็นหนึ่งในหลายเล่มด้วย รู้สึกสะใจลึก ๆ ที่อุทิศได้ซีไรต์ เนื่องจากเคยเชื่อว่า งานดี ๆ อย่างที่ใจเราคิดมักพลาดซีไรต์เป็นเนืองนิตย์ ผิดกับคราวนี้ที่งานดี ๆ ของนักเขียน "อย่างอุทิศ" ได้รางวัล
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ           :           นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย ผู้แต่ง                 :           วิสุทธิ์ ขาวเนียม ประเภท              :           กวีนิพนธ์รางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 10 จัดพิมพ์โดย        : …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ลับแล, แก่งคอยผู้แต่ง : อุทิศ เหมะมูลประเภท : นวนิยายจัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก 2552
สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประเทศใต้ผู้เขียน : ชาคริต โภชะเรืองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ก๊วนปาร์ตี้ ข้อเด่นอย่างแรกที่เห็นได้ชัดจากนวนิยายเรื่องประเทศใต้ หนึ่งในผลงานที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปีนี้ คือ วิธีการดำเนินเรื่องที่กระโดดข้าม สลับกลับไปมา อย่างไม่อาจระบุว่าใช้รูปแบบความสัมพันธ์ใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หรืออย่างที่สกุล บุณยทัต เรียกในบทวิจารณ์ว่า "ไร้ระเบียบ" แต่อย่าลืมว่านวนิยายเรื่องนี้ได้เริ่มต้นที่ "ชื่อ" ของนวนิยาย ซึ่งในบทนำได้บอกไว้ว่า "ผม" ได้รับต้นฉบับนวนิยายเรื่องหนึ่งจาก "เขา" ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน มันมีชื่อเรื่องว่า…