Skip to main content

นายยืนยง


บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง
กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์


กวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิต ถูกทำให้สาธารณชนจดจำได้เป็นภาพชัดเจนทั้งตัวกวีและผลงาน เพราะส่วนหนึ่งเนื่องมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการทางประวัติศาสตร์การเมืองในพ.ศ.2516 , พ.ศ. 2519 และ พ.ศ.2535 และสถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างให้สาธารณชนรู้จักกวีในภาพของ กลุ่มคนที่ยึดมั่นในอุดมคติซึ่งกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ในยุคนั้นได้สร้างกระแสความคิด สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับสาธารณชน ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปลุกกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์การเมือง

จะเห็นได้ว่า ทั้งตัวกวีและผลงานต่างก็ถูกจดจำในภาพของ
กลุ่มคนที่ยึดมั่นในอุดมคติ และ กวีนิพนธ์ในอุดมคติ ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตัวกวีและผลงานต่างถูกมองเป็นสัญลักษณ์ในทางเดียวกัน ซึ่งมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้สาธารณชนถือว่า ตัวกวีและผลงานเป็นกลุ่มคนที่มีอุดมคติซึ่งสร้างสรรค์ผลงานกวีนิพนธ์อันเปี่ยมด้วยอุดมคติ

ข้อเท็จจริงที่กวีสมมุติขึ้นในการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์


ในยุคเพื่อชีวิต กวีนิพนธ์ที่อยู่ในกระแสส่วนใหญ่เป็นกวีนิพนธ์ที่มองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริง ตามสถานการณ์จริงที่กำลังดำเนินอยู่ บริบทอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือกวีนิพนธ์จึงถูกอ่านไปพร้อมกับกวีนิพนธ์ด้วย ทำให้สาธารณชนไม่รีรอที่จะสรุปว่า ตัวกวีกับผลงานไม่อาจแยกแยะออกจากกันได้ ยกเว้นบางกรณีเท่านั้น 


ดังนั้นเราจึงได้เห็นว่า บางครั้ง บทกวีการเมืองที่เราไปรู้มาว่ากวีตั้งใจเขียนเพื่อส่งเสริมอุดมการณ์ทางเมืองที่เขาศรัทธา จะเป็นบทกวีที่ดีขึ้นมาได้

ปัจจุบันนักวิจารณ์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ผู้เล่า ในวรรณกรรมนั้นไม่อาจที่จะถือว่าเป็นคนเดียวกับผู้แต่งจริง กวีคือคน ๆ หนึ่งที่สื่อสารกับหลายคน แต่สื่อสารโดยใช้เรื่องสมมุติ บทกวีประเภทลำนำทั้งหลายเขียนเป็นบทรำพึงความในใจทั้ง ๆ ที่ต้องการให้คนจำนวนมากรับรู้ เราสงวนคำว่า ผู้เล่า นี้ไว้ใช้ในกรณีที่เห็นชัดว่าผู้เล่าไม่ใช่คนเดียวกับผู้แต่ง (จากย่อหน้าที่ขีดเส้นใต้ คัดลอกมาจากหนังสือ ว่าด้วยหลักวรรณคดีวิจารณ์ แปลจาก An Essay on Criticism by Graham Hough,1973 แปลโดย นฤมล กาญจนทัต และ อุบลวรรณ โชติวิสิทธิ์)

จากย่อหน้าข้างต้น จะเห็นได้ว่า กวีมองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อสร้างสรรค์บทกวีขึ้นมา แต่จะเป็นไปได้หรือที่กวีจะมองเห็นข้อเท็จจริงในทุกด้านทุกแง่มุมตามข้อเท็จจริงที่กำลังดำเนินอยู่ ฉะนั้นกวีนินพนธ์ในยุคนี้แม้จะถูกขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นจริง แต่กวีนิพนธ์ย่อมตกอยู่ในขอบเขตของ
เรื่องสมมุติ อยู่นั่นเอง ทั้งนี้ เรื่องสมมุติ ดังกล่าวที่กวีสร้างสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์จริงหรือจากโอกาสของตนเองนั้น ก็หาใช่ชีวประวัติของกวีเองทั้งหมด

จึงกล่าวได้ว่า การอ่านกวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิต เราจะต้องสงวนบูรณภาพของบทกวีเพื่อไม่ให้บทกวีกลายเป็นชีวประวัติของกวี แต่การอ่านกวีนิพนธ์โดยไม่คำนึงถึงกวีเลยก็ไม่อาจเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน 


และอาจกล่าวได้อีกว่า สถานการณ์ทางการเมืองในยุคที่ผ่านมา ไม่อาจสร้างวีรบุรุษกวีหรือวีรสตรีกวีได้ นอกเสียจากมันได้สร้างอุดมคติของกวีนิพนธ์ไว้ให้กวีรุ่นหลังต่อมา


ดังนั้นความรู้สึกที่จะเรียกร้องให้บรรดากวีเดือนตุลาในอดีตทั้งหลาย ก้าวออกมามีส่วนร่วมในขบวนการทางเมืองของวันนี้ จึงเป็นการกระทำที่ไร้วุฒิภาวะ


อุดมคติอันเป็นมรดกตกทอด


ในยุคเพื่อชีวิต เป็นยุคที่กวีนิพนธ์มองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อแสดงศีลธรรมชุดหนึ่งในปรากฎขึ้น ในการที่จะสร้างสรรค์สังคมอุดมคติ กลวิธีนี้ถูกเรียกว่า สัจจะนิยมหรืออัตนิยม


สังคมในอุดมคติดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในความรู้สึกของผู้อ่านผ่านวรรณกรรมหลายประเภท ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย รวมทั้งกวีนิพนธ์ด้วย เนื่องจากวรรณกรรมเหล่านั้นได้แสดงถึงศีลธรรมชุดดังกล่าว


ขณะเดียวกัน มันก็ได้ส่งทอดอุดมคติมาสู่วรรณกรรมด้วย กล่าวคือ วรรณกรรมจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันกล่าวถึงอุดมคติ


เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการอ่านกวีนิพนธ์ให้กับสาธารณชน เช่น กวีนิพนธ์ที่แสดงออกถึงความคิดทางการเมืองในการจะล้มล้างรัฐทหารนั้นมีคุณค่าควรแก่การอ่านมากกว่า กวีนิพนธ์ที่แสดงออกถึงพลังของประชาชนนั้นมีคุณค่าแก่การอ่านมากกว่าเนื่องจากมันได้สร้างพื้นที่ของประชาธิปไตยลงในประชาชน และเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อุดมคติดังกล่าวได้แปรสภาพเป็นอุดมคติของชนชั้นกลางไปด้วย


อาจกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ยุคเพื่อชีวิตได้สถาปนาศีลธรรมชุดหนึ่งให้กับกวีนิพนธ์ คือ กวีนิพนธ์ที่แท้นั้นต้องแสดงออกถึงทัศนะทางการสังคมการเมืองในอุดมคติ หรือชี้ให้เห็นหนทางของชีวิตที่ดีงาม หรือชีวิตจะดีได้สังคมต้องดีควบคู่กันไปด้วย เท่ากับว่าอุดมคติดังกล่าวได้สร้างเส้นแบ่งระหว่างกวีนิพนธ์ที่ทรงคุณค่ากับกวีนิพนธ์ที่ไร้คุณค่าออกจากกัน


และศีลธรรมชุดนี้ก็เป็นมรดกตกทอดอันหนึ่งของสังคมกวีนิพนธ์ในยุคต่อมา


ท่าทีต่อต้านที่เป็นมรดกอีกกองหนึ่ง


ในยุคหลังเพื่อชีวิตมาแล้ว นอกจากกวีนิพนธ์จะมีเนื้อหาในทางสังคมการเมืองแล้ว เราจะเห็นว่ากวีนิพนธ์ในยุคดังกล่าวได้แสดงบทบาทการวิพากษ์วิจารณ์ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในสังคมด้วยท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น ศัตรูของประชาชนคือเผด็จการทหาร รวมไปถึงการต่อต้านลัทธิบริโภคนิยม และจักรวรรดิอเมริกา ทำให้กวีนิพนธ์ในยุคนี้ต่างตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาติตะวันตกอย่างอเมริกา 


มีบทกวีที่วิพากษ์วิจารณ์ และมีปฏิกิริยาต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิบริโภคนิยม อเมริกา รวมถึงสัญลักษณ์ของการล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่ ที่แผ่ขยายอิทธิพลมาทางกระแสวัฒนธรรม


อุดมคติของกวีนิพนธ์อันเป็นมรดกตกทอดจากยุคเพื่อชีวิต ที่มีศัตรูเป็นเผด็จการหรืออำนาจปกครองจึงได้แปรสภาพมาเป็นลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งตอนนั้นค่านิยมของชนชั้นกลางที่ยึดถืออุดมคติของกวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิตได้หันมาต้อนรับโลกเสรีนิยมแบบอเมริกากันอย่างแพร่หลาย กวีนิพนธ์ที่มีเนื้อหาต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมจึงไม่ได้ทำหน้าที่สร้างอุดมคติใหม่สนองชนชั้นกลางอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่ต่อต้านสิ่งที่ชนชั้นกลางแสวงหา


เช่นนี้เท่ากับว่า อุดมคติของกวีนิพนธ์ยุคเพื่อชีวิตที่เทศนาให้ชนชั้นกลางมุ่งสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น มุ่งไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า และมีความเป็นเสรีประชาธิปไตยมากขึ้น กลับมาขัดแย้งกับอุดมคติของกวีนิพนธ์ในยุคหลังเพื่อชีวิต ที่วิพากษ์วิจารณ์ค่านิยมของชนชั้นกลางซึ่งดำเนินชีวิตตามเงื่อนไขของอุดมคติในยุคเพื่อชีวิตอย่างว่านอนสอนง่าย

ท่าทีต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมของกวีนิพนธ์ในยุคหลังนี้ มักถูกสร้างขึ้นด้วยมุมมองแบบข้อเท็จจริงผสมผสานกับการใช้ อำนาจพิเศษบางอย่าง ที่เสมือนหนึ่งว่ามันดำรงอยู่ในตัวตนของกวีมาช้านาน ตรงนี้น่าสังเกตว่า นอกจากกวีจะถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษกวีหรือวีรสตรีกวีอย่างหลงงมงายจากสาธารณชนแล้ว กวียังถูกยกย่องให้เป็นชนชั้นพิเศษแบบหนึ่ง ที่ไม่เพียงมี ปมพลังอิสระ (autonomous complex) อย่างที่ยุง (Jung) อธิบายไว้ แต่กวียังมีญาณทัศน์ที่พิเศษว่า ยังมีการกล่าวอย่างกว้างขวางด้วยว่า กวีมีนัยน์ตาพิเศษ อีกด้วย ดังนั้นแล้วกวีนิพนธ์ในยุคนี้จึงแสดงออกอย่างชัดเจนในการที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือทำนายทายทักเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริโภคนิยมอันชั่วร้ายนั้นจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาได้ชี้ถูกชี้ผิด แม้กระทั่งพิพากษาชะตากรรมของลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งกวีมองว่าชนชั้นกลางกำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิดังกล่าว

กวีนิพนธ์ในยุคนี้อาจถูกมองอย่างหมางเมินจากชนชั้นกลางไประยะหนึ่ง แต่เมื่อญาณทัศน์ของกวีที่มองเห็นผลร้ายของปีศาจบริโภคนิยม เริ่มปรากฎเป็นขึ้นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวง ซึ่งก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำอีกว่า กวีเป็นชนชั้นพิเศษอยู่ไม่เปลี่ยนนั่นเอง ชนชั้นกลางที่หมางเมินกวีนิพนธ์ก่อนหน้านี้น่าจะกลับมาสนใจกวีนิพนธ์อย่างว่านอนสอนง่ายเหมือนในอดีต ซึ่งชนชั้นกลางก็ยังเป็นกลุ่มคนที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม แต่พวกเขาย่อมไม่อาจแสร้งตาบอดได้ เมื่อชนบทในฝันได้เปลี่ยนไปแล้ว


เนื่องจากกวีนิพนธ์ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้าน รวมถึงพิพากษา โดยพยายามโน้มน้าวผู้อ่านให้คล้อยตามอุดมคติของกวีนิพนธ์ แต่กวีคงหลงคิดไปว่า การมองโลกด้วยมุมมองแบบข้อเท็จจริงที่นำมาสร้างสรรค์เป็น
เรื่องสมุมติเพื่อเทศนาให้สาธารณชนคล้อยตาม และนำมาใช้จริงในชีวิตนั้น เป็นการกระทำที่เลินเล่ออย่างยิ่ง และงมงายอย่างยิ่ง

เพราะขณะที่กวีโน้มน้าวชนชั้นกลางในเมืองกรุงให้หันกลับมาใช้ชีวิตแบบธรรมชาตินิยม ให้โหยหาและกลับมาสู่ชีวิตแบบเงียบสงบในชนบท ผ่านกระบวนการสร้างภาพพจน์ของชนบทที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ต่าง ๆ นานาในกวีนิพนธ์นั้น กวีคงมองโลกชนบทผ่านญาณทัศน์ที่ผิดพลาดว่า ขณะเมืองกรุงคลั่งลัทธิบริโภคนิยม ชนบทจะยังงดงามผุดผาดดั่งในอดีตอันแสนหวาน

เมื่อกวีนิพนธ์ไร้ทางออก หนทางใหม่คือ เดินทางเข้าสู่ข้างใน


หลังจากยุคที่กวีนิพนธ์ต่างมุ่งเน้นในการต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมแล้วแต่ประสบปัญหาคือ ไร้ทางออก 
แต่พื้นที่สร้างสรรค์กวีนิพนธ์หาได้แช่ค้างไว้ เราจะเห็นว่ามีกวีนิพนธ์ที่ได้กล่าวถึงและแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ซึ่งก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ยังคงดำรงไว้ซึ่งอุดมคติ ในการที่จะแสดงออกถึงความดีงามสูงส่งเหมือนในยุคก่อน ๆ

สังเกตว่า กวีนิพนธ์ในยุคนี้ได้แตกย่อยออกมาอย่างหลากหลายมากขึ้น มีทั้งแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวแสวงหาความสุขทางจิตวิญญาณ รวมถึงแนวธรรมะ และน่าสนใจตรงนี้ว่า เนื้อหาของกวีนิพนธ์ในแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ต่างก็เป็น
สาร ที่มีคุณค่าอันดีงามอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว กล่าวคือ แนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นแนวคิดที่ดีอยู่ในตัวเอง หากไม่มีการเขียนบทกวีกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์ ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีแนวคิดเช่นนี้อยู่ มีการดำเนินการที่เป็นกระบวนการอยู่แล้ว หากไม่มีบทกวีที่แสดงออกถึงแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ก็ดำเนินอยู่ได้ รวมไปถึงแนวธรรมะ หรือข้อคิดปรัชญา ซึ่งล้วนดำรงอยู่ได้โดยปราศจากวีนิพนธ์

การที่กวีนิพนธ์ไปจับ
สาร เหล่านั้นมาแสดงออกนั้น จะถือเป็นการกระทำตามความเคยชิน หรือเป็นท่าทีของกวีในอุดมคติที่จำเป็นต้อง สร้างสรรค์กวีนิพนธ์เพื่อแสดงออกถึงความดีงามสูงส่ง ถ้ากล่าวเช่นนี้ จะถือเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของกวีนิพนธ์ได้หรือไม่

สรุป


จะเห็นได้ว่า ในยุคเพื่อชีวิตและหลังเพื่อชีวิตมานั้น กวีนิพนธ์ถูกเขียนขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความดีงามสูงส่งเป็นสำคัญ ดังนั้น กวีจึงมีความสัมพันธ์กับอุดมคติทางกวีนิพนธ์อย่างคล้อยตาม และยึดมั่นในอุดมคติเสมอมาไม่เปลี่ยน


แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปในบทความตอนต่อไป จะเป็นการให้น้ำหนักความสัมพันธ์ระหว่างตัวกวีกับผลงานกวีนิพนธ์ ว่าทั้งสองส่วนนี้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หรือเป็นไปในทางตรงกันข้าม และส่งผลต่อการอ่านกวีนิพนธ์ของสาธารณชนอย่างไร โดยจะมุ่งเน้นไปถึงกวีที่นำมาหลักพุทธธรรมที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว มาแสดงออกผ่านกวีนิพนธ์ของเขา.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 ‘ นายยืนยง ’ ชื่อหนังสือประเภทจัดพิมพ์โดยพิมพ์ครั้งที่ ๑ผู้เขียน ผู้แปล  : ::::::เดวิด หนีสุดชีวิต   ( I am David )วรรณกรรมแปล   /  นวนิยายเดนมาร์ก สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์ทีนกันยายน   พ.ศ.๒๕๔๙Anne Holmอัจฉรัตน์  ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตของโลกในสภาวะต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจและธรรมชาติ มนุษยชาติต่างผ่านพ้นมาแล้วซึ่งวิกฤตนานัปการ แม้แต่ในนามของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ผงฝุ่นแห่งความทรงจำเลวร้ายทั้งมวล เหมือนได้ล่องลอยไปตกตะกอนอยู่ภายในใจผู้คน ครอบคลุมแทบทุกแนวเส้นละติจูด แม้นเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงไร แต่ตะกอนนั้นกลับยังคงอยู่ โดยเฉพาะในงานวรรณกรรม เดวิด…
สวนหนังสือ
โดย ‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ      :    ภาพเหมือน  ( The Portrait ) ประเภท    :        วรรณกรรมแปล จัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์ คมบาง พิมพ์ครั้งที่ ๑    :    ตุลาคม ๒๕๔๔ ผู้เขียน        :    นิโคไล  โกโกล ผู้แปล        :    ดลสิทธิ์  บางคมบาง    จากต้นฉบับภาษาอังกฤษของ  CHRISTOPHER  ENGLISH …
สวนหนังสือ
โดย ‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ :    ไตร่ตรองมองหลักประเภท :                บทความพุทธปรัชญา     จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์ศยามพิมพ์ครั้งที่ ๒ :    กันยายน  พ.ศ. ๒๕๔๓  :  แก้ไขปรับปรุงผู้เขียน :    เขมานันทะบรรณาธิการ :    นิพัทธ์พร  เพ็งแก้ว ในกระแสนิยมปัจจุบัน  แม้พุทธศาสนาจะอยู่ในรูปสภาพที่เป็นกิจการค้าความเชื่อมากมายเพียงไร  และคงไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะมีตรายี่ห้อใดบ้าง …
สวนหนังสือ
โดย นายยืนยงเรื่อง สายรุ้ง รุ่งเยือน    สำนักพิมพ์  เคล็ดไทยผู้แต่ง ณรงค์ยุทธ  โคตรคำ ประเภท กวีนิพนธ์ฟ้าครึ้มอยู่อย่างนี้สักสองสามวันได้ เมฆขมุกขมัวเกาะกันเคว้งคว้าง พากันลอยล่องไปตามแรงลม   …ลมเย็นต้องผิวเนื้อสัมผัส รู้สึกได้ถึงลมหนาวอันสะท้านใจ  โอหนอ... ลมหนาวแรกของปลายมิถุนายน  โอหนอ... กวีนิพนธ์ถ้าเอ่ยชื่อ ณรงค์ยุทธ โคตรคำ กับลมหนาวแสนประหลาดของเดือนมิถุนายน  ชื่อนี้คงไม่คุ้นหู ไม่ว่าในกลุ่มแขนงใด ๆ แต่การที่หนังสือกวีนิพนธ์ ชื่อ สายรุ้ง รุ่งเยือน มีประโยคเปิดหน้าปกว่า  รวมบทกวีคัดสรรเล่มแรกของ ณรงค์ยุทธ โคตรคำ นั้น …