Skip to main content

ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา


โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง โดยการส่งสัญญาณ “โด โซ โซ มี โด มี โซ” นั้น เป็นเสมือนการให้สัญญาณ คีย์หรือระดับเสียงของโน้ต ส่วนคำว่า “ready… sing” แปลว่า พร้อม..ร้อง แล้วนักร้องจะเริ่มร้องทันที


แต่สำหรับผู้นำปกาเกอะญอในโบสถ์ปกาเกอะญอนั้น นอกจากจะมี ready… sing แล้ว ยังมี “ซะหวิ” ซึ่งแปลว่าร้องอีกคำหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เองที่ผมไม่แน่ใจว่าเขาจำมาจากฝรั่งหรือว่าเขาเข้าใจอย่างไรไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าตัดคำว่า ready… sing ออก และใช้แต่ ซะหวิ คำเดียวก็น่าจะพอ หรือเขาอยากใช้ทั้งสองภาษาพร้อมกัน ทำให้ยังงงอยู่จนถึงวันนี้


นานวันยิ่งจะทำให้เพลงธา และดนตรีตามวัฒนธรรมปกาเกอะญอกลายเป็นเพียงส่วนเกินของความทรงจำในความรู้สึกของชุมชนปกาเกอะญอที่เป็นคริสเตียน ปกาเกอะญอคริสเตียนนะครับ ขอย้ำปกาเกอะญอคริสเตียน


คุณก็เป็นคริสเตียน” คนที่อยู่ข้างๆ แหย่ผม

ก็ใช่ผมเป็นคริสเตียน ผมถึงรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กับบทเพลง ธา และดนตรีตามวัฒนธรรมปกาเกอะญอในชุมชนปกาเกอะญอคริสเตียน” ผมตอบเขา


ในปีที่มีการประชุมสมัชชาคริสตจักรกะเหรี่ยงภาคมูเจะคี อันมีหมู่มวลสมาชิกที่เป็นคริสเตียนชาวปกาเกอะญอในอาณาบริเวณมูเจะคี หรือเขตละแวกขุนน้ำแม่แจ่มทั้งหมดมาร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยคริสตจักรกว่า14 คริสตจักร จาก 20 ชุมชน โดยธรรมเนียมแล้วในคืนแรกของการประชุม คริสตจักรเจ้าภาพต้องมีเพลงต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนจากคริสตจักรอื่น

 

เขาเป็น ครูดอยคนปกาเกอะญอ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นขุนเพลงคนหนึ่งแห่งมู่เจะคี จึงได้รับมอบหมายให้มารับหน้าที่ดังกล่าว พ่อนกรู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติเป็นอย่างมาก การเตรียมตัวจึงเริ่มขึ้น ผู้ที่มีฝีมือในการเล่นดนตรีพื้นบ้านปกาเกอะญอ ถูกเชื้อเชิญมาร่วมทำภารกิจนี้กันอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น บูหน่าคนเล่นซอแควะ พาแฮคนเป่าปี่เขาควาย ต่าเอาะคนตีกลองปกาเกอะญอ ทูนุคนเป่าใบไม้ป่า เกาะพอคนตีฆ้อง เลอโพคนตีเกราะ และร้องประสานเสียง และอีกหลายๆ คน โดยมีเขาเป็นผู้เล่นเตหน่ากู ควบคุมวงและร้องนำ


เมื่อค่ำคืนนั้นมาถึง ทุกคนจึงเฝ้ารอเพลงต้อนรับที่ประพันธ์ขึ้นโดยขุนเพลงแห่งมูเจะคีอย่างใจจดจ่อ เพราะถูกประชาสัมพันธ์ว่าเป็นจุดเด่นของพิธีเปิด

 

รายการต่อไป เป็นเพลงต้อนรับจากเจ้าภาพ” เสียงตบมือดังกึกก้องหลังจากการประกาศของผู้ดำเนินรายการ


วงดนตรีได้ขึ้นสู่เวทีด้วยการพกเอาเครื่องคนตรีชนเผ่าฉบับแท้ขึ้นไป นำมาซึ่งความคาดไม่ถึงของคนดูวันนั้นเป็นอย่างมาก เพราะปกติกิจกรรมของคริสต์ศาสนามักจะมีแต่ดนตรีตะวันตกเช่น กีตาร์ กลอง เบส แอคคอร์เดียน ฯลฯ เป็นส่วนใหญ่


คนที่คาดไม่ถึงมากที่สุดเห็นจะเป็นศาสนาจารย์ปกาเกอะญออาวุโสคนหนึ่ง ที่จ้องมองด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด ตรงกันข้ามกับชาวบ้านธรรมดาที่นั่งดู ฟังด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในท่าทางการเล่นดนตรีของนักดนตรีและลีลาสำนวนภาษารวมทั้งความหมายของบทเพลง


หลังจบเพลง เสียงตบมือดังขึ้นแสดงถึงความพอใจและประทับใจของผู้ที่นั่งชมนั่งฟังในวันนั้น ศาสนาจารย์ปกาเกอะญออาวุโสคนเดิมได้ลุกขึ้นมาท่ามกลางเสียงตบมือที่ยังไม่ซา แล้วเดินสวนกับนักดนตรีขึ้นสู่เวที


เครื่องดนตรีเหล่านี้! เป็นเครื่องดนตรีของคนยุคเก่าแก่! เป็นเครื่องดนตรีของผู้ที่ยังไม่รู้จักและยังไม่เชื่อในพระเจ้า เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นในการบูชาผี มารซาตาน เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เรียกขวัญและวิญญาณของคนเจ็บคนตาย มันจึงไม่เหมาะสมไม่คู่ควรที่นำมันมาเล่นในโบสถ์อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เราควรจะเล่นดนตรีที่ไร้มลทิน ขอให้เห็นการนำเครื่องดนตรีเหล่านี้มาเล่นในโบสถ์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย นี่เป็นการทำลายเกียรติของคริสตจักรและพระเจ้าอย่างหนึ่ง รู้ไว้ด้วย!”

เขาพูดจบบรรยากาศเฮฮายุติลงกะทันหัน ความเงียบกริบเข้ามาแทนที่ เขาหันหลังเดินลงเวที ทุกคนในวงดนตรีมองหน้ามองตากันแบบเหวอหวา ต่างคนต่างพูดอะไรทำอะไรไม่ถูก นอกจากหยิบและเก็บเครื่องดนตรีของตนเองเดินออกจากงานไปพร้อมกับรอยช้ำในใจ


ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนโดนต่อว่าในที่สาธารณะอย่างนี้” พ่อนกพูดกับเพื่อนนักดนตรีชนเผ่าเดียวกันด้วยน้ำเสียงที่แสดงการเสียความรู้สึกอย่างแรง หลังจากนั้นไม่เห็นพ่อนกเล่นดนตรีชนเผ่าในโบสถ์อีกเลย แต่กับงานวัฒนธรรมและงานอื่นที่อยู่นอกรั้วโบสถ์เขาไม่เคยทิ้งเครื่องดนตรีของชนเผ่าตนเองเลย


จากนั้นดนตรีและบทเพลงตามวัฒนธรรมในชนเผ่าปกาเกอะญอ กลายเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่มีโอกาสเข้าไปในโบสถ์ของคนปกาเกอะญอมูเจะคีอีกเลย เพลงธาถูกลืม คนขับธา ลืมตนเองลืมตัวเองว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นโมะโชะ ขุนเพลงธาของชุมชน


บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าวันที่ 10 กันยาฯ ทีมทั้งหมดเริ่มซ้อมเพื่อทบทวนกระบวนท่าฟ้อน ท่ารำ ท่วงท่าทำนอง จังหวะจะโคน ก่อนตระเวนออกศึก การซ้อมเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มหิมพานต์ 2nd World ของพี่ทอด์ด ทองดี ต่อด้วยเพลงของ ซอ สมาชิกวง the sis ตามด้วยเพลงของลานนา คัมมินส์ รวมทั้งเพลงของมือระนาดและมือโปงลาง หมอแคน จนมาปิดท้ายที่เพลงของผม
ชิ สุวิชาน
บรรยากาศจากเทือกเขาสแครนตัน   หลังจากที่นักดนตรี นักร้อง นักรำมาถึงกันครบองค์ทั้งหมดแล้ว จึงเริ่มมีการแกะกล่องสัมภาระที่ขนเครื่องดนตรีและเครื่องไม้เครื่องมือประกอบการแสดงที่มาจากเมืองไทย ผมเริ่มแกะพลาสติกกันกระแทกที่ห่อเตหน่ากูไว้ เตหน่ากูได้โผล่ออกมารับแสงรับลมอีกครั้ง
ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าตื่นมา อากาศเย็นค่อนไปถึงหนาว ในขณะที่คณะที่มาด้วยกันยังนอนหลบกันอย่างเมามันจากอาการเพลียเพราะการเดินทาง ผมเดินลงไปในห้องครัวเผื่อเจออะไรที่ทานได้บ้าง หน้าห้องครัวเจ้าของบ้านได้ติดรูปคนในครอบครัว รูปลูกชายสองคน ที่ผมแปลกใจคือมีรูปหนึ่งที่ไม่ใช่รูปของผู้ชาย เป็นรูปคล้ายนางฟ้ามีข้อความเขียนว่า “Bless this home”  ทำให้นึกถึงบ้านคนไทยที่มีการเขียนหน้าบ้านต่างๆหลายอย่างเช่น “มั่งมีศรีสุข” บ้าง “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” บ้าง
ชิ สุวิชาน
การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี  
ชิ สุวิชาน
ก่อนเดินทางมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพ มีผู้สนับสนุนทั้งกระทรวงการต่างประเทศและบริษัทบุญรอดฯมาร่วม หลังงานแถลงข่าวมีการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนที่มาในงาน
ชิ สุวิชาน
ความจริงแล้วผมมีกำหนดการนัดสัมภาษณ์ขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปประเทศอเมริกาในวันที่ 2 กันยายน 2552 ขณะที่กำหนดการในการเดินทางไปประเทศดังกล่าวคือเช้าวันที่ 3 กันยายน 2552 หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แผนกำหนดการเดินทางอาจมีปัญหาได้ ฉะนั้นทางบริษัท ลาเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ประสานและเป็นผู้อำนวยการการเดินทางในครั้งนี้ ได้ขอทำเรื่องเร่งรัดการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นก่อนการสัมภาษณ์เดิม
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม
ชิ สุวิชาน
เขาเดินลงไปท้ายหมู่บ้าน พร้อมกับบทเพลง" อย่าให้น้ำตาไหลริน"ของ ฉ่า เก โดะ ที  แม่จ๋า อย่าปล่อยให้น้ำตาได้มีโอกาสไหล            บัดนี้อายุลูกครบ สิบหกบริบูรณ์แล้วดั่งกฎของชายชาติทหารทุกประทศมี                  ลูกต้องทำหน้าที่เพื่อการปฏิวัติพ่อได้สละชีพจนแม่เลี้ยงลูกอย่างกำพร้า             อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ลำเค็ญ แม่ทนถึงคราวลูกชายคนโตต้องไปทำหน้าที่ต่อ     …
ชิ สุวิชาน
สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
ชิ สุวิชาน
เพลงต่อเพลง ถูกเล่น ถูกร้อง ถูกเล่า ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนมีที่มาที่ไปไม่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของพ้อเหล่ป่าที่ทำตอนที่ยังชีวิตอยู่ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลีซะกับพี่นนท์ก็โยนเวทีมาให้ผม ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี สิ่งที่เตรียมเล่นเตรียมพูดในขณะที่เดินทาง เล่นไม่ได้พูดไม่ได้ มันเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับพื้นที่นี้ งานนี้อีกครั้งหนึ่ง!
ชิ สุวิชาน
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี  "โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน
ชิ สุวิชาน
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น  แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย