Skip to main content

การนอนและนอนอย่างเดียวในรถตู้ไม่ใช่เรื่องง่าย  บางทีปวดฉี่ บางครั้งปวดหลัง ทุกครั้งที่รถแวะจอดเติมน้ำมันหรือแวะทำอะไร ผมก็มักจะตื่นด้วยทุกครั้ง  จนได้รับการต่อว่าจากคนที่นั่งมาด้วยกันด้วยความเป็นห่วงว่าผมจะรับช่วงการขับรถต่อได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ


แปดโมงเช้าเศษ ได้เวลาล้างหน้าแปรงฟัน และอาหารแบบด่วนๆสไตล์อเมริกัน  พี่ทอด์ดโยนกุญแจรถมาให้ผมอีกครั้ง  ผมตั้งหน้าตั้งตามุ่งสู่ประตูรถเพื่อไปควบพวงมาลัยรถยนต์  แต่ผมต้องทำให้คนต้องหน้าแตกอีกครั้งในรอบหลายๆครั้ง ผมดันมุ่งเข้าไปสู่ประตูทางขวา แต่ในความเป็นจริงพวงมาลัยรถยนต์กลับอยู่ทางซ้าย

 

หลังจากรับช่วงในการเป็นสารถี ผมมุ่งหน้าขับไปตามแผนที่ที่ถูกอธิบายอย่างละเอียด เส้นซุปเปอร์ไฮเวย์ ขับรถค่อนข้างง่าย ความเร็วความช้าคงที่สม่ำเสมอ ไม่เกิน 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมพยายามรักษากติกานี้อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร เพื่อปลอดภัยจากการทำผิดกฎจราจร

 

หลายชั่วโมงผ่านไปคนโดยสารเริ่มเพลียกว่าคนขับ บางคนเริ่มกรน โดยเฉพาะพี่ทอด์ด กรนดังม๊ากมาก กรนดังกว่าเสียงเพลงที่ผมเปิดในระที่ระดับเสียง 12 เสียอีก

 

ผมเริ่มดูแผ่นที่และคำนวณระยะทาง อีกหลายร้อยกิโล  นั่นทำให้เส้นเอ็นเท้าของผมกระดุกคันเร่งรถยนต์ลึกลงไปกว่าระดับปกติ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เคยเป็น ผมเริ่มแซงรถคันอื่น เป็นการแซงซ้ายที่น่าตื่นเต้นดี ผมเปลี่ยนซีดีเพลงที่เป็นเป็นเพลงช้า มาเป็นเพลงที่จังหวะตื่นเต้นขึ้น

 

ว้าว!! เริ่มสนุกกับการขับรถแล้วผมพูดกับตนเองในใจ ในระหว่างนั้นผมไม่ได้สังเกตว่าเสียงกรนได้หายไปจากรถแล้ว

 

เฮ้!!  นี่คุณขับร้อยกว่าเหรอ? จะบ้าหรือเปล่า? Limit ความเร็วแค่ 75 นะ ดีที่คุณไม่เจอพ่อผมมาวัดความเร็ว ไม่งั้นคืนนี้คุณกับผมไม่เล่นคอนเสริจกันในโรงพักเขาพูดพร้อมหัวเราะแบบซีเรียส

 

ผมกลัวพี่ไปไม่ทันครับ เพราะผมดูแผนที่แล้ว ขับ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอาไม่อยู่แน่คับ ผมเลยเร่งสปีดหน่อยคับ ผมไปไม่ทันไม่เป็นไร แต่ถ้าพี่ไปไม่ทันจบเกมส์แน่ผมตอบเขา

 

ผมรู้ ผมกำลังเปลี่ยนแผนให้คุณไปส่งผมที่สนามบินในเมืองข้างหน้า ผมต้องบินไป ส่วนรถอีกสองคันให้มุ่งหน้าไปก่อน นั่นหมายความว่าผมต้องไปถึงหลังคันอื่นเพราะการขับรถเข้าเมืองเพื่อไปส่งพี่ทอด์ดที่สนามบินมีระยะทางประมาณ 40 กว่ากิโลเมตร ไปกลับก็ 80 ประมกว่ากิโลประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ


ทิช น้องสาวของพี่ทอด์ดร่วมเดินทางไปสนามบินกับผม เพื่อจะเป็นคนช่วยบอกทางให้ผม ส่วนคนอื่นเดินทางกับรถตู้อีกสองคันที่เหลือ  หลังจากตกลงทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแผนสำรองถูกเดินตามทันที  ผมเข้าจึงมุ่งหน้าสู่สนามบินของเมืองเมมฟิส  ในรัฐเทนเนสซี่ 

 

จำไว้นะห้ามขับเกิดความเร็วที่เขาจำกัดไว้ ผมบินผมถึงก่อนแน่นอน ผมทันแน่นอน คุณไม่ทันช่วงต้นไม่เป็น ค่อยขึ้นช่วงท้ายก็ได้ แต่คุณต้องถึงนะ ห้ามเอาน้องสาวผมไม่นอนที่ไหนนะ เฮ้ย!  ผมพูดผิด อยากให้น้องสาวผมหลอกไปค้างที่ไหนนะ  เฮ้ ทิช ดูแลน้องชายผมนะ  นี่คือน้องชาย อย่าเผลอคิดเป็นอย่างอื่นนะ เขาพูดกับผมและแซวทิช

 

คุณไม่ต้องพูดมาก นั่นประตูไปเช็คอินขึ้นเครื่อง เวลาไม่รอคุณ ชั้นต้องเดินทางอีกไกล บาย ไปเราไปกัน อย่ามัวเสียเวลากับพี่ชายเพี้ยนๆของฉัน ทิชปิดประตูรถพร้อมชี้ทางออกจากสนามบินมุ่งสู่ชิคาโก้

 

ระหว่างทางได้มีโอกาสพูดคุยกับทิช น้องพี่ทอด์ด ตั้งแต่เรื่องครอบครัว ทั้งของเขาและของผม เรื่องอเมริกาและอเมริกัน เรื่องปกาเกอะญอ ไทยและพม่า

 

ฉันเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปกาเกอะญอของคุณในพม่า  ฉันหวังว่าเมื่อไหร่ที่จีนและอเมริกามีความจริงใจที่จะสร้างสันติภาพจริง วันนั้นฉันหวังที่จะได้เห็นการแสดงความดีใจของคุณเขาเหมือนจะพูดปลอบใจ  หลังจากที่ผมเล่าต้นตอปัญหาทั้งหมดทั้งในอดีตและปัจจุบันว่า คนปกาเกอะญอไม่ได้สู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าอย่างเดียว  แต่สู้กับมหาอำนาจในระดับโลกแบบจีนที่หนุนหลังพม่าแบบล้อนจ้อน  และแม้กระทั่งอเมริกาเองที่ไม่จริงใจในการแก้ปัญหาเพื่อสันภาพจนกลายเป็นบรรทัดฐานบางอย่างที่มหาอำนาจอื่นยึดเป็นแบบอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ตนมากกว่าสันติภาพของคนอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์

 

ผมขับผ่านเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เลาะริมแม่น้ำ มิสซิสซิปปี เห็นสิ่งปลูกสร้างบางอย่างเป็นวงโค้งเด่น สูงยาวตระหง่านอยู่ โดยมีตึกราบ้านช่องรายล้อมแต่ก็ไม่สามารถบดบังความเด่นของมันได้  ผมหยิบกล้องแล้วให้ทิชถ่ายรูปให้  เพราะผมมิอาจถ่ายรูปขณะขับรถได้

 

มันคือ The Gateway Arch เป็นอนุสาวรีย์แห่งการอพยพสู่ตะวันตกของคนอเมริกัน เรียกว่าชื่อตามสถาปนิกคือ Jefferson National Expansion Memorial หรือ Gateway Arch มีความพิเศษคือความกว้างและสูงเท่ากันคือ 192 เมตรหรือ 630 ฟุต การประดิษฐ์สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาเช่นนี้ต้องอาศัยเหล็กกล้าไร้สนิมเท่านั้น สถาปนิกต้องการสร้างเป็นอนุสาวรีย์แก่ดวงวิญญาณผู้บุกเบิก ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเซนต์หลุยส์ ประตูสู่ตะวันตกของอเมริกา ทิชอธิบายให้ผมฟังขณะที่ถ่ายภาพอยู่ในรถที่วิ่งอยู่ระหว่างทาง

 

เวลาล่วงเลยจนตะวันผักผ่อนแล้วโยนหน้าที่ต่อให้พระจันทร์รับต่อ  ผมเห็นเดือนเต็มดวงครั้งแรกในอเมริกา  เกิดอารมณ์คิดถึงบ้านขึ้นมาทันที  นึกถึงเพลงเดือนเพ็ญ ของอัสนี พลจันทร์  แต่ก็อดเป็นห่วงดวงจันทร์ไม่ได้เมื่อนึกถึงแผนการของ NASA ที่จะส่งยานไปชนดวงจันทร์เพื่อต้องการทราบว่ามีน้ำหรือมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่

 

 

ประมวลภาพ  Gateway to the west

 

 

 

 

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าวันที่ 10 กันยาฯ ทีมทั้งหมดเริ่มซ้อมเพื่อทบทวนกระบวนท่าฟ้อน ท่ารำ ท่วงท่าทำนอง จังหวะจะโคน ก่อนตระเวนออกศึก การซ้อมเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มหิมพานต์ 2nd World ของพี่ทอด์ด ทองดี ต่อด้วยเพลงของ ซอ สมาชิกวง the sis ตามด้วยเพลงของลานนา คัมมินส์ รวมทั้งเพลงของมือระนาดและมือโปงลาง หมอแคน จนมาปิดท้ายที่เพลงของผม
ชิ สุวิชาน
บรรยากาศจากเทือกเขาสแครนตัน   หลังจากที่นักดนตรี นักร้อง นักรำมาถึงกันครบองค์ทั้งหมดแล้ว จึงเริ่มมีการแกะกล่องสัมภาระที่ขนเครื่องดนตรีและเครื่องไม้เครื่องมือประกอบการแสดงที่มาจากเมืองไทย ผมเริ่มแกะพลาสติกกันกระแทกที่ห่อเตหน่ากูไว้ เตหน่ากูได้โผล่ออกมารับแสงรับลมอีกครั้ง
ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าตื่นมา อากาศเย็นค่อนไปถึงหนาว ในขณะที่คณะที่มาด้วยกันยังนอนหลบกันอย่างเมามันจากอาการเพลียเพราะการเดินทาง ผมเดินลงไปในห้องครัวเผื่อเจออะไรที่ทานได้บ้าง หน้าห้องครัวเจ้าของบ้านได้ติดรูปคนในครอบครัว รูปลูกชายสองคน ที่ผมแปลกใจคือมีรูปหนึ่งที่ไม่ใช่รูปของผู้ชาย เป็นรูปคล้ายนางฟ้ามีข้อความเขียนว่า “Bless this home”  ทำให้นึกถึงบ้านคนไทยที่มีการเขียนหน้าบ้านต่างๆหลายอย่างเช่น “มั่งมีศรีสุข” บ้าง “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” บ้าง
ชิ สุวิชาน
การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี  
ชิ สุวิชาน
ก่อนเดินทางมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพ มีผู้สนับสนุนทั้งกระทรวงการต่างประเทศและบริษัทบุญรอดฯมาร่วม หลังงานแถลงข่าวมีการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนที่มาในงาน
ชิ สุวิชาน
ความจริงแล้วผมมีกำหนดการนัดสัมภาษณ์ขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปประเทศอเมริกาในวันที่ 2 กันยายน 2552 ขณะที่กำหนดการในการเดินทางไปประเทศดังกล่าวคือเช้าวันที่ 3 กันยายน 2552 หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แผนกำหนดการเดินทางอาจมีปัญหาได้ ฉะนั้นทางบริษัท ลาเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ประสานและเป็นผู้อำนวยการการเดินทางในครั้งนี้ ได้ขอทำเรื่องเร่งรัดการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นก่อนการสัมภาษณ์เดิม
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม
ชิ สุวิชาน
เขาเดินลงไปท้ายหมู่บ้าน พร้อมกับบทเพลง" อย่าให้น้ำตาไหลริน"ของ ฉ่า เก โดะ ที  แม่จ๋า อย่าปล่อยให้น้ำตาได้มีโอกาสไหล            บัดนี้อายุลูกครบ สิบหกบริบูรณ์แล้วดั่งกฎของชายชาติทหารทุกประทศมี                  ลูกต้องทำหน้าที่เพื่อการปฏิวัติพ่อได้สละชีพจนแม่เลี้ยงลูกอย่างกำพร้า             อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ลำเค็ญ แม่ทนถึงคราวลูกชายคนโตต้องไปทำหน้าที่ต่อ     …
ชิ สุวิชาน
สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
ชิ สุวิชาน
เพลงต่อเพลง ถูกเล่น ถูกร้อง ถูกเล่า ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนมีที่มาที่ไปไม่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของพ้อเหล่ป่าที่ทำตอนที่ยังชีวิตอยู่ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลีซะกับพี่นนท์ก็โยนเวทีมาให้ผม ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี สิ่งที่เตรียมเล่นเตรียมพูดในขณะที่เดินทาง เล่นไม่ได้พูดไม่ได้ มันเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับพื้นที่นี้ งานนี้อีกครั้งหนึ่ง!
ชิ สุวิชาน
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี  "โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน
ชิ สุวิชาน
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น  แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย