Skip to main content

 

"...ในเมื่อการกักผู้อพยพไว้เป็นการสร้างภาระ รัฐก็น่าจะอนุญาตให้ผู้อพยพทำงานได้ เพราะเมื่อผู้อพยพมีงานทำก็จะทำให้มีรายได้ สามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐไทย แถมจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยด้วยคือด้านหนึ่งเป็นการเพิ่มกำลังแรงงานเข้าสู่ระบบ ขณะเดียวกันก็เพิ่มการบริโภคภายในประเทศ..."

 

โดย Chotisak Onsoong

 

ประเด็นร้อนแรงหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงในสังคมไทย รวมถึงในโซเชี่ยลมีเดีย ในระยะไม่กี่วันที่ผ่านมาก็คือกรณีผู้อพยพชาวโรฮิงยา, ท่ามกลางการถกเถียงดังกล่าว ข้อกังวลหนึ่งที่ผมได้ยินมาก็คือหากรัฐไทยยอมรับผู้อพยพไว้ก็จะกลายเป็นภาระทั้งเรื่องการจัดการและเรื่องงบประมาณ, สิ่งที่ผมจะเสนอต่อไปนี้ก็คือความพยายามที่จะตอบโจทย์เรื่องนี้ (อย่างไรก็ตามผมก็พยายามจะตอบคำถามในลักษณะคำถามต่อเนื่องจากข้อเสนอนี้ด้วย)

นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพของรัฐบาลปัจจุบันเท่าที่ผมทราบมาล่าสุดก็คือพยายามผลักดันออกนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งไป “ประเทศที่ 3” แต่ระหว่างการรอเพื่อหาประเทศที่ 3 นั้นก็จะกักผู้อพยพไว้ในสถานที่เฉพาะหนึ่ง ซึ่งระหว่างนี้แหละที่รัฐไทยจะต้องใช้กำลังคนและงบประมาณเพื่อดูแลผู้อพยพ (นอกจากนั้น ระยะเวลาที่จะต้องรอเพื่อหาประเทศที่ 3 นั้นยาวนานแค่ไหนก็ไม่มีใครบอกได้)

ผมเชื่อว่าผู้อพยพส่วนใหญ่ที่เดินทางมาถึงประเทศไทยมองประเทศไทยในฐานะ “ทางผ่าน” เท่านั้นเอง เป้าหมายจริงๆน่าจะเป็นประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย ดังนั้นผมจึงไม่มีข้อขัดแย้งเรื่องการแสวงหาประเทศที่ 3 (เพราะมันเป็นเจตจำนงค์ของผู้อพยพอยู่แล้ว) แต่สิ่งที่ผมอยากเสนอก็คือการจัดการช่วงที่รอหาประเทศที่ 3 นี่แหละ คือแทนที่จะกักผู้อพยพไว้ในพื้นที่กักกัน (แล้วก็มีคนบ่นเรื่อง “ภาระ”) รัฐน่าจะออก (1) ใบอนุญาตพักอาศัยชั่วคราว และ (2) ใบอนุญาตทำงาน ให้กับผู้อพยพ

อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น ข้อเสนอของผมต้องการตอบข้อกังวลเรื่อง “ภาระ” เป็นหลัก คือในเมื่อการกักผู้อพยพไว้เป็นการสร้างภาระ รัฐก็น่าจะอนุญาตให้ผู้อพยพทำงานได้ เพราะเมื่อผู้อพยพมีงานทำก็จะทำให้มีรายได้ สามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐไทย (สามารถเช่าบ้านเองได้ ซื้อหาหาร/เสื้อผ้าเองได้) แถมจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยด้วยคือด้านหนึ่งเป็นการเพิ่มกำลังแรงงานเข้าสู่ระบบ ขณะเดียวกันก็เพิ่มการบริโภคภายในประเทศ

และผมเชื่อว่าผู้อพยพก็น่าจะยินดีกับมีงานทำมากกว่าที่อยู่ไปวันๆในสถานกักกันครับ (เท่าที่ผมทราบ เวลามีค่ายอพยพในประเทศไทยผู้อพยพก็จะพยายามแอบออกมาหางานทำข้างนอกอยู่ตลอด)

ส่วนที่อาจจะมีคนบอกว่าแรงงานที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้คนไทยตกงาน, ต่อข้อกังวลนี้ผมเข้าใจว่าน่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนมานานแล้วว่า ไม่จริง เพราะงานส่วนใหญ่ที่แรงงานข้ามชาติเข้าไปทำงานนั้นคืองานที่คนไทยไม่ยอมทำ ถ้าไม่มีแรงงานข้ามชาติเข้ามาในไทยก็จะไม่มีคนทำงานพวกนี้  (ดังนั้นเอาเข้าจริงแล้วเราจะต้องขอบคุณแรงงานข้ามชาติด้วยซ้ำไปที่ช่วยมาทำงานที่พวกเราไม่อยากทำกัน) ถ้าเราไล่คนงานข้ามชาติออกไปหมดแล้วคนที่ชอบอ้างเรื่องนี้จะไปทำงานเรือประมง จะไปรับจ้างแกะกุ้ง จะไปเป็นคนรับใช้ตามบ้าน ฯลฯ หรือเปล่า?, ถ้าเปล่า ผมว่าน่าจะเลิกอ้างเรื่องนี้ได้แล้ว

ส่วนเรื่องเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ, อาจมีคนแย้งว่าถ้าให้เขาอยู่ในที่กักกันก็เพิ่มการบริโภคเหมือนกัน, ผมคิดว่าไม่หมือนครับ ระหว่างการบริโภคของคนที่ทำงานมีรายได้ กับการบริโภคแบบ “รับทาน” ในสถานกักกันนั้นมันต่างกันอยู่แล้ว (ผมคิดว่ารัฐจัดอาหารและปัจจัยการยังชีพให้แค่พอกันตายหรืออาจจะดีกว่านั้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่งั้นเวลาตั้งศูนย์อพยพคงไม่มีคนดิ้นรนแอบออกมาหางานทำข้างนอกหรอก)

อาจจะมีคนแย้งอีกว่า คนพวกนี้ทำผิดกฎหมายคือเข้าเมืองผิดกฎหมายนะ, ผมคิดว่าเราก่อนอื่นต้องแยกการทำผิดกฎหมาย 2 ประเภทออกจากกันก่อน อันแรกก็คือ การทำผิดกฎหมายที่เป็น “อาชญากรรมแท้ๆ” เช่น ฆ่าคน ทำร้ายร่างกาย หรือข่มขืน ฯลฯ กับความผิดอีกแบบที่ไม่ใช่ “อาชญากรรมแท้ๆ” ซึ่งกรณีเข้าเมืองผิดกฎหมายก็คือกรณีหลังนี้ (นอกจากจะไม่ใช่ความผิดแบบ “อาชญากรรมแท้ๆ” แล้ว มันยังความผิดที่เกิดจากความจำเป็น คือจำเป็นเข้าเมืองผิดกฎหมายเพราะต้องหนีตายมา) ซึ่งในความเห็นของผมความผิดในกรณีหลังนี่เป็นเรื่องที่ควรจะต้องผ่อนปรนได้ และนี่ก็ไม่ใช่แค่ความเห็นลอยๆของผมเพียงอย่างเดียว เพราะเอาเข้าจริงที่ผ่านมารัฐไทยก็เคยผ่อนปรนไปแล้ว และถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สมัยที่มีชาวจีนอพยพเข้ามาประเทศไทยมากๆก็น่าจะเคยมีการผ่อนปรนในลักษณะนี้มาก่อน (นอกจากจะผ่อนปรนเรื่องนี้แล้วยังให้สัญชาติไทยด้วย) ดังนั้นถ้าใครจะค้านข้อเสนอของผมโดยอ้างเรื่องนี้อาจจะต้องรบกวนช่วยไปเช็คประวัติบรรพบุรุษทั้งฝั่งปู่ย่าตายายก่อนว่าเคยได้รับการผ่อนปรนในลักษณะนี้มาบ้างหรือเปล่า

ข้อกังวลใหญ่อีกอันหนึ่งเท่าที่ทราบก็คือเรื่องความมั่นคง คือกลัวว่าจะมารวมกับขบวนการใน 3 จังหวัดภาคใต้, ผมคิดว่าข้อกังวลนี้ใช้จินตนาการมากไปหน่อย (และไม่ตั้งอยู่บนเหตุผลของความเป็นจริงเลย) คือถ้าพวกเขาจะ “ญิฮาด” เพื่อ “ปลดปล่อย” จริงๆ เขาคงรบกับรัฐบาลพม่าเพื่อสร้างประเทศอารกัน/ประเทศโรฮิงยาไปแล้วครับ เขาคงไม่ใจดีขนาดปล่อยให้บ้านของตัวเองถูกพม่าปกครองแล้วมาญิฮาดปลดปล่อยบ้านคนอื่นหรอก

อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่หายกังวลเรื่องนี้ผมก็มีข้อเสนอเพิ่มเติมก็คือให้รัฐกำหนดโซน ว่าคุณทำงานได้ในจังหวัดนั้นจังหวัดนี้เท่านั้น ซึ่งถ้ากลัวไปยุ่งกับ 3 จังหวัดก็กำหนดโซนให้ทำงานในจังหวัดอื่น หรือถ้ากลัวมากก็กำหนดไปภาคอื่นเลยก็ได้ แต่อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้อพยพด้วยนะครับ (ทั้งเรื่องทำงาน และเรื่องพื้นที่) คือคุณเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำก็ต้องอยู่ในที่กักกันไป (การกำหนดโซนหรือข้อบังคับอื่นๆจะต้องคิดอยู่บนฐานความเป็นมนุษย์ด้วย เช่น ถึงจะมีโซนทำงาน/พักอาศัย แต่ในบางโอกาสอย่างมีงานเทศกาล งานศพ งานแต่ง ฯลฯ ก็ต้องสามารถขออนุญาตไปต่างพื้นที่ได้)

อาจจะมีคนแย้งอีกว่าถ้าทำงานแล้วมีปัญหาจนต้องออกจากงาน หรือตกงานเพราะเรื่องอื่น พอไม่มีงานก็ไม่มีรายได้ก็นำไปสู่การลักขโมยหรืออาชญากรรมอื่นๆ, ผมคิดว่าถ้าทำผิดกฎหมายอื่นๆก็ดำเนินคดีไปตามกฎหมายครับ ส่วนกรณีตกงาน (ไม่ว่าจากสาเหตุอะไร) ผมเสนอว่าให้รัฐกำหนดระยะเวลาหางาน ถ้าเลยกำหนดแล้วยังหางานใหม่ไม่ได้ก็ต้องกลับไปอยู่ในที่กักกัน (นายจ้างที่รับไปก็ต้องมีหน้าที่มาแจ้งรัฐทันทีที่คนงานออกจากงาน อันนี้ก็จะลดภาระของรัฐในการติดตาม)

คนที่มาใหม่ที่ยังไม่มีงานก็ต้องอยู่สถานกักกัน (คนเก่าที่ตกงานแล้วหางานไม่ได้ก็ต้องกลับไปรวมกันคนที่มาใหม่หรือกับคนที่ตกงานอื่นๆในที่กักกัน) ซึ่งรัฐก็ต้องประชาสัมพันธ์ต่อนายจ้างว่ามีคนรองานอยู่ในที่กักกันนะ ใครสนใจก็ให้ไปติดต่อ อะไรทำนองนั้น

แน่นอนว่าตามข้อเสนอนี้จะยังต้องมีสถานกักกันอยู่ แต่ขนาดของมันก็จะเล็กกว่านโยบายเดิม (ที่บังคับทุกคนให้อยู่ในสถานกักกัน) มากๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าภาระของรัฐจะลดลงมากๆด้วย ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่ที่ได้ไปทำงานก็จะส่งผลดีทางเศรษฐกิจอย่างที่ได้เขียนไปแล้ว ซึ่งก็จะทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น และผมคิดว่าสิ่งที่รัฐจะได้รับจากชาวโรงฮิงยาถ้าอนุญาตให้พวกเขาทำงานถูกกฎหมายจะมากกว่าภาระที่ต้องดูแลชาวโรฮิงยาบางคนที่มีปัญหาแน่นอน (แต่ถ้าไม่อนุญาตให้ทำงาน รัฐก็จะต้องดูแลทุกคนไม่ว่าคนที่มีปัญหาหรือไม่มี)

ประเด็นสุดท้าย สำหรับคนที่กังวลว่าถ้าอนุญาติให้ทำงานแล้วจะทำให้ชาวโรฮิงยาหลั่งไหลเข้ามามาอีกมาก, อย่างที่ผมได้บอกไปว่าเป้าหมายจริงๆของพวกเขาน่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ดังนั้นถึงสามารถทำงานในไทยได้ถูกกฎหมาย ยังไงรายได้ก็ยังสู้ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้ ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาโดยรวมจะยังเหมือนเดิมแน่นอนครับ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะ “ทางผ่าน”, ถ้าประเทศไทยอนุญาตให้ผู้อพยพทำงานถูกกฎหมายก็จะทำให้โอกาสที่จะถูกผู้อพยพเลือกเป็น “ทางผ่าน” ก็มีมากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าในปัจจุบันแรงงานข้ามชาติในไทยมีแนวโน้มที่จะลดลง เพราะพม่าเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้ต้องการแรงงานมากขึ้น ผู้ใช้แรงงานชาวพม่าบางส่วนในไทยก็จะเดินทางกลับไปทำงานในพม่า ในขณะที่ลาวและกัมพูชาเองก็กำลังจะเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งก็จะดึงดูดผู้ใช้แรงงานชาวลาวและกัมพูชาที่ทำงานในไทยกลับไปทำงานในประเทศตัวเองมากขึ้น, ในขณะที่แรงงานข้ามชาติในไทยมีแนวโน้มที่จะลดลง แต่ (อย่างที่ผมได้เขียนไปแล้ว) เศรษฐกิจไทยกลับขาดแรงงานข้ามชาติไม่ได้ (เศรษฐกิจไทยขาดแรงงานข้ามชาติก็คงไม่ต่างจากคนขาดอากาศหายใจเท่ใดนัก) ดังนั้นการที่ในอนาคต (หลังจากรัฐอนุญาติให้ทำงานถูกกฎหมาย) แล้วจะมีแรงงานชาวโรฮิงยาเข้ามามากขึ้น นี่นอกจากจะไม่สร้างปัญหาแล้วยังจะช่วยแก้ปัญหาที่ว่ามาด้วยซ้ำไป

บล็อกของ ประกายไฟ

ประกายไฟ
 "...ถ้ารัฐไม่มีหน้าที่บริการประชาชน มหาวิทยาลัยก็จะทำให้เป็นของเอกชน โรงพยาบาลก็จะเป็นเอกชน รถเมล์ น้าประปา ไฟฟ้า ก็จะต้องเป็นของเอกชน แล้วเราจะมีรัฐไปทำไม” เก่งกิจ กิติเรียงลาภ กล่าว  
ประกายไฟ
จริงอยู่ที่ทางกลุ่มแอดมินไทย อาจจะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่อยู่คนละข้าง คนละสี....(บอกมาเถอะว่าสีอะไรปิดไม่มิดหรอก) กับสมาชิกในเพจที่เป็นเพื่อนร่วมชาติชาวไทย แต่นี้มันเพจระหว่างประเทศ ที่ผู้เขียนในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในเพจมีสิทธิที่จะบอกความเป็นจริง....(รับได้ไหมท่านแอดมิน???)...  
ประกายไฟ
..นักสหภาพหลายๆคนมักมาสอบถามกับผู้เขียนบ่อยๆว่า ทำไมฝ่ายบุคคลมักมีทัศนะคติที่เลวร้ายกับสหภาพหรือที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมหาวิทยาลัยสั่งสอนให้มองสหภาพในแง่ไม่ดีรึเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่พวกนักศึกษาที่จบไปเป็นฝ่ายบุคคลในโรงงานนั้น เขามองสหภาพแรงงานอย่างไร เราจึงจัดทำบทสัมภาษณ์สั้นๆชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าเขา (ว่าที่ฝ่ายบุคคล) คิดยังไงกับเรา(สหภาพแรงงาน)..
ประกายไฟ
..ทำไมคนส่วนใหญ่มักชอบพูดว่าประเทศสหรัฐอเมริกาทีระบบสวัสดิการที่ดีเยี่ยม จนเป็นประเทศในฝันของทุกคน เมื่อได้อ่านความเป็นจริงจากบทความชิ้นนี้แล้วคงทำให้เรามองสหรัฐอเมริกาในแง่ความเป็นจริงมากขึ้น และเลิกพูดมั่วๆซะที ว่าอเมริกามีสวัสดิการดีกว่าไทย
ประกายไฟ
...การที่รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา รวมถึงรัฐบาลชุดนี้กำลังจะขึ้นภาษีทางอ้อมจาก 7 เป็น 10% นั้นถือว่าเป็นการเปิดศึกทางชนชั้นกับชนชั้นกรรมกรและคนระดับล่างของสังคมโดยตรง คือ โยนภาระก้อนโตให้คนระดับล่างเป็นผู้จ่าย โดยที่คนร่่ำรวยลอยตัว...
ประกายไฟ
...ดูๆไปแล้วดันไปสะดุดตรงเหตุการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นที่ดันตรงกับช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี แหมมมมมมมมมมมม เล่นเล่าซะ คณะผู้ก่อการดูเป็นตัวร้ายไปถนัดตา แถม ร.7 ยังดูน่าสงสารจนเกินเหตุ “ตั้งแต่เกิดมาไอ้เคนยังไม่เห็นว่าในหลวงท่านจะทำอะไรไม่ดีเลย” “เหาจะกินกระบาล” 5555 เอาละวะ ...  
ประกายไฟ
อธิการ.มทส. ค้านนศ.แต่งกายข้ามเพศ เข้ารับปริญญาฯ อ้างเป็นบัณฑิตต้องมีคุณธรรม จริยธรรม รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โต้ประเทศนี้อ้างอะไรไม่ได้ ก็อ้างคุณธรรมจริยธรรมปลอมๆ กลวงๆ ย้ำคุณธรรมของบัณฑิตต้องมีจิตใจที่วิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่เป็นอยู่
ประกายไฟ
ผมท้าเลยครับ หลังจากเผาอากง อากงจะถูกลืม..เว้นแต่เรียก กม. "ม.112" ว่า "อากง" เราจะไม่มีทางลืมอากง เพราะมันก็จะอยู่อย่างนี้อีกนานเท่านาน - ด้านเกษียร ตอบ ความทรงจำของสังคมไม่ได้เป็นเรื่องอัตโนมัติ หากต้องสร้างและผลิตซ้ำขึ้น แม้แต่การเอาชื่อไปวางไว้เป็นสมญาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะได้รับการจดจำจากสังคมหรือจำอย่างถูกต้องครบถ้วนแม่นยำ  
ประกายไฟ
 ..สิ่งที่เรียกว่า "ตลาดไม้โบราณ" ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดใหม่ในยุค ร.4 - ร.6 เป็นยุคที่ พ่อค้าจีน (โดยเฉพาะจีนแต้จิ๋ว) ที่ ได้เป็นเจ้าภาษีสินค้าต่างๆ เช่น มะพร้าว น้ำตาล อ้อย เป็นต้น จนเกิดชุมทางการค้ามากมายตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ ทั้งนครชัยศรี ราชบุรี แม่กลอง มหาชัย สามชุก ฯลฯ (ดูดีๆ ทุกๆที่ๆเป็นตลาดไม้โบราณล้วนมีสถานที่ๆเรียกว่า “โรงเจ” และ “ศาลเจ้าทรงเก๋งจีน” แทบทุกๆแห่ง) ที่เรียกว่าสิ่งใหม่ๆสำหรับคววามเป็นไทยในยุคนั้น..
ประกายไฟ
สาระหลักที่น่าสนใจของเรื่องแม่นั้นอยู่ที่จิตสำนึกของปัจเจกชนที่ต่างจากปัจเจกชนในวรรณกรรมรัสเซียเล่มดังๆที่ส่วนใหญ่มุ่งเสนอการดิ้นรนเอาชีวิตของตัวเองให้รอดไปวันๆ เป็นปัจเจกชนที่กำหนดชะตาชีวิตของตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
ประกายไฟ
แนะสภาฯเดินหน้าวาระ3 มั่นใจผ่านฉลุย พร้อมด้วยสนทนากับนายซิม ไฮแอท เยาวชนผู้อดข้าวหน้าพรรคเพื่อขอให้นายอภิสิทธิ์ถอนคำพูดเหยียดคนเสื้อแดง
ประกายไฟ
"..คุณอาจจะคิดเอาง่ายๆว่าขอแค่เพียงคุณเป็นคนรักเจ้า คุณก็จะไม่ต้องเผชิญกับความบ้าคลั่งของพวกคลั่งเจ้า (ชี้แจงเพิ่มเติมไว้หน่อยว่าสำรับผม "รักเจ้า" กับ "คลั่งเจ้า" นี่ไม่เหมือนกัน) แต่จากกรณีคุณโกวิทก็เป็นอีกตัวอย่างรูปธรรมหนึ่งที่ทำให้เราเห็นได้ว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร รักหรือไม่รักเจ้า คุณจะมีโอกาส/มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญความบ้าคลั่งแบบนี้ได้ทั้งนั้น"