Skip to main content

ปรากฏการณ์หน้ากากกายฟอว์กส์ขับไล่รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในอินเตอร์เน็ต เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจอย่างยิ่งในวงการการเมืองของประเทศไทย เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่หน้ากากกายฟอว์กส์จากภาพยนตร์เรื่อง V for vendetta ภาพยนตร์ชื่อดังของบริษัทวอร์เนอร์ บาเธอร์เข้ามามีบทบาทในการเมืองของประเทศไทย ซึ่งน่าสนใจว่า ในต่างประเทศนั้นหน้ากากชิ้นนี้ได้ถูกใช้กันในการประท้วงครั้งต่าง ๆ และโดยเฉพาะการประท้วงของกลุ่ม Occupy Wall Street เมื่อปีที่แล้วที่ใช้หน้ากากนี่ด้านสัญยะเพื่อสะท้อนให้เห็นการกดขี่ของนายทุนที่มีต่อประชาชนไม่ได้ต่างกับสิ่งที่เผด็จการในหนังได้ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย

          ลูอิส คอลล์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียโพลีเทคนิค ในเมืองซานหลุยส์ โอบิสโป กล่าวว่า หน้ากากที่กลุ่มผู้ประท้วงนำมาใช้นั้นเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังที่มีความหมายเปลี่ยนแปลงไปหลังจากผ่านมาหลายศตวรรษ (เสกขภูมิ วรรณปก : มติชนออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2554) ครั้งหนึ่งมันถูกใช้เพื่อขับไล่เผด็จการ ครั้งหนึ่งมันถูกใช้เพื่อต่อต้านระบอบทุนนิยมที่กดขี่ และปัจจุบันถูกนำมาใช้เพื่อขับไล่รัฐบาล

          แน่นอนว่า มีหลายคนแสดงทัศนะที่เกี่ยวกับตัวหน้ากากอันนี้ไปมากมาย ซึ่งมีมิตรสหายท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า บริบทของหน้ากากนั้นมันไหลไปได้เรื่อย ไม่ตายตัว เห็นพ้องกับ ลูอิส คอลล์ที่ว่า "ในช่วงที่ผ่านมาหลายทศวรรษ ความหมายของกาย ฟอว์กส์เปลี่ยนไปอย่างมาก ชื่อเสียงของฟอว์กส์เริ่มกลับคืนมา ก่อนหน้านี้เขาถูกมองเป็นผู้ก่อการร้ายที่พยายามจะทำลายอังกฤษ แต่ทุกวันนี้เขาถูกมองเป็นนักต่อสู้เพื่อสันติภาพมากกว่า นักต่อสู้เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานของปัจเจกต่อระบอบการปกครองที่กดขี่ ความหมายทางการเมืองของหน้ากากนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป"(เสกขภูมิ วรรณปก : มติชนออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2554)

          ขณะที่หากเรามองย้อนไปยังตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นับจากวันที่มันออกฉายในปี 2005 นั้นเป็นเวลาเกือบสิบปีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถูกนำมาพูดถึงอยู่เสมอในฐานะภาพยนตร์ที่พูดถึงการต่อสู้กับเผด็จการผ่านเรื่องราวแบบซุปเปอร์ฮีโร่ที่เป็นฉากหน้าของเรื่องนี้

          V For Vendetta ดัดแปลงมาจากการ์ตูนคอมมิคของอลัน มัวร์ นักเขียนการ์ตูนชาวอังกฤษ ผู้สรรสร้างผลงานการ์ตูนดัง ๆ หลายเรื่องตั้งแต่ The league of extraordinary gentlemen , Batman The Killing Joke และรวมไปถึงผลงานการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดอย่าง Watchmen ซึ่งตัวคอมมิคของ V นั้นเป็นหนึ่งในคอมมิคหรือนิยายภาพชั้นเยี่ยมที่หลายคนยังคงกล่าวขวัญถึงทุกวันนี้

          อลัน มัวร์ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเขียนการ์ตูนเรื่องนี้เพื่อวิจารณ์การบริหารงานของนายกหญิงของอังกฤษในขณะนั้นได้แก่ นางมากาเร็ต แทตเชอร์ที่ดำเนินการปกครองประเทศด้วยอำนาจที่แข็งกร้าวจนเกือบจะเป็นเผด็จการอยู่แล้วนั่นเอง

          แน่นอนว่า เมื่อนำมาใช้ในหนังก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่าง ๆ ออกไปมากมายเพื่อให้ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในยุค 80

          เรื่องราวของ V เกิดขึ้นในโลกอนาคตในยุคที่อังกฤษถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จโดย อดัม ซัทเลอร์ อดีตนายพลและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่ได้ใช้อำนาจเผด็จการควบคุมประชาชนให้อยู่ในความต้องการของเขาผ่านโฆษณาชวนเชื่อตลอด 24 ชั่วโมงที่มีทั้งรายการ ทั้งพิธีกรที่สนับสนุนเขา ทั้งข่าวสารโกหกบิดเบือนเพื่อปกปิดประชาชน และการสอดแนมความเป็นส่วนตัวของประชาชนส่งผลให้ประชาชนในอังกฤษมีสภาพง่อยเปลี้ยหูหนวกตาบอดไม่กล้าที่จะคิดต่อกรกับอำนาจเผด็จการนี้ และในจำนวนของประชากรชาวอังกฤษนั้นมีหญิงสาวพนักงานประจำสถานีโทรทัศน์คนหนึ่งที่ชื่อว่า อีวี่ เธอที่พึ่งออกมาจากบ้านหลังเคอร์ฟิวส์ก็ถูกพวกตำรวจลับของซัทเลอร์จับตัวหวังทำมิดีมิร้ายเธอและนั่นเองที่ทำให้เธอได้พบกับชายสวมหน้ากากกายฟอว์กส์นามว่า วี ผู้ที่กำลังจะก้าวเข้ามาเปลี่ยนตัวของเธอและประเทศนี้นั่นเอง

          วีรบุรุษหรือคนบ้า ฆาตกรหรือผู้ปลดปล่อย นั่นคือสิ่งที่หนังได้ตั้งคำถามเราเอาไว้ว่า ชายผู้สวมหน้ากากคนนี้นั้นมีตัวตนเป็นสิ่งใดกันแน่

          อลัน มัวร์ได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งการ์ตูนเรื่องนี้มาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า The Gunpowder Plot หรือที่รู้จักกันในชื่อ แผนดินปืนหรือ กบฏดินปืนนั้นเอง ซึ่งเป็นกบฏที่เกิดขึ้นเนื่องจากกายฟอว์กส์และพรรคพวกชาวคาทอลิกจำนวนหนึ่งต้องการเสรีภาพในการนับถือศาสนานิกายคาทอลิกมากขึ้น รวมทั้งเกิดขึ้นเพราะ พระเจ้าเจมส์ที่ 1 ในขณะนั้นเป็นกษัตริย์เผด็จการที่สั่งขังคนเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะชาวคาทอริคที่เป็นศัตรูกับชาวโปรแตสเตนท์ ซึ่งพระองค์นับถือนิกายนี้ด้วย นอกจากมีการบริหารบ้านเมืองล้มเหลวจนเกิดความเดือดร้อนไปทั่ว (ซึ่งตรงนี้น่าสนใจ มีหลายคนแสดงทัศนะว่า ฟอว์กส์อาจจะวางแผนที่จะกำจัดพระเจ้าเจมส์ทิ้งเพราะ ต้องการตั้งกษัตริย์ที่อาจจะมีตัวเองหนุนหลังอยู่ และต้องเป็นคาทอลิกแทน) โดยแผนการก็คือการเอาดินปืนจำนวน 36 ถังไปซุกไว้ในห้องใต้ถุนของรัฐสภาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605 ทว่าแผนการดันรั่วเสียก่อนส่งผลให้กาย ฟอว์กส์และพรรคพวกทั้งหมดถูกนำไปแขวนคอท่ามกลางเสียงตะโกนด่าทอของผู้คนในยุคนั้น แต่เรื่องราวของเขาไม่ได้ถูกลืมเลือน มีการฉลองให้เขาในวันที่ 5 พฤศจิกายนของทุกปีเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้

          นั่นเองที่ทำให้อลัน มัวร์นำเรื่องราวของเขามาเขียนเพื่อตั้งคำถามว่า จะเกิดอะไรหากอังกฤษตกอยู่ภายใต้ผู้นำเผด็จการที่ชั่วร้าย และประชาชนยอมรับสภาพนกในกรงทอง และเรื่องราวของวันที่ 5 พฤศจิกายนได้ถูกลืมเลือนไปในความทรงจำของผู้คน

          จนกระทั่งมีคนสวมหน้ากากปรากฏตัวขึ้นสร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาล และเขากลับกลายเป็นแรงบันดาลใจของผู้คน

          นี่คือ เรื่องราวของ V

          เรื่องราวของ V ถูกถ่ายทอดผ่านจากสายตาของหญิงสาวธรรมดาที่ชื่อว่า อีวี่ที่นับจากได้วีช่วยชีวิตเอาไว้ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงทันที

          อีวี่เป็นตัวละครที่เรียกได้ว่า ถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวแทนประชาชนชาวอังกฤษที่แม้ว่าจะโหยหาอิสรภาพมากเพียงใด โหยหาความจริงมากเพียงใด แต่พวกเธอก็ทำได้แค่กร่นด่ารัฐบาล ด่าสื่อที่เข้าข้างรัฐบาลในบ้านตัวเองเท่านั้นเพราะพวกเขานั้นกลัวว่า หากเสนอตัวหรือทำตัวต่อต้านขึ้นมาอาจจะไม่รอดพ้นสายตาของรัฐบาลไปได้ พวกเขาจึงเลือกจะอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น กระทั่งวีได้เข้ามาใช้ชีวิตและเปลี่ยนเธอทีล่ะน้อย

          แน่นอนว่า อีวี่เป็นตัวแทนของคนชนชั้นกลางที่สุดท้ายก็ยอมที่จะอยู่ในกรงมากกว่าจะแหกกรงออกไป นี่เองที่ทำให้ตอนที่วีให้เธอร่วมงานกับเขาด้วยการไปหลอกล่อบิช๊อบคนหนึ่ง เธอกลับบอกความจริงเขาจนหมดเพราะ กลัว กลัวว่า ตัวเองจะต้องเดือดร้อน กลัวว่า ถ้าแผนการของวีล้มเหลว เธออาจจะซวยไปด้วย นั่นเองที่ทำให้เธอยอมหักหลังเขาด้วยเหตุผลที่ว่า ยอมอยู่ในกรงดีกว่าตายเพราะ อิสรภาพที่ไม่เคยเห็น

          เราจึงเห็นในช่วงต้นเรื่องว่า อีวี่แสดงภาพของคนที่กลัวอำนาจรัฐ กลัวซัทเลอร์จนแทบสติแตกทั้ง ๆ ที่เอาจริงหลายอย่างเป็นแค่จินตนาการที่รัฐฝังใส่หัวของเธอว่า อย่างนี้ผิด การคิดแบบนี้ผิด

          เพราะกลัวนั่นเอง

          ส่งผลให้ V ต้องเอ่ยคำพูดคลาสสิคคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ขึ้นมาได้แก่

          ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาล แต่รัฐบาลต่างหากที่ควรจะกลัวประชาชน

          แน่ล่ะคำพูดนี้ไม่ได้เข้าหูตัวอีวี่เลยแม้แต่น้อย เธอกลับครุ่นคิดว่า ชายคนนี้ต้องสติไม่ดีแน่ ๆ ที่ทำแบบนี้ส่งผลให้เธอนั้นทำเรื่องโง่ ๆ ออกมา

          จนทำให้คนรอบข้างเธอได้รับผลกระทบไปด้วย

          กระทั่งวีได้เข้ามาเปลี่ยนความคิดของเธอได้ในที่สุด

          หากเรามองไปยังทรงผมของเธอที่ปรากฏในเรื่องนั้นจะพบว่า จากทรงผมสวย ๆ ของเธอที่แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันสับสนของเธอเอง (อย่างน้อยก็เห็นเธอเปลี่ยนทรงผมบ่อย ๆ ในเรื่อง) กลายเป็นทรงผมสกินเฮดที่ดูน่ารังเกียจ แต่เอาจริงแล้ว ทรงผมสกินเฮดของอีวี่นั้นมีความหมายเสมือนการขบถต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นั่นเอง

          หากมองย้อนไปในหนังเรื่องต่าง ๆ เราจะเห็นตัวละครที่ไว้ทรงผมนี้นั้นจะมีลักษณะของความเป็นขบฏไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ใด ๆ อาทิตัวละครของ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตันใน American History X ตัวละครของวิน ดีเซล ใน Fast And Furious เป็นต้น

          ตรงนี้เองสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอีวี่ที่ได้กลายเป็นผู้สานต่อเจตนารมณ์ V ไปแล้วในช่วงท้าย

          อีกหนึ่งตัวละครสำคัญในเรื่องนี้คงไม่พ้น สารวัตร ฟรินท์ ตำรวจมากประสบการณ์ที่ได้รับคำสั่งให้จับตัวของ V และอีวี่ไว้ให้ได้ แต่ทว่ายิ่งสืบเรื่องราวของ V มากแค่ไหนก็ยิ่งรู้สึกว่า รัฐบาลต่างหากที่เป็นคนสร้าง V ขึ้นมาเพราะ เหตุการณ์ในอดีตนั่นเองที่ทำให้เขาได้รู้แล้วว่า

          คนที่เขารัก เขาศรัทธานั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหายนะและการตายของผู้คนนับแสนเลยทีเดียว

          แถมเรื่องที่พวกเขารู้มาตลอดก็เป็นเรื่องหลอกลวงเท่านั้น

          นี่เองที่ทำให้สารวัตรฟรินท์เป็นตัวละครประเภทตาสว่างแต่ไม่ปากสว่างของแท้เลยทีเดียว

          ภาวะสับสนของเขาที่ไม่รู้ว่า เขาควรจะทำอย่างไรปรากฏขึ้นตลอดการสืบสวนทั้งเรื่อง ความเชื่อที่เขาคิดมาตลอดยี่สิบปีถูกทำลายลงจนหมดสิ้นด้วยการสืบตัวของชายคนนี้

          ที่ทำให้เขาได้รู้ทุกอย่าง

          จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบกับการตายของคนนับแสน นี่คือสิ่งที่เขาตั้งคำถามกับลูกน้องของเขาท่ามกลางสายตากังขาของลูกน้องว่า เขาจะทำอย่างไรต่อไป

          เมื่อสิ่งที่เขาศรัทธาได้พังทลายลงไปหมดสิ้นพร้อมกับอนาคตที่ไม่แน่นอนหลังการล่มสลายของรัฐบาล

          ถ้าพูดถึงหนัง ถ้าไม่พูดถึงท่านผู้นำซัทเลอร์ก็คงเป็นเรื่องเลวร้ายนัก เพราะเขาเป็นตัวละครสำคัญที่น่าสนใจอีกคนในเรื่องนี้เลยทีเดียว

          อดัม ซัทเลอร์ เป็นผู้นำเผด็จการที่มาจากเลือกตั้งนะครับ (หลายคนคิดว่า มาจากทหาร) แต่ทว่าเขานั้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลเก่ามาก่อน และจากนั้นก็ลงสมัครเลือกตั้งด้วยนโยบายแข็งกร้าวโดยใช้เรื่องราวไวรัสที่รัฐบาลทดลองขึ้นเองทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวและเลือกตั้งให้พรรคของเขาชนะถล่มทลาย

          โดยไม่คิดว่านั่นคือ จุดจบของสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพ

          อังกฤษในยุคของซัทเลอร์นั้นมีสภาพเป็นรัฐเผด็จการสมบูรณ์แบบทั้งการประกาศเคอร์ฟิวส์ห้ามคนออกจากบ้านยามวิกาล โดยมีตำรวจของซัทเลอร์คอยตรวจตราบ้างก็ใช้อำนาจหน้าที่ในการข่มเหงประชาชนแบบที่อีวี่ได้เจอในช่วงตอนต้น การดักฟังโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต และ การพูดคุยกันในบ้านที่ละเมิดสิทธิประชาชนโดยอ้างว่า เป็นการทำให้ประชาชนปลอดภัยจากผู้ก่อการร้ายไม่มีตัวตน การนำเสนอข่าวสารที่รัฐบาลกลั่นกรองเอาไว้จนหมดแล้วทำให้แทบไม่เหลือความจริงออกให้ประชาชนได้รับรู้ และแน่นอนว่าห้ามคิดต่างเป็นอันขาด

          เราจึงเห็นว่า รายการโชว์ของเดทริช คนรู้จักอีวี่ที่เอา V และซัทเลอร์มาล้อเลียนนั้นอาจจะถูกใจประชาชนแต่ไม่ถูกใจซัทเลอร์และกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลส่งผลให้เดทริชถูกจับและสังหารในที่สุดในฐานะคนคิดต่าง

          นอกจากนี้อังกฤษของซัทเลอร์ยังมีนโยบายกำจัดคนรักร่วมเพศอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ทั้งเกย์ ทอม เลสเบี้ยน ต่างถูกจับตัวไปขังไว้ในค่ายกักกันที่ไม่ต่างอะไรเลยกับค่ายทหารของนาซี แน่นอนว่า ทั้งหน่วยลับของซัทเลอร์ สัญลักษณ์พรรคและภาพลักษณ์เวลากล่าวปราศรัยของซัทเลอร์ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับฮิตเลอร์ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนมองว่า ฮิตเลอร์คือ ต้นแบบของเผด็จการที่เราสามารถมองเห็นได้ในบัดดลว่า

          มันคือการปกครองที่เลวร้ายและไร้เสรีภาพอย่างที่สุด

          แน่นอนว่า ภาพของหนังสร้างซัทเลอร์ให้เป็นเผด็จการจอมวายร้ายที่หลายคนกลัว แต่เอาเข้าจริงแล้วในช่วงสุดท้ายของหนัง เขากลับเป็นเพียงชายธรรมดาไร้พิษสงที่แสดงสีหน้าหวาดวิตกออกมาเมื่อถูกนำตัวออกมาจากที่ซ่อน เพราะความหวาดกลัวนั่นเอง

          เราจึงได้เห็นวาระสุดท้ายของจอมเผด็จการอย่างซัทเลอร์ว่า สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าและต้องตายด้วยกระสุนปืนของลูกน้องตัวเอง

          ถามว่า หนังวิพากษ์อะไรให้เราเห็นกันแน่

          แม้ว่า อลัน มัวร์จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อวิพากษ์มาร์กาเร็ต แท็ชเชอร์ในยุคของมันก็ตาม แต่ในบริบทของหนังนั้น มันได้วิพากษ์ประธานาธิบดีสหรัฐอย่าง จอร์จ ดับเบิล ยู บุชได้อย่างน่าสนใจโดยเฉพาะการตั้งคำถามเรื่องการสร้างความหวาดกลัวต่อประชาชนต่อสิ่งที่เรียกอาวุธภัยก่อการร้าย และ เชื้อโรค ส่งผลให้เขาได้รับการเลือกตั้งเพราะความกลัวที่ว่าโดยประชาชนอย่างถล่มทลายและส่งผลให้เขาเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศเป็นระบบเผด็จการอย่างเบ็ดเสร็จในที่สุด

          หนังจะบอกเราว่า อาวุธชีวภาพที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รัฐบาลชนะเพราะเอาความกลัวของคนเป็นที่ตั้ง แต่หารู้ไม่ว่า รัฐบาลนั้นล่ะที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาพร้อมกับการโกหกทางข่าวสารที่ทำให้คนหลายคนเกิดอาการตื่นกลัวส่งผลให้รัฐบาลซัทเลอร์ได้รับชัยชนะ

          แต่สิ่งที่ประชาชนไม่ได้รู้ก็คือ ผลประโยชน์อันมหาศาลของรัฐบาลที่ได้รับจากนั้นทั้งยาเสพติด ทั้งวัคซีนต้านเชื้อโรคและอื่นมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ทำให้คนในรัฐบาลจำนวนมากได้ตั้งตวงผลประโยชน์อย่างมหาศาล

          จะต่างอะไรกับอเมริกาที่แม้ว่าจะสูญเสียไปมากมาย แต่พวกเขาตักตวงผลประโยชน์กลับมาจากน้ำมันมหาศาลในอิรัก หรือ ทรัพยากรอื่น ๆ อีกมากมายจนคุ้มค่าหลายคนรวยจากวิกฤตครั้งนี้

          และเพราะ สงครามความหวาดกลัวนี่เองที่ทำให้รัฐบาลสามารถออกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพออกมาได้มากมาย จนกระทั่งประชาชนไม่เหลือสิทธิกระทั่งจะคิดเห็นอย่างไรได้อีกเลย

          ทำไมรัฐต้องปิดปากประชาชน ด้วยคำตอบที่ง่ายว่า รู้มากก็ยิ่งปกครองได้ยาก เขาจึงเลือกปิดหูปิดตาเพราะประชาชนจะเชื่อสิ่งที่พวกเขาบอกเล่าไว้อย่างง่ายดาย

          ขณะที่ประชาชนผู้เห็นต่างถูกฆ่า บางคนรู้ว่าผิดก็ยอมสวามิภักดิ์ บางคนเลือกเงียบปาก บางคนถูกกำจัด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอังกฤษตอนนั้น

          และเป็นเวลาเดียวกับที่ V ปรากฏตัวขึ้น

          แน่นอนว่า V เป็นตัวแทนของบุคคลที่มีความแค้นส่วนตัวกับรัฐบาลโดยเฉพาะ เขาใช้สิ่งที่เรียกว่า เสรีภาพหลังการล้มรัฐบาลมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้แผนแก้แค้นของตนเองสำเร็จจนเราสงสัยขึ้นมาว่า เอาจริงแล้ว V เป็นคนที่รักประชาธิปไตยรักเสรีภาพจริง ๆ หรือเปล่า

          หรือเขาจะเป็นแค่บุรุษที่คลั่งแค้นกันแน่

          ในหนังจะบอกว่า V นั้นเป็นคนที่จับตัวอยู่ในค่ายกักกันคนคิดต่าง คนที่แตกต่างและรอดชีวิตมาได้ เขาเป็นชายถูกทรมานจนไม่หลงเหลือความอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วยกเว้นก็เพียงแค่จดหมายดาราหญิงที่อยู่ห้องข้าง ๆ เท่านั้นที่เป็นกำลังใจให้เขารอดชีวิตออกไปจนกระทั่งวันที่เกิดระเบิดขึ้นในค่ายกักกันและทำให้เขาหลุดออกมาได้ในที่สุด

          พร้อมกับความแค้น

          หน้ากากในหนังเรื่องนี้จึงมีสภาพอุปมาอุปมัยถึงการซ่อนความจริงที่อยู่ด้านใน เพราะในหนังฮีโร่แทบทุกเรื่องหน้ากากนั่นมีความหมายในเชิงอุปมาอุปมัยในบริบทต่าง ๆ อย่างเรื่องนี้เป็นการเปรียบเทียบถึงการเล่นละครหลอกกันไปมาโดยไม่เผยความจริงให้ได้รู้

          V จึงมีสภาพเป็นตัวละครที่ใช้อุดมคติผสมไปกับความแค้นที่ทำให้ตัวเองยังคงมีชีวิตเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

          พร้อม ๆ กับที่เขาได้พบว่า ชีวิตของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับอีวี่ ตัวตนของเขาที่เกิดจากความแค้นนั้นจึงมีท่าทีสับสนขึ้น และเริ่มรู้สึกรักแก่ผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาจนได้

          ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากตอนที่อีวี่บอกให้เขาหนีไปกับเธอ เขาจะแสดงอาการสับสนออกมาเพราะ เอาจริงแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า เขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเธอคนนี้ต่อไป

          ความแค้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าอยากจะอยู่เคียงข้างเธอต่อไป

          แต่เขากลับทำไม่ได้

          เพราะ V เกิดได้เพราะความแค้น เขาอยู่เพื่อรอวันนี้ต่างหาก

          นั้นเองที่ทำให้เรารับรู้ว่า ชายที่ชื่อ V นั้นไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรเลย คำพูดสวยหรู หนังสือเป็นกองโตที่เขาพูดในช่วงแรกและทำให้เรารู้สึกศรัทธากลับเป็นเพียงหน้ากากหนึ่งที่เขาสร้างหลอกเราว่า เขามีอุดมการณ์ เขาต้องการประชาธิปไตย แต่เอาจริงแล้วเขาก็แค่ปีศาจแห่งความคลั่งแค้นที่มีชีวิตอยู่เพื่อการนี้เท่านั้น

          ดังนั้นหน้ากากอันเย้ยหยันของกาย ฟอว์สก์ที่เขาสวมจึงมีลักษณะของความเจ้าเล่ห์ ไม่น่าวางใจ เป็นเพียงเครื่องมือปกปิดอย่างหนึ่งเท่านั้น

          แบบเดียวกับที่นักการเมืองในเรื่องสวมหน้ากากบอกว่าทำเพื่อประชาชน แต่เอาเข้าจริงแล้ว พวกเขากลับโกบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองและพวกพ้อง โดยลืมประชาชนหมดสิ้น

          ประชาชนหลายคนต้องทำตัวศรัทธาในซัทเลอร์ แต่ที่จริงแล้วหลับหลังพวกเขากลับด่าทอ ต่อว่า แต่ไม่กล้าเสนอตัว

          และเพราะเช่นนี้หลังจากแก้แค้นคนที่ทำให้เขาเป็นปีศาจได้ V จึงตาย และเป็นหน้าที่ของอีวี่ที่อยู่เบื้องหลังว่า จะเลือกทำตามอุดมคติที่ V พูดไว้หรือไม่

          และเธอก็ทำตามนั้น

          ดังนั้นคำว่า V จึงไม่ใช่เพียงอักษรโรมันที่มีความหมายว่า 5 ตามตู้ที่ V รอดชีวิตมาเท่านั้น แต่จริงแล้วมันมีนัยยะถึงบทกลอนในห้อง V และภาษาอ่านของมันอ่านว่า วี

          วี สามารถเขียนได้ว่า WE ที่แปลว่า เรา

          เป็นนัยยะที่แยบยลและคู่ขนานกับเรื่องราวได้ดี เพราะขณะที่เรากำลังซาบซึ้งไปกับอุดมการณ์ของ V หนังกลับลักลั่นให้เราเห็นว่า V เป็นแค่คนที่คลั่งแค้นที่เอาอุดมคติสวยหรูมาหลอกเราเท่านั้น

          สมดังคำถามว่า เขาคือวีรบุรุษหรือคนบ้า เขาคือผู้ปลดปล่อยหรือฆาตกร เขาคืออะไรกันแน่ นี่คือ Theme ของหนังที่ตั้งคำถามกับมุมมองของเราว่า

          สุดท้าย V คืออะไรกันแน่

          V จะเป็นใครไม่สำคัญอีกแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การที่ประชาชนรู้จักลุกขึ้นยืน ต่อสู้ คิด และสงสัย เพราะถ้าเพียงคุณสงสัยในตัวของ V หรือสิ่งรอบตัวแล้ว

นั่นย่อมบอกว่า คุณกำลังเริ่มที่จะเห็นแสงสว่างของความจริงที่ปลายอุโมงค์แล้วนั่นเอง

          และปลายอุโมงค์นั่นคือ อะไร

                อยู่ที่ประชาชนอย่างเราต่างหากที่จะตัดสิน

                นั่นคือ หัวใจหลักของประชาธิปไตยมิใช่หรือ

                เราเลือกผู้นำที่เราต้องการ เราเลือกที่จะฟัง จะดู จะอ่าน จะพูด จะเขียน อย่างไรก็ตาม

                เพราะนี่คือ เสรีภาพอันมีค่าของมนุษย์น่ะเอง

 

 

         

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ
Mister American
               “จูออน คือ คำสาปของผู้ที่ตายด้วยความเคียดแค้น ณ สถานที่ที่ตาย ผู้ที่เผชิญหน้ากับมันจะต้องตาย และ คำสาปแช่งใหม่จะถือกำเนิด”
Mister American
“เสียงปืนที่ดังขึ้นภายในงานเลี้ยงของกำนันผู้มีอิทธิพลในจังหวัดเชียงรายดังขึ้น ร่างของกำนันคนดังล้มลงกองกับพื้น หลังจากพึ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน เสียงหวีดร้องของผู้คนในงาน เสียงร่ำไห้ และ ความตื่นตะลึงเกิดขึ้น มือปืนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของศพที่แน่นิ่งจมกองเลือดอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ ข