Skip to main content

                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เจสัน วอร์ฮีย์ แห่ง Friday 13th , ไมเคิ่ล เมเยอร์ แห่ง Halloween และบรรดาหนังสยองขวัญระดับตำนานเรื่องอื่น ๆ ทีเดียว ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์ของพินเฮดที่มีตะปูอยู่รอบใบหน้ากับชุดหนังสุดฟิตเหมือนพวก SM หรือบรรดาซีโนไบรต์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาได้อย่างดีจนน่าจดจำแทบทุกตัว

                ที่นี่พอมีภาคใหม่มาก็มีคนหลังไมค์มาถามว่า ควรจะดูภาคไหนบ้าง เนื่องจาก Hellraiser นั้นถูกสร้างมาแล้ว 10 ภาค และ ภาคที่กำลังฉายนี้ก็ไม่ใช่รีบู้ท แต่เป็นภาคต่อและอยู่ในจักรวาลเดียวกันก็ทำเอาทุกคนพากันสนอกสนใจว่า ถ้าจะเริ่มดูเรื่องนี้ควรจะดูภาคไหนดี

                สำหรับผมแล้ว Hellraiser ควรจะดูภาค 1-4 โดยเฉพาะ ภาค  4 ที่ควรจะดูอย่างยิ่ง

                เพราะนี่คือ จุดเริ่มต้นและบทสรุปของเรื่องนี้ที่หลายคนรอคอย

                เนื่องจากหลังจากนี้ Hellraiser ภาคต่อจะเป็นการหยิบเอาบทหนังเรื่องอื่นมาแปลงแล้วใส่ตัวของพวกซีโนไบรต์กับพินเฮดเข้าไปแทน ซึ่งเกิดขึ้นมาจากค่ายที่ซื้อลิขสิทธิ์มาอย่าง Miramax นั้นต้องการจะต่อลิขสิทธิ์ในการทำภาคต่อของเรื่องนี้ต่อไป (ตามสัญญาที่ทำไว้ว่า ถ้าไม่มีการทำภาคต่อ สิทธิจะกลับไปอยู่กับไคล์ฟ บาร์เกอร์ ผู้กำกับและคนเขียนนิยายตามเดิม ซึ่งเขาจะขายให้ค่ายอื่นก็ได้) ส่งผลให้ Miramax ต้องให้เอาบทหนังที่มีมายำ ๆ ใส่แล้วต่อลิขสิทธิ์ไปเรื่อย ๆ แทน อาจจะเพราะเนื่องจากหนังตั้งแต่ภาค 5 อย่าง Inferno เป็นต้นไป หนังชุดนี้จะถูกส่งลงวีดีโอทั้งหมดทำให้ทุนสร้างน้อยลงพร้อมกับแนวทางของหนังที่เปลี่ยนไปด้วย

                และสำคัญคือ เนื้อหาของภาค 5- 11 ก็ยังวนเวียนอยู่ในยุคปัจจุบันเกือบทั้งหมด หากลำดับไทม์ไลน์ของเรื่องภาคที่ 4 อย่าง Bloodline คือจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของเรื่องอย่างแท้

                เพียงแค่ ณ เวลาที่หนังถูกสร้างขึ้นมานั้นเรื่องนี้เต็มด้วยปัญหามากมายจนถึงขั้นผู้กำกับอย่าง Kevin Yagher ถึงใช้ชื่อกำกับว่า Alan Smithee ที่เป็นชื่อแฝงปลอมเวลาผู้กำกับไม่ยอมรับเครดิตจากหนังที่ทำอันมาจากห่วยแตก ถูกบังคับแทน

                เรื่องราวของ Bloodline เริ่มต้นจากความสำเร็จของหนังสามภาคแรกของ Hellraiser ที่ทำเงินรวม ๆ ไปเกือบ 40 ล้านดอลลาร์จากทุนสร้างรวม ๆ ไม่ถึง 10 ล้านดอลลาร์ส่งผลให้ค่ายหนังอย่าง Miramax อยากจะทำภาคต่อทันที ทว่า ยังมองหาไอเดียสร้างต่อไม่ได้เสียที จนกระทั่ง ตัวไคล์ฟ บาร์เกอร์ ผู้เขียนนิยายและผู้กำกับภาคแรกที่เป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังชุดนี้ได้เห็นว่า หนังภาคนี้ควรมีความแปลกใหม่และสดกว่าเดิม โดยเฉพาะการเล่าเรื่องแบบหลายช่วงเวลาพร้อมกัน ซึ่งตัวของ ปีเตอร์ แอคกิ่น ผู้เขียนบทเรื่องนี้ก็นำแนวคิดนี้ไปเขียนเป็นเรื่องราวของการกำเนิดลูกบิด และ ผู้สร้างของมันอย่าง Philip LeMarchand ซึ่งไอเดียนี้สร้างความสนใจให้กับ Miramax มากและอนุมัติให้ถ่ายทำได้เลยทั้งที่บทยังไม่เสร็จ !!

                แน่นอนว่า เมื่อได้รับไฟเขียวให้ทำแล้วทั้งตัวของไคล์ฟ บาร์เกอร์ และ ปีเตอร์ แอดกิ่นเองก็จัดการปั่นบทกันรัว ๆ โดยคาดหวังว่า นี่จะเป็นภาคต่อที่ดีที่สุดของ Hellraiser ที่จะเหนือกว่าภาคสองและสามเสียอีก นั่นทำให้บทภาพยนตร์ร่างแรกนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาที่รุนแรง ซีโนไบรต์หลายตัวจะปรากฏตัวในคราวนี้ การเผชิญหน้าระหว่างราชินีนรก แองเจลิค กับ พินเฮดที่จะดุเดือดยิ่งกว่าครั้งใด แถมบทภาพยนตร์ยังเล่าเรื่องตามลำดับเวลาจากอดีตสู่อนาคต ด้วยความที่บทมันเขียนขึ้นมามันมือไปหน่อยทำให้ต้องใช้ทุนสร้างสูงมากกว่าที่คิด (คาดการณ์ว่าทุนน่าจะหลักสิบล้าน) ส่งผลให้ Miramax ไม่โอเค หากจะใช้ทุนสร้างมากขนาดนี้ ทำให้ตัวของปีเตอร์แอ็คกินต้องแก้ไขบทใหม่ให้ลดทุนสร้างลงเพื่อให้สามารถอยู่ในงบของสตูดิโอได้

                แต่เนื่องจากทุนสร้างมันน้อยเกินไปที่จะเนรมิตความอลังการที่วางเอาไว้ได้ส่งผลให้ผู้กำกับหนังภาคนี้อย่าง  Stuart Gordon (Re-Animator , From Beyond) ขอโบกมือลา เนื่องจากความคิดไอเดียสร้างสรรค์ไม่ตรงกันกับสตูดิโอ ส่งผลให้ต้องมองหาผู้กำกับใหม่มาคุมโดยด่วน และ คนที่กำกับก็ไม่ใช่ใครนอกจากผู้ทำหน้าดูแลงานสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กซ์จากหนังดัง ๆ อาทิ Nightmare on the elm street อย่าง Kevin Yagher ที่พึ่งผ่านงานกำกับหนังสั้นในชุด Tales from the Crypt มาหมาด ๆ และ ได้รับคำชมไม่ใช่น้อยมีวิสัยทัศน์และทำงานในสภาพทุนน้อยได้อย่างดี (ซึ่งเหมาะกับหนังเรื่องนี้มาก)

(Kevin yagher ผู้กำกับของหนังชุดนี้ถ่ายภาพคู่กับพินเฮด)

                แน่นอนว่า Kevin Yagher รู้สึกลังเลไม่ใช่น้อยกับการกำกับหนังเรื่องนี้ เพราะ เขากลัวว่า หนังจะไม่สดใหม่หรือซ้ำซากแบบภาคเก่า ๆ แต่ไอเดียเรื่อง พินเฮดบนยานอวกาศ และ เรื่องราวจุดเริ่มต้นและกำหนดของลูกบาศก์ในเรื่องที่ไคล์ฟ บาร์เกอร์ ไปกล่อมมาทำให้เขาสนใจและตอบรับการกำกับหนังเรื่องนี้

(Gary J Tunnicliffe ผู้ทำเมคอัพอาร์คติสให้กับ Hallraiser ตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นไป)

                ทว่าการมาของ Kevin Yagher กลับทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นกับเมคอัพอาร์คติสที่อยู่กับทีมในภาคสามอย่าง Gary J. Tunnicliffe ที่กังวลกับท่าทีของ Yagher ที่พยายามมาจุ้นจ้านกับงานของเขาอยู่บ่อย ๆ จนต้องมีการแบ่งงานกันว่า ตัวของ Gary J. Tunnicliffe จะดูแลงานเมคอัพซีโนไบรต์และเอ็ฟเฟ็กซ์ทั้งหมด ส่วน เจ้าหมาซีโนโบรต์นั้น Kevin Yagher จะดูแลเอง (ก่อนหน้านี้ทั้งคู่มีปัญหากันเรื่องการเมคอัพ Pinhead ที่ตัวของ Yagher อยากให้ใช้เทคนิคแต่งงานหน้าแบบภาค 3 ที่สามารถประหยัดเวลาในการทำมากกว่า แต่ต้องใช้เงินเยอะ ส่วน Gary J. Tunnicliffe นั้นมองว่า เทคนิคในหนังแรกกับสองดูดีกว่า และ จบที่ใช้วิธีเดิมตั้งแต่ภาคแรกแทน)

                ระหว่างที่ผู้กำกับเมคอัพตีกันอยู่นั้น ฝ่ายเขียนบทก็ต้องนั่งแก้บทใหม่อีกรอบ เพราะสตูดิโอมองว่า ทุนยังแพงไป (ตัดจนเหลือแค่ 3 ล้านดอลลาร์) ทำให้หลายฉากต้องเอาออกไปอีกเรียกได้ว่า แทบโล่งเหมือนย้ายบ้านเลยด้วยซ้ำ

                แต่นั้นยังไม่เท่ากับการไปถ่ายทำที่  I. Magnin Building ที่ Los Angeles ที่มีข่าวลือว่า ผีดุสุด ๆ (แถมยังเป็นสถานที่ล่าท้าผีของใครหลายคนอีกต่างหาก) จนทีมงานขนหัวลุก เพราะมีข่าวลือว่า ระหว่างถ่ายทำก็โดนปรากฏการณ์แปลก ๆ อาทิ ไฟติด ๆ ดับ ๆ เอง ประตูในตึกปิดเอง หรือ ข้าวของย้ายไปย้ายมาได้ กลายเป็นเรื่องคนหัวลุกกันไป (แต่ไม่มีการยืนยันนะว่า เรื่องจริง) ตัวตึกนี้ถูกดัดแปลงเป็นฉากในยานอวกาศของเรื่อง

  I. Magnin Building ที่ Los Angeles ตึกที่ใช้ถ่ายทำหนังภาคนี้ที่มีข่าวลือว่า ผีดุมาก !!

                สิ่งที่น่าสนใจคือ หนังเรื่องใช้เวลาทำตั้งแต่เดือนกรกฏาคมปี 1994 และมาเสร็จสิ้นเอาในปี 1995 เรียกว่าถ่ายทำกันยาวเป็นปีทีเดียว

                แน่นอนว่า ระหว่างถ่ายทำนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นถล่มทลายทำให้ Doug Bradley บ่นออกมาเลยว่า นี่มันการถ่ายทำหนังจากนรกชัด ๆ

                เริ่มต้นด้วย Gerry Lively ตากล้องจากหนังภาค 3 ถูกเรียกมาแทนที่ตากล้องคนเดิมที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่ทีมศิลป์ของหนังเองก็มีปัญหากับสตูดิโอจนถูกไล่ออกเรียบในสัปดาห์แรก ซึ่ง Doug Bradley บอกว่า ระหว่างการถ่ายทำมีทีมงานและนักแสดงป่วยอยู่ตลอดโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่เรื่อย ๆ ส่งผลให้หนังเต็มไปด้วยความเครียดและวุ่นวายตลอดเวลา แต่ถึงจะวุ่นวายมากมายแค่ไหน หนังก็ถ่ายทำจนเสร็จในช่วงปี 1995 ตามเวลาพอดี

                ทว่าปัญหาสองก็เกิดขึ้น

                ด้วยเหตุผลว่า หนังภาคนี้ราชินีนรก แองเจลิค มีบทเด่นมากกว่าพินเฮดซะอีกส่งผลให้ทาง Miramax ที่ได้ชมหนังฉบับแรกแล้วอยากให้ พินเฮด บทเด่นกว่านี้ และ มีการออกมากว่านี้จึงทำให้พวกเขาสั่งรีถ่ายทำใหม่ ซึ่งทำให้ปีเตอร์แอดกินถึงส่ายหัวกับแนวคิดนี้ แต่ก็ไม่อาจจะทัดทานคำของสตูดิโอได้จึงต้องไปแก้บทใหม่เขียนให้พินเฮดมีบทมากขึ้น และ ใส่เนื้อหาในช่วงอดีตมากเพิ่มเติม และ เปลี่ยนตอนจบใหม่ให้จบอย่างมีความสุข (ต้นฉบับเดิมจะจบอย่างมืดมน) แทน แน่นอนว่า การถ่ายทำใหม่นี้ทำให้ตัวของ Doug Bradley บ่นอุบ เพราะ ไม่อยากถ่ายทำใหม่ และ การแทรกแซงของสตูดิโอนี้ทำให้ตัวผู้กำกับอย่าง Kevin Yagher ไม่โอเคและไม่กลับทำถ่ายใหม่อีก

                นั่นทำให้ทางสตูดิโอต้องหาผู้กำกับใหม่มาคุมการถ่ายทำ Reshoot  โดยไวที่สุดเพื่อให้ทันลงโรงตามกำหนด หวยไปออกที่ Joe Chappelle ผู้กำกับจาก Halloween: The Curse of Michael Myers ภาค 5 ของไมเคิ่ล เมเยอร์มากำกับแทน โดยร่วมงานกับ ปีเตอร์ แอ็คกิ่น ที่เขียนบทเพิ่มให้ก่อนจะออกจากโปรเจ็ทไป ซึ่งตัวของไคล์ฟ บาร์เกอร์ ได้ตัวของ Rand Ravich ผู้เขียนบทจาก Candyman: Farewell to the Flesh มาช่วยแทน

(Joe Chappelle ผู้กำกับ Reshoot Hellraiser 4 ขณะที่ถ่ายทำหนังภาค 6 ของ halloween the curse of michael myers)

                การ Reshoot ใช้เวลาสองเดือนได้แก่ เดือนเมษายน จนถึง พฤษภาคม 1995 ที่ที่ตัวของ Doug Bradley บอกว่า มันไม่ใช่การ Reshoot แต่ถ่ายใหม่เลย หลายฉากที่มีอยู่เดิมโดนเอาออกแล้วใส่ฉากใหม่เข้าไป ทั้งกำเนิดราชินีนรก แองเจลิค ความสัมพันธ์ของเธอกับพินเฮด และ การเกี่ยวข้องของผู้สร้างลูกบาศก์ก็เอาออก เพิ่มเลือดและความรุนแรงมากขึ้น ความสัมพันธ์ของพินเฮดกับแองเจลิคก็เป็นปฏิปักษ์มากกว่าในฉบับเดิมจนเรียกว่า ไปคนละทางกับหนังตอนแรกโดยสิ้นเชิง

                ผลคือ เมื่อถ่ายทำและตัดต่อเสร็จ Hellraiser 4 มีความยาวแค่ 85 นาทีเท่านั้น ซึ่งต่างเวอร์ชั่นแรกของ Yagherที่ยาว 111 นาที และที่สำคัญเนื้อเดิมของ Yagher แทบไม่เหลือเลยจนเจ้าตัวที่ดูหนังเวอร์ชั่น Reshoot ก่อนฉายถึงกับบอกว่า นี่ไม่ใช่หนังผม หนังเรื่องนี้ผิดกับที่ผมวางเอาไว้หมด และ ขอให้เอาชื่อของเขาออกจากหนัง และ นำไปสู่การใช้เครดิตแฝงว่า Alan Smithee ไปในที่สุด

                ภายหลังมีการเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้ว Joe Chappelle ถูกวางเอาไว้เป็นผู้กำกับเรื่องนี้แต่ต้น เพียงแค่เขาติดงานกำกับหนังภาคต่อของไมเคิ่ล เมเยอร์อย่าง Halloween: The Curse of Michael Myers อยู่พอดีจึงต้องบอกปัดไป แต่สุดท้ายเขาก็ได้มากำกับหนังเรื่องนี้ในฐานะคน Reshoot แทน Yagher แน่ะเอง

                หนังได้ออกฉายในปี 1996 พร้อมทุนสร้างรวมที่ 4 ล้านดอลลาร์ แน่นอนว่า หนังยังทำเงินไปได้ถึง 9.3 ดอลลาร์ พร้อมกับเสียงด่าของคนดูว่า เป็นภาคที่อ่อนด้อยที่สุด และ หลายคนไม่ชอบหนังเลย แถมมองว่า หนังห่วยสุด ๆ หรือ ไม่ขลังเท่าของเก่า แม้กระทั่งบลูเรย์ฉบับ Remaster ของ Arrow ยังออกแค่สามภาคแรกเท่านั้นเอง

                แม้จะได้รับการตอบรับที่ไม่ดีหนักในช่วงแรก แถมนี่ยังเป็นภาคสุดท้ายที่ได้ฉายโรงด้วย Hellraiser 4 : Bloodline กลับเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างมากจนแทบจะฉีกไปจากหนังภาคก่อน ๆ โดยเฉพาะ ไอเดียการเล่าเรื่องต้นกำเนิดของลูกบาศก์ เหล่าซีโนไบรต์ ไปจน การพาไปพบกับจุดจบอันสิ้นสุดของลูกบาศก์นี้ก็เรียกได้ว่า เป็นบทสรุปที่กล้ามากที่ให้เรื่องราวของลูกบาศจบลงในภาคนี้ (ต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นที่ไม่กล้าให้หนังอวสาน)

                สิ่งที่น่าสนใจคงไม่พ้นเหล่าซีโนไบรต์ที่ภาคนี้ออกมาแบบมาได้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น แฝดสยามที่ทำออกมได้โหดน่ากลัวมาก ๆ (แค่เห็นยังคิดว่า คิดได้ไง) หรือ Chatterer Beast ที่เป็นหมานรกออกน่ากลัวดี (ไม่แพ้เฮีย Chatterer ในภาคเก่า ๆ ก่อน) ขณะที่พินเฮดยังคงทรงอำนาจในจอเช่นเดิม แม้ว่าจะมีตัวละครที่มาแย่งความเด่นอย่าง แองเจลิคก็ตาม กลับเป็นว่า พลังอำนาจของเธอไม่มากเท่า

                นอกจากนี้หนังยังคงสะท้อนภาพของมนุษย์ได้ดี ถึงความโลภ ความอยากรู้อยากเห็น และ ความชั่วร้ายของมนุษย์เองที่พร้อมหักหลัง พร้อมทำเรื่องผิดศีลธรรมเพื่อความต้องการตัวเองโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครเดือดร้อนหรือต้องรับความเดือดร้อนไปด้วยเสมอ

                ความอยากรู้อยากเห็นนี่ละทำให้ตระกูล Philippe "Toymaker" Lemarchand สร้างลูกบาศก์ขึ้นมาจนนำพาพวกซีโนไบรต์ไปสู่โลก ตัวของพินเฮดเองก็อยากได้เจ้าลูกบาศก์นี้ หรือ บรรดาผู้คนมากมายต่างก็เข้ามาเล่นลูกบาศนี้จนกลายเป็นต้องประสบพบเจอกันแทบทั้งสิ้น

                ดั่งคำที่พินเฮดบอกว่า มนุษย์เราชื่นชอบความเจ็บปวด และ พิสมัยมันจากส่วนลึกของหัวใจ ขณะเดียวก็ปรารถนาความพินาศหรือชิบหาย ปากจะบอกไม่ แต่ใจเราก็ชื่นชอบสิ่งนี้อย่างไม่รู้ตัว

                นี่คือ เหตุผลที่ทำให้ทายาทรุ่นสุดท้ายของตระกูล Lemarchand ให้มันอยู่ในอวกาศตลอดกาล

                ไม่ให้ใครได้มีโอกาสได้พบกับเจ้าลูกบาศก์นี้อีกต่อไป

                แน่นอนว่า บทสรุปดูท่าจะเป็นจุดจบที่ทุกคนยอมรับ แม้แต่ไคล์ฟ บาร์เกอร์เอง หรือ คนสร้างหนังจากนี้ต่างบอกว่า หนังทุกเรื่องที่สร้างจากจะเป็นภาคก่อนหน้านี้ภาคนี้ทั้งสิ้น

                แม้กระทั่งภาค 2022 ที่กำลังจะฉายนี้เอง

                เพราะจุดจบและเริ่มต้นของมันเกิดขึ้นไปแล้วที่เหลือคือ เรื่องราวที่สานต่อแบบที่ผู้กำกับของภาค 2022 บอกว่านี่คือ เรื่องราวในจักรวาลเดียวกันและเป็นภาคต่อของหนังชุดนี้

                ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ตำนาของพินเฮลและเหล่าซีโนไบรต์ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานต่อไป

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ
Mister American
               “จูออน คือ คำสาปของผู้ที่ตายด้วยความเคียดแค้น ณ สถานที่ที่ตาย ผู้ที่เผชิญหน้ากับมันจะต้องตาย และ คำสาปแช่งใหม่จะถือกำเนิด”
Mister American
“เสียงปืนที่ดังขึ้นภายในงานเลี้ยงของกำนันผู้มีอิทธิพลในจังหวัดเชียงรายดังขึ้น ร่างของกำนันคนดังล้มลงกองกับพื้น หลังจากพึ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน เสียงหวีดร้องของผู้คนในงาน เสียงร่ำไห้ และ ความตื่นตะลึงเกิดขึ้น มือปืนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของศพที่แน่นิ่งจมกองเลือดอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ ข