Skip to main content

มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ
น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (
http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)


เหตุเกิดตอนที่ฉันเพิ่งย้ายบ้านสี่ขาจากอีสานเข้ามาอยู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพฯ ตามสภาพงานและชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆในตอนนั้น


อะไรนะคะน้าอู๊ด”ฉันยังปรับสติไม่ทันเพราะเพิ่งลากสังขารลงจากรถประจำทาง แถมยังตกใจเงาดำๆ ของคนที่โผล่เข้ามาประชิดตัวตอนไขกุญแจรั้วบ้าน
มีคนเขาว่าเราน่ะไปดูถูกเขา” น้าอู๊ดพูดซ้ำ
ฮ้า ดูถูก ใคร ยังไง ตอนไหนเหรอคะ” ฉันถามแบบงงๆ ชีวิตนี้อาจจะไม่แน่ใจว่าเคยดูใครผิดมาบ้าง แต่แน่ใจอยู่อย่างว่าไม่เคยดูถูก

แถมนอกจากน้าอู๊ดที่ขายขนมปังนมสดเลิกดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืนแล้ว ฉันผู้ซึ่งออกจากบ้านแต่เช้ามืดและกลับดึกเป็นนิจสินก็แทบไม่ได้พูดคุยกับใครในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้

คิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก ได้แต่ยืนทำตาปริบๆ

เขาว่าเราแกล้งเอาชื่อลูกเขามาตั้งให้หมา” น้าอู๊ดแจงข้อหาให้ฟัง
ฮ้า เอาชื่อลูกเขามาให้หมา หมาตัวไหนคะ” ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก
น้ำว้าไง” น้าอู๊ดเฉลย

.................

น้ำว้า เป็นหมาตาโต ตัวเตี้ย ขนสีน้ำตาล มีขาสีขาวครึ่งๆ กลางๆ อยู่ข้างหนึ่ง คล้ายๆ เด็กใส่ถุงเท้าไม่ครบ

ฉันเจอน้ำว้าในวันที่มันยังเป็นลูกหมาน้อย กำลังร้องโหยหวนด้วยความหิว ในย่ามฉันตอนนั้นมีแต่กล้วยน้ำว้าสุก จึงหยิบมาทำกล้วยย้ำ คือเอาใส่ปากเคี้ยวให้นิ่มเละ คายใส่มือแล้วยื่นให้ลูกหมา มันกินกล้วยอย่างตะกรุมตะกราม กินเอา กินเอา จนท้องป่อง

แม่ของน้ำว้าเป็นหมาในบ้านหลังใหญ่ อยู่ๆ เกิด “ท้องไม่มีพ่อ” แต่เจ้าของไม่ต้องการลูกหมาไร้สกุลรุนชาติ น้ำว้าได้มาอยู่บ้านสี่ขาเพราะฉันโชคดีไปเจอก่อนที่มันจะกลายเป็นหมาข้างถนน

น้ำว้าเป็นหมานิยมธรรมชาติ มันชอบวิ่งเข้าไปในดงดอกหญ้าสูงๆ ดมนั่นคุ้ยนี่ ไส้เดือนบ้าง ก้อนหินบ้าง บางทีก็ไปนั่งมองผีเสื้อ ฉันสงสัยเสมอว่าน้ำว้าคิดอะไรอยู่

ครั้งหนึ่ง น้ำว้าไปนั่งแหงนคออยู่ใต้ต้นลั่นทมเป็นนานสองนาน นั่งนิ่งเงียบไม่ขยับจนน่าสงสัย


ฉันย่องเข้าไปนั่งยองๆ ข้างๆ น้ำว้า แล้วแหงนหน้าในองศาเดียวกับมัน จึงได้เห็นว่า บนคาคบไม้ที่เจ้าน้ำว้ากำลังสนใจนักหนานั้น เป็นงูตัวเท่าแขน
!

งูนอนขดเป็นวงอยู่ระหว่างกิ่งลั่นทมงอๆ สองกิ่ง ทิ้งปลายหางลงมา ดูหมิ่นเหม่น่าตกเป็นอย่างยิ่ง มันนอนนิ่งเหมือนหลับ

ฉันตัวแข็งไม่กล้าขยับอยู่พักใหญ่ กะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว วางแผนว่าถ้างูเผลอจะค่อย ๆ ชวนน้ำว้าย่องหนี

กำลังวางแผนเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะอยู่ๆ น้ำว้าก็เห่าออกมาโฮ่งหนึ่ง


เฮ้ย เห่าทำไมเล่า” ฉันตะครุบปากน้ำว้า ใจสั่นระรัวกลัวงูตื่น ตาฝาดหรือเปล่าไม่รู้ที่เห็นหางงูแกว่งเบาๆ ฉันกัดฟันอุ้มน้ำว้าโกยแน่บออกมาจากตรงนั้นสุดชีวิต

อดสงสัยไม่ได้ว่า ที่น้ำว้าเห่าใส่งูนั้น มันตั้งใจเห่าไล่หรือว่าเห่าทักทาย ประสาหมามีสุนัขสัมพันธ์

...................

เด็กๆ ในหมู่บ้านชอบน้ำว้า มักจะพากันวิ่งมาตะโกนเรียก น้ำว้าจะกระโดดโลดเต้นไปยืนสองขาเกาะรั้ว หางส่ายรัวอย่างตื่นเต้นดีใจที่จะได้กินขนม

แต่ฉันเพิ่งรู้ว่ามีผู้ใหญ่ไม่ชอบ


แล้วเขาพูดหรือเปล่าว่าจะให้หนูทำยังไง” ฉันถามน้าอู๊ดผู้ทำหน้าที่ประหนึ่งประชาสัมพันธ์หมู่บ้าน
เขาให้เราเปลี่ยนชื่อหมา อย่าเอาชื่อลูกเขาไปใช้ เขากลัวลูกมีปมด้อย
อะไรกันเนี่ย” ฉันคราง “แล้วคนชื่อแมว หมี หมู หนู นก เป็ด ไก่ กุ้ง กบ กระต่าย ปลา สารพัดสัตว์ เขามีปมด้อยกันบ้างไหมนี่
ชื่อหมาก็มีด้วยละ น้ารู้จักอยู่คน ขายผักในตลาด แกชื่อป้าหมา” น้าอู๊ดเพิ่มเติมข้อมูล
แหม อยู่ๆ เปลี่ยนชื่อ มันจะสับสนนะน้า” ฉันพยายามรักษาสิทธิของหมา “แล้วถ้าหนูไม่เปลี่ยนล่ะ
เห็นเขาว่าจะฟ้องกรรมการหมู่บ้านว่าเราทำให้ลูกเขามีปมด้อย

ฉันยืนเกาศีรษะ งงจนขำ

แล้วลูกเขาว่าไงคะ ลูกเขาอายุเท่าไหร่เนี่ย
รู้สึกจะขวบกว่าๆ เกือบสองขวบมั้ง
โอ้ว ขวบกว่าๆ ก็รู้จักจะมีปมด้อยแล้วหรือนี่ เด็กสมัยนี้โตเร็วจริงๆ

ทันใดนั้น ฉันก็นึกถึงหลักฐานสำคัญขึ้นมาได้ มันคือสมุดประจำตัวที่สัตวแพทย์จะบันทึกข้อมูลสุขภาพให้สัตว์ตั้งแต่ฉีดวัคซีนครั้งแรก และสมุดของน้ำว้าเริ่มใช้ตั้งแต่มันอายุสามเดือน


น้าอู๊ดรู้ไหม น้ำว้ามันชื่อน้ำว้ามาตั้งห้าปีแล้วนะคะ
จริงอ้ะ” น้าอู๊ดทำตาโต
ใช่แล้ว ต่อให้ไปฟ้องศาลไคฟง ท่านเปาก็เอาผิดหนูไม่ได้ เพราะหนูตั้งชื่อนี้ก่อนลูกเขาจะเกิดตั้งนาน เขาตะหากเอาชื่อหมาของหนูไปตั้งให้ลูก” ฉันแกล้งว่า

.................

น้าอู๊ดจะไปกระจายข่าวอย่างไรฉันไม่รู้ได้ แต่เวลาก็ผ่านไปโดยไม่มีวี่แววว่าฉันจะโดนฟ้อง

ฉันลองขี่จักรยานโฉบไปแถวๆ ซอยที่หน่วยสืบราษฎรลับ
(ของฉัน) รายงานว่าเป็นบ้านของคู่กรณี เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ กำลังเดินเล่น มีคุณยายหรือคุณย่าถือถ้วยข้าวเดินตาม

น่ารักจังเลยนะคะ” ฉันชมเด็กน้อยด้วยใจจริง อดนึกไม่ได้ว่าตาโตๆ ของแกนั้นช่างเหมือนตาของน้ำว้า
คุณยาย
(หรือคุณย่า) ของแม่หนูยิ้มปากกว้าง
ค่า...แกตอบรับแทนหลาน แล้วบอกว่า “น้องน้ำ ธุคุณน้าสิลูก
ชื่อน้องน้ำหรือคะ น้ำอะไรเอ่ย
น้ำว้าจ้า” คุณยายหรือคุณย่าตอบ “ตอนเล็กๆ ชอบกินแต่กล้วยน้ำว้า
อุ๊ย เหมือน...ฉันเกือบพลั้งปากพูดไปแล้วว่า เหมือนหมาของน้าเลย แต่เดชะบุญยั้งปากทัน “เหมือนน้าเลยค่ะ น้าก็ชอบกลวยน้ำว้า แฮ่ะๆ

ฉันยิ้มให้เด็กน้อย แกยิ้มหวานตอบ แถมส่งจูบให้ฉันตามคำสั่งของคุณยายเสียด้วย พอฉันส่งจูบตอบดังจ๊วบ แกก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
..................

ช่วงนี้ไม่ว่าจะดูโทรทัศน์ช่องใด ที่วอบแวบผ่านตามากที่สุดจนขี้เกียจจะอ่าน คือข้อความที่ประชาชนพากันกระหน่ำส่งมาตั้งชื่อให้แพนด้าน้อย ลูกของช่วงช่วงและหลินฮุ่ยที่สวนสัตว์เชียงใหม่ รายงานข่าวว่าเป็นแสนๆ ชื่อ

ประเภทของชื่อก็มีสารพัดจนจำแนกไม่ถูก ทั้งชื่อแนวธรรมชาติ เช่น ฟ้าใส แมกไม้ สายน้ำ ชื่อแนวเพื่อชีวิต เช่น เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ขวัญข้าว ชื่อบ่งบอกเชื้อชาติ เช่น หมิงหมิง ฮุ่ยหลิน ซันไช่

ไม่ว่าสุดท้ายแพนด้าน้อยจะชื่ออะไร คงจะไม่มีใครลุกขึ้นมาฟ้องร้องว่า เอาชื่อคนไปตั้งให้แพนด้า เผลอๆ จะกลายเป็นชื่อฮิตติดกระแส ให้คนหยิบมาตั้งให้ลูกอีกต่างหาก

ฉันคิดขำๆ ว่า ที่ชื่อน้ำว้ามันมีปัญหา ก็เพราะมันเป็นแค่หมาธรรมดาๆ
ไม่ใช่หมาแพนดี้
! 

 

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…