Skip to main content
 

เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ

 

ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน

 

ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์

แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น

.....................


คุณตาของฉันเป็นทหารม้า แม่เล่าว่าคุณตาเคยมีม้าเทศสีขาวหม่นตัวหนึ่ง ชื่อ เงินดีแท้ และแม่ก็เคยขี่มันด้วย แต่ตอนที่ฉันโตพอจำความได้ บ้านคุณตาเหลือแต่หมา แมว และไก่ในเล้า

 

คุณตาเคยพาฉันเข้าไปที่กองเสบียงสัตว์ในค่าย แล้วชี้ให้ดูโรงม้า กับโรงเก็บหญ้า วันหนึ่งโชคดีได้เห็นทหารจูงม้าออกมาเดินอยู่ไกลๆ ฉันชะเง้อมองเจ้าสี่ขาตัวสูงใหญ่ด้วยความทึ่ง

 

ครั้งหนึ่งในโอกาสพิเศษอะไรสักอย่าง โรงเรียนพาเด็กๆ ไปชมภาพยนตร์ เป็นครั้งแรกที่ฉันดูหนังในโรง

หนังเรื่องนั้นชื่อ Black Beauty เล่าถึงม้าสีดำตัวหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของคนแล้วคนเล่า ผ่านความลำบากและทารุณสารพัด


ฉันจำรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดไม่ได้ นอกจากความรู้สึกว่า สัตว์ก็มีหัวใจ และความเมตตากรุณาเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นจะมีแต่ความสุขสงบและร่มเย็น

 

ภาพที่จำได้ติดตา คือความงดงามของเจ้าสี่ขาที่วิ่งฉิวอย่างสง่า มองเห็นแผงคอพลิ้วไสวในสายลม

......................


สนามม้าอยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปสถานีรถไฟประจำจังหวัด นับว่าไกลเอาเรื่องถ้านับจากบ้านฉัน ต้องต่อรถสองแถวถึงสองสาย บางครั้งแม่จึงพาลูกสาวตัวเล็กๆ ไปเป็นเพื่อน


ฉันไม่ชอบที่ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า แต่อยากไปกับแม่


ครอบครัวเราไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวไหน ฉันเป็นเด็กที่ไม่รู้จักการเที่ยวนอกบ้านในวันหยุด ได้แต่ฟังเพื่อนที่โรงเรียนแลกกันเล่าถึงการไปเที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก เที่ยวสวนสัตว์ หรือแม้แต่เที่ยวตลาด


การไปทำงานกับแม่นับว่าฉันได้ไปเที่ยวเหมือนกัน แม้จะรู้สึกภายหลังว่า สถานที่นั้นไม่มีวันเป็นที่สำหรับการไปเที่ยวก็ตามที

......................


ในความทรงจำของฉัน สนามม้าไม่ใช่สถานที่แห่งความรื่นรมย์ น่าแปลกที่ผู้คนจำนวนนับหมื่น หลั่งไหลมาชุมนุมกัน แออัด เบียดเสียด เคร่งเครียด และ(บางคน)บ้าคลั่ง


เมื่อเสียงปืนดังขึ้น และม้าทุกตัวถูกปล่อยพุ่งทะยานออกจากซองราวกับลูกธนู ผู้คนในสนามก็เหมือนถูกราดด้วยน้ำร้อน ไม่มีใครอยู่นิ่ง บ้างร้องตะโกน บ้างกระโดดโลดเต้น ชูมือเร่าๆ สารพัดเสียงอื้ออึงแทบฟังไม่ได้ศัพท์

 

คุณตาบอกว่า ม้าเป็นสัตว์ที่มีคุณค่ามาตั้งแต่โบราณ ทั้งในการทหาร การกีฬา การงาน และการเดินทาง ม้าจึงงามสง่าเสมอในความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง


แต่ฉันไม่เคยเข้าใจความสนุกในการพนันแข่งม้า สิ่งที่จำได้มีเพียงม้าหลากสีที่ควบสุดฝีเท้าอยู่บนลู่ กับแส้ที่จ๊อกกี้หวดลงบนตัวมันเพื่อเร่งความเร็ว


ฉันได้แต่ภาวนาให้การแข่งขันสิ้นสุด เพื่อที่พวกมันจะได้เจ็บน้อยลง

.....................


บางคราวมีผู้ใหญ่นึกสนุก อุ้มฉันขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ ให้คอยส่งเงินทอนให้คนที่เบียดเสียดอยู่หน้าช่องขายตั๋ว บางคนบอกให้ฉันเลือกเบอร์ม้าให้ เขาว่าเด็กๆ อาจจะให้โชค ฉันได้แต่ทำหน้าเหรอหรา

 

เคยมีคนซื้อขนมมาให้ฉันถุงใหญ่ คนที่ขายตั๋วอยู่กับแม่บอกว่า เขาตบรางวัลที่ฉันบอกเบอร์ม้าให้เขา แล้วม้าตัวนั้นบังเอิญเข้าวิน ฉันจำอะไรไม่ได้เลย อาจพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็ก

 

แม่ห้ามไม่ให้ฉันบอกหรือตอบอะไรใครอีก

"ถ้าเขาโชคดีก็ดีไป แต่ถ้าเขาโชคร้ายขึ้นมา เราอาจจะโชคร้ายไปด้วย"


เมื่อเกิดความผิดพลาด บางคนถนัดที่จะโทษคนอื่นมากกว่าพิจารณาตัวเอง

 

ครั้งหนึ่ง ขณะชะเง้อมองผู้คนที่เบียดเสียดแย่งกันซื้อตั๋ว ฉันมองเห็นใบหน้าที่คุ้นตา เขาเป็นพ่อของเพื่อนที่โรงเรียน


ใบหน้านั้นแดงก่ำคร่ำเครียด ฉันเห็นเขาฉีกตั๋วเป็นชิ้นๆ แล้วตะโกนอะไรสักอย่างเมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้น ท่าทางนั้นทำให้ฉันกลัว การพนันทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้


นึกถึงเพลงกราวกีฬาที่ครูสอน "กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน"

แต่เมื่อกีฬากลายเป็นการพนัน ยาวิเศษนั้นก็กลายเป็นยาพิษ

..........................

 

"ม้าแข่งมันเกิดมาเพื่อที่จะวิ่งแข่ง ถ้าไม่ได้แข่งมันจะเฉาตาย" ใครบางคนเคยพูด แต่ฉันไม่เชื่อ

เหมือนที่ไม่เชื่อว่า ไก่ชนเกิดมาเพื่อจะชนกัน หรือปลากัดเกิดมาเพื่อจะกัดกัน


สัตว์ทุกชนิดในโลกมีวิถีทางของมัน ไก่คงไม่ได้ตั้งใจจะเดินเข้าไปแลกเดือยกับอีกตัวหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่ได้มีแรงจูงใจตามธรรมชาติของสัตว์ เช่นการแย่งคู่ การหาอาหาร หรือการป้องกันอาณาเขต


ปลากัดคงไม่ได้ตั้งใจจะลงไปอยู่ในขวด รอที่จะกัดกับตัวที่อยู่ในอีกขวดหนึ่ง


คนต่างหากที่กำหนดความเป็นไปให้สัตว์ อาศัยสัญชาตญาณของสัตว์ เพื่อสร้างความรื่นรมย์ส่วนตน หรือเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของตน

 

เมื่อตะวันใกล้จะตกดิน ทั้งสนามก็เงียบสงบ เห็นแต่เศษกระดาษและขยะนานาชนิดปลิวเรี่ยตามพื้น ฉันเคยเห็นบางคนนั่งคอตกอยู่ริมถนนเหมือนไม่อยากกลับบ้าน

 

คนเลี้ยงม้าแข่งจูงเจ้าสี่ขาตัวสูงเดินกุบกับผ่านหน้าไป เจ้าม้าจะรู้ไหม ว่ามันเป็นทั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ และอาจทำให้ผู้คนมากมายฝันสลายในไม่กี่นาที

........................


เมื่อคุณตาคุณยายทราบว่าแม่ขายตั๋วแทงม้า ก็สั่งให้ลาออก และส่งหลานๆ ไปอยู่กับท่านในวันหยุดเรียนและทุกๆ ปิดเทอม เสียงอื้ออึงที่ฉันได้ยินในทุกวันอาทิตย์จึงค่อยๆ เลือนหายไป

 

ทุกวันนี้ไม่มีสนามม้าแห่งนั้นแล้ว หลายปีผ่านมาที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด จึงเห็นว่าสนามหญ้ากว้างใหญ่ส่วนหนึ่งกลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าม้าแข่งเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน และมันจะเฉาตายจริงหรือเปล่า


ฉันภาวนาให้พวกมันมีโอกาสวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในทุ่งกว้างๆ ได้ใช้สัญชาตญาณที่ธรรมชาติให้มา ตามประสาสัตว์ที่มีอิสระ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีความกดดัน ไม่มีแส้โบยตี

 

ท่ามกลางความทรงจำสีหม่นในสนามม้า ภาพที่ยังคงสดใสเสมอมา คือเจ้าสี่ขาที่วิ่งฉิวอย่างงามสง่า ขนแผงคอพลิ้วไสวอยู่ในสายลม

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…