Skip to main content

-1-

หลังการเก็บเกี่ยวข้าว นวดข้าว ขนข้าวมาเก็บไว้ในหลอง(ยุ้งฉาง)ของชาวนา ไม่นาน ท้องทุ่งเบื้องล่างก็ดูเปิดโล่ง มองไปไกลๆ จะเห็นตอซังข้าว กับกองฟางสูงใหญ่กองอยู่ตรงนั้น ตรงโน้น กระนั้น ท้องทุ่งก็ไม่เคยหยุดนิ่ง มันมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

เท่าที่เขาเฝ้าดู ในหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว คนเลี้ยงวัวประจำหมู่บ้านคงมีความสุขกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าจะทำอย่างไงหลังจากชาวนาขนข้าวขึ้นหลองเสร็จเรียบร้อย คนเลี้ยงวัวจะรีบปล่อยฝูงวัวสีขาวสีแดงหลายสิบตัวลงไปในทุ่งโดยไม่ต้องบอกเจ้าของนา ไม่มีใครว่า ปล่อยให้มันเล็มยอดอ่อนจากตอซังข้าว บ้างก้มเคี้ยวเศษฟางข้าว รวงข้าวที่กระจัดกระจายเต็มทุ่ง

แต่นั่นก็เป็นเพียงชั่วข้ามคืนข้ามวันเท่านั้น
เมื่อเขามองเห็นภาพบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป...
ควันไฟสีเทากำลังลอยเป็นกลุ่มๆ ลอยออกมาท้องทุ่ง ม้วนตัวขึ้นสู่ที่สูง สูงไปบนท้องฟ้า...

เขายืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน จ้องมองดูภาพเคลื่อนไหวเบื้องล่างชัดๆ อีกครั้ง ใช่ เขามองเห็นสิ่งผิดปกติจริงๆ นั่นชาวบ้านชาวนากำลังก้มๆ เงยๆ หอบเอาฟางที่กองไว้ มาคลี่ปูไปทั่วผืนนา บ้างวางทับกันไปบนตอซังข้าวจนเต็ม ทุ่งนากลายเป็นพรมสีเหลืองมหึมาจนดูเป็นผืนเดียวกัน

แต่หลังจากนั้นไม่นาน พอแดดเปรี้ยง ชาวนาพากันลงมือจุดไฟเผาฟางข้าว เพียงครู่เดียว ไฟไหม้ฟาง ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มควันลอยคลุ้งไปทั่วทุ่ง เขารู้สึกอึ้ง...กับภาพผ่านที่เห็นและเป็นไปเช่นนั้น กี่นานที่เขาเหม่อมอง ถอนหายใจ และปล่อยความคิดเลื่อนลอยไปกับควันไฟกลุ่มนั้น

เขากำลังครุ่นคิดไปมา...
การกระทำชาวบ้านแบบนี้มันดูเหมือนไม่มีเหตุผล
หรือว่า...บางทีชาวบ้านเขามีเหตุผลของเขา...

-2-

“คิงบ่ไปขนเอาเฟืองเอามาใช้ในสวนเหรอ เขาจะเผาหมดทุ่งแล้วเน้อ...ตอนนี้ที่เห็นเหลือก็มีของพี่ศรีเวียง ขะใจ๋ไปเอาโวยๆ” พี่ชายบอกกับเขาในวันรุ่งขึ้น

เฟือง ภาษาเหนือ หมายถึง ฟางข้าว
พี่ชายบอกย้ำให้เขารู้ ก่อนที่ไฟจะไหม้ฟางไปทั่วทุ่ง

เขาตัดสินใจขับรถกระบะคันเก่า ข้ามสะพานที่ทำด้วยขอนไม้พาดผ่านลำเหมืองเข้าไปในทุ่งนาของพี่ศรีเวียง กองฟางที่ผ่านการเกี่ยว นวด และโม่ด้วยเครื่องจักรสมัยใหม่ กองซ้อนๆกันขึ้นไปเป็นเนินเขาย่อมๆ ผมใช้เวลาในช่วงบ่ายนั้น กับการบ้าหอบฟาง สองมือสองแขน โอบ กอบฟางใส่กระบะท้ายจนพูน ก่อนขึ้นไปย่ำๆๆ เหยียบๆๆ ให้ฟุบลง กระโจนลงมาหอบฟางขึ้นไปอีก พอมันสูงล้นเกินกระบะ ผมหาลำไม้ไผ่มากั้นเป็นแนวสองข้าง จนจุฟางได้เต็มลำรถ เดินไปเปิดท้ายเบาะ หยิบเอาเชือกมามัด รัด สลับกันไปมาจนแน่น ก่อนจะขับรถข้ามสะพานขอนไม้ ไปยังสวนบนเนินเขา

หลายต่อหลายเที่ยว ที่เขากลับมาขนฟางไปไว้ในสวน
จนเขารู้เลยว่าในห้วงนั้น เขาบ้าหอบฟางคนเดียว ลำพัง
ในขณะที่รอบข้าง ชาวนาเพื่อนบ้านกำลังทยอยกันจุดไฟเผาฟางกันควันคลุ้ง
และผืนนาผืนใหญ่เริ่มกลายเป็นสีดำ


-3-

อีกวันหนึ่ง...ลุงส่ง น้าชายวัยหกสิบปี ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยมาหาเขาด้วยสีหน้าตาตื่น บอกว่าอยากให้ไปช่วยกันขนฟางข้าวของเพื่อนบ้าน มาไว้ในสวนแกหน่อย...

“เจ้าของนาบอกว่า จะเผาเฟืองคืนนี้แล้ว เพราะวันพรุ่ง เขาจะจ้างรถไถมาพรวนที่ จะปลูกผักกาดแล้ว เสียดายเฟือง อยากเอามาใช้ในสวน ช่วยกันขน แล้วแบ่งกันดีกว่าเนาะ...”

เขาพยักหน้า แล้วชักชวนหลานชายอีกคนไปช่วยกันขนฟางข้าวกันไว้บนคันนาอย่างรีบเร่ง ก่อนที่เจ้าของนาจะจุดไฟเผาในค่ำคืน

“ยังดีที่ยังคนเข้าใจและรู้จักใช้ประโยชน์จากฟางข้าว และลุงส่งคงเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่คิดได้แบบนี้กระมัง...” เขาบอกกับตัวเอง
“ทำไมชาวนาถึงเผาฟางข้าว ทำไมถึงไม่เก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น!?...”

เชื่อหลายคนคงคิดเช่นเดียวกับเขาเป็นแน่แท้
แต่...ก็อีกนั่นแหละการกระทำของคนเรา บางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลมารองรับ

“ทำไมถึงเผาเฟือง...” เขาเคยเอ่ยถามเพื่อนบ้านเล่นๆ
“ถ้าไม่เผา มันก็จะกองอยู่เต็มทุ่ง เพราะเฮาต้องเร่งปลูกผักกาด กะหล่ำกันต่อ นั่นต้นกล้าผักกำลังจะแก่แล้ว...”
“แล้วทำไมไม่ขนมากองไว้ข้างนอก โดยไม่ต้องไปเผา ไม่ดีกว่าหรือ...”
“เสียเวลา...เสียเวลาขนเฟืองอีก...กองไม่ใช่น้อยๆ ต้องจ้างรถ จ้างคนขนอีก เสียเงินไปทำไม เผาในทุ่งนี่ดีกว่า...”

วิธีของชาวบ้านจัดการกับฟางข้าว จึงง่าย รวดเร็ว และไม่เปลือง นั่นคือ ปูฟางข้าวเป็นพรมเต็มทุ่ง แล้วจุดไฟเผา หลังจากนั้น พวกเขาจะรีบพากันพรวนดิน ขุดดิน ขึ้นแปลงผัก ปลูกผัก ใส่ปุ๋ยเคมี พ่นยาฆ่าแมลง เพื่อเอาไปขายในตลาดเมืองใหม่ ให้กับพ่อค้าคนกลางต่อไป

เหตุผลง่ายๆ ของชาวบ้านแบบนี้ เล่นเอาเขาอึ้งไปเหมือนกัน

แหละเพียงแค่เหตุผลง่ายๆ แบบนี้ ไม่ต้องไปอ้างทฤษฎี หลักการ วิชาการที่มันไปไกลตัว อย่างเช่น อย่าเผาฟางเลย...มันจะทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เกิดมลพิษเพราะฤทธิ์ควันไฟ มันผิดกฎหมาย…ฯลฯ

แน่นอน ในฐานะที่เขาก็เป็นลูกหลานชาวนาคนหนึ่งที่กำลังกลับมาอยู่บ้านเกิด เขาพยายามเฝ้ามองด้วยใจเป็นธรรม ว่าสิ่งที่ชาวนาเพื่อนบ้านทำกันเช่นนี้ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาโง่ หรือไม่รู้ แต่บ่อยครั้งที่เขาพยายามค้นหาเหตุและผลของวิถีชาวนาเล่นๆ ว่า หรือว่านี่เป็นเพราะฐานคิดชาวนายุคนี้เปลี่ยนไป พวกเขาล้วนแต่มีหนี้สิน เพราะว่า ระบบทุนนิยมบ้าคลั่งได้เข้ามาบีบ บังคับให้พวกเขาต้องเปลี่ยนไปอย่างนี้ เกษตรกรทุกคนต้องการความเร็ว ต้องการเงิน เพื่อไปใช้จ่ายและใช้หนี้ที่ครอบครัวหนึ่งเป็นลูกหนี้ให้กับ ธกส.ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท ยังไม่นับหนี้นอกระบบที่นับวันยิ่งพอกพูนเพิ่มมากขึ้น

-4-

ไฟไหม้ฟาง...ฟางข้าว…วิถีชาวนา
เขากลับมานั่งจมอยู่กับความรู้สึกข้างใน…
บางห้วงความคิดเรื่องฟางข้าว ทำให้เขาหวนนึกไปถึงภาพวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเขายังเยาว์วัย...
ฟางข้าวทำให้เขามองเห็นภาพเก่าได้แจ่มชัดขึ้น
ภาพหนุ่มสาวช่วยกันนวดข้าว ตีข้าว กันในค่ำคืนเดือนหงาย ท่ามกลางเสียงหยอกล้อเกี้ยวกันไปมา
ภาพกองฟางที่สูงทะมึนเหมือนภูเขาย่อมๆ
ภาพกองฟางล้อมรอบลานนวดข้าว ที่กลายเป็นถ้ำฟางที่ใช้เป็นที่หลับนอน ช่างนุ่มและอุ่นนักในคืนหนาว
และนั่น, ภาพพ่อกับแม่ช่วยกันขุดแปลง ปลูกกระเทียม หลังเก็บเกี่ยวข้าว
ใช่ เขายังจำภาพของตนเองแบกขนฟางข้าวที่มัดเป็นฟ่อนๆ ไปวางบนคันนา ให้พ่อและพี่ชายช่วยกันหยิบ ฟางมาปูคลุมแปลงกระเทียมที่แม่และพี่สาวช่วยกันปลูกจนเต็มทุ่ง
ภาพของตัวเองกำลังคุ้ยกองฟางเน่าค้นหาเห็ดฟางออกดอกสีขาวหม่นตรงนั้นตรงโน้น...

เขาได้กลิ่นหอมของฟางลอยมาในห้วงความทรงจำ.
 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...