Skip to main content

"ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว ทุกคนล้วนมีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีชีวิตของใครที่มีค่ามากกว่าของใคร ท่านทั้งหลาย...ประโยคสุดท้ายในเพลง Imagine ของ จอห์น เลนนอน ไม่ได้มีความหมายแบบนี้หรอกหรือ"

Chapman Lennon

สวัสดีคุณ มาร์ค เดวิด แชปแมน วันนี้ฉันอยากเขียนอะไรบางอย่างถึงนาย ฉันรู้ ๆ ฉันน่าจะเขียนเป็นภาษาที่นายอ่านออกเพราะอย่างน้อยนายก็ยังไม่ตาย เพียงแต่การเชียนในครั้งนี้ขอฉันเป็นฝ่ายสนทนากับนายทางเดียวอย่างเอาเปรียบหน่อยก็แล้วกัน

ถึงแม้นายจะอายุขึ้นเลขห้าแล้ว แต่ฉันก็ขอถือวิสาสะเรียกอย่างสนิทสนมแบบเพื่อนร่วมรุ่นว่า "นาย" เพราะ ฉันคิดว่า การที่ฉันเขียนถึงนายในครั้งนี้เป็นเพราะว่าฉันพยายามจะเข้าใจในตัวนาย และทุกครั้งที่ฉันสร้างจินตภาพของตัวนายขึ้นมา มันไม่ใช่ภาพของตัวนายที่ค่อย ๆ แก่ตัวลงในคุก Attica เลย แต่มันมักจะเป็นภาพของตัวนายตอนอายุ พอ ๆ กับฉัน ในตอนนั้น...

ใช่ๆ ฉันหมายถึงตอนนั้น ในแปดธันวาของเมื่อยี่สิบปีกว่าที่แล้ว วันที่ต่อมาจะกลายเป็นวันที่ใครหลายคนพากันรำลึกถึงความตายของชายผู้หนึ่ง ชายผู้ที่นายเคยชื่นชม และชายผู้ที่นาย (เคย) เกลียด 'จอห์น เลนนอน' ถูกต้อง! ทุกคนจะพากันรำลึกคนๆ นี้ พูดถึงความดีงามของคนๆ นี้ พูดถึงเพลงของเขา เพลงที่คนทั่วโลกแซ่ซ้องอย่าง Imagine พูดถึงการตายของเขา พูดถึงราวกับว่ามันเป็นการสูญสลายของอุดมคติทั้งมวลกระนั้นแล ฮ่าๆ แต่นายรู้แต่แรกแล้วสินะ ว่าอุดมคติมันสลายไปตั้งแต่แรกแล้ว คนที่ชื่อ จอห์น เลนนอน มันไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้นสำหรับนาย

แล้วมันจะมีสักกี่คนกันที่คิดถึงนาย จะว่าไปก็มี มีแน่ๆ ละ แต่เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาในตัวเลนนอนทั้งหลายคงเห็นนายเป็นฆาตกรสินะ พวกเขาอาจจะอยากตะโกนใส่หน้านายว่า "ไอ่ฆาตกรโรคจิต!" หรืออะไรประมาณนั้น พวกนั้นจะมาเข้าใจความรู้สึกอะไรนาย จริงไหม! ในวันที่แปดธันวาปี 1980 ฉันอยากรู้ว่ามันหนาวหรือเปล่า กับการที่นายต้องมายืนอยู่ริมฟุตบาทบนท้องถนนของนิวยอร์ก ใครจะมาเข้าใจความรู้สึกของนายในตอนนั้นที่ต้องซ่อน .38 เย็นเยียบกระบอกหนึ่งไว้ ขณะเดียวกันก็ก็กำคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนาย คือหนังสือเรื่อง "Catcher in the Rye" เอาไว้แนบแน่น

คัมภีร์เล่มนี้ "Catcher in the Rye" สอนว่านายคือ โฮลด์เด้น นายคือผู้ที่ต้องคอยตามรับ "เด็กๆ" ที่ตกจากหน้าผาของความเยาว์วัยไม่ให้ตกลงไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับนายมันคือการที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะถูกห่อหุ้มด้วยมายาลวง แล้วกลายเป็นจอมปลิ้นปล้อน กลายเป็นนักโกหก กลายเป็นผู้ที่ลืมอุดมคติแบบเด็กๆ ของตัวเองไป ละวางที่จะไล่ตามความฝันนั้น เพื่ออยู่กับภาพลวงของตัวเอง

แล้วคนที่ถูกจอมมายาลวงครอบงำ จนกลายเป็นปีศาจในคราบนักบุญที่จะมาทำให้เด็กๆ ตกจากหน้าผาแห่งความเยาว์วัยเพราะการลวงหลอกของมัน คนๆ นั้นสำหรับนาย คือ จอห์น เลนนอน

ความเกลียดชังที่สั่งสมในตัวนายนี้เอง มันมากพอที่จะทำให้นายลั่นไก ห้านัด นายได้ทันนับหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่นายไม่ลนลาน ไม่ลังเล ฉันเองก็ไม่อาจรู้มากกว่านี้ว่าหลังจากนั้นนายรู้สึกยังไง รู้แต่ว่านายนิ่งสงบ ยืนพลิกหน้าคัมภีร์ของนายไปเรื่อยๆ ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกกับสิ่งที่ตนทำลงไป ไม่แสดงความเสียใจ ไม่แสดงความยินดี ราวกับว่าความอัดอั้นในรังเพลิงของจิตใจนาย ได้ถูกลั่นออกมาจนครบแม็กแล้ว จนมันว่าง โล่ง และสงบงัน เหลือแค่เขม่าควันเล็กๆ ลอยเวิ้งอย่างไร้ความหมาย

นี่ โฮลด์เด้น ..ไม่สิ เดวิด นายนึกถึงตอนนายเป็นเด็กๆ ได้หรือเปล่า ฉันขอโทษ นายคงเห็นว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่เลวร้ายช่วงหนึ่งสินะ มันเป็นเรื่องธรรมดา ใครบอกว่าวัยเด็กมันจะต้องมีความสุขเสมอไปเล่า นายแค่โชคไม่ดีเท่านั้นที่ดันเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ขัดแย้งกัน อยู่ในโรงเรียนที่มีคนรังแกนาย แล้วนายก็อ่อนไหวเกินกว่าจะแข็งใจสู้มันได้ แม้ผู้ใหญ่บางคนจะชื่นชมความสามารถบางอย่างของนาย เด็กๆ หลายคนจะรักและเคารพนาย ถึงขั้นให้ฉายานายว่า "ผู้ไร้นาม" (Nemo) แต่มันคงไม่อาจช่วยชดเชยความเหนื่อยอ่อนต่อสิ่งที่นายพบเจออยู่ทุกวี่ทุกวันได้สินะ

ถ้างั้นสิ่งที่ทำให้นายยังคงมีกำลังใจอยู่ในโลกที่ไม่พึงปรารถนานี้ได้คืออะไรน่ะหรือ มันก็คือสิ่งๆ เดียวกับที่ตัวฉันและตัวใครหลายๆ คนทำกัน หนีไง! ...ลี้ภัยชั่วคราว ไปอยู่ในโลกความฝันแฟนตาซีสักพักให้หายเหนื่อย แล้วนายก็เติบโตมาในยุคของวงดนตรีอมตะของโลกวงหนึ่งพอดี ใช่แล้ว The Beatles วงดนตรีที่นายฟังเพื่อปลุกปลอบใจที่ไร้แรง วงดนตรีที่ทำให้จินตนาการนายโลดแล่น ทิ้งโลกใบนี้ไปได้ชั่วคราว ทำให้วัยเยาว์ของนายไม่โหดร้ายจนเกินไป

แต่เวลาเปลี่ยน สิ่งต่างๆ ก็แปรผันตาม...

จอห์น เลนนอน แต่งงานอยู่กินกับ โยโกะ โอโน วงบีทเทิลส์แตก ตัวเขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ กลายเป็นคนที่เพียงอยู่บนเตียงกับเมียแล้วเรียกสื่อมาดูก็บอกว่าเป็นการประท้วงเพื่อสันติภาพ ขณะที่ใครหลายคนข้างนอกยืนถือป้าย ชูกำปั้น อยู่กลางถนน เพียงเพื่อรอแก๊สน้ำตาและไม้กระบอง เขากลายเป็นคนที่เทศน์ถึงเรื่องความรักและสันติภาพ แต่มีเงินเป็นล้าน กลายเป็นคนที่เขียนประโยคว่า "จินตนาการสิว่าไม่มีการครอบครอง" ไว้ในเพลง Imagine แต่เขากลับครอบครองเงินจำนวนมหาศาล เป็นเจ้าของเรือยอชท์และที่ดินในเขตชนบท

ไอ่หมอนี้สำหรับนายแล้ว มันช่างโป้ปดสิ้นดี จริงไหม โฮลด์เด้น อ้า ! ไม่ใช่สิ เดวิด

Lennon is Dead Yay!

แล้วนายก็ได้รับโทษตามกฏหมาย ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกอย่างต่ำ 20 ปี ถึงตลอดชีวิต แต่นายก็มีความประพฤติดีตลอดมาตอนที่อยู่ในคุก ซึ่งนายน่าจะรับการปล่อยตัวอย่างมีทัณฑ์บนมาตั้งแต่ปี 2000 แล้ว และมีอีกหลายครั้งที่นายน่าจะได้รับการปล่อยตัว แต่ยัยโยโกะ โอโน ก็คอยเอาแต่ขัดขวางตลอดมา ด้วยข้ออ้างชวนฝันว่า เพราะผู้ตายคือ จอห์น เลนนอน "ผู้นำแสงสว่างและความหวังมาสู่โลกทั้งใบ" แหม...จริง ๆ ในใจเธออาจจะคิดเพียงแค่ว่า "แก ! ไอ่ฆาตกรโรคจิต แกฆ่าผัวฉัน !" เท่านี้เองก็ได้ แล้วนอกจากนี้ยังมามีการล่าลายเซ็นห้ามไม่ให้มีการภาคทัณฑ์แล้วปล่อยตัวนายอีกแน่ะ แหงล่ะ! นายโชคร้ายมากที่เหยื่อของนายคือ จอห์น เลนนอน ผู้ที่มีแต่คนชื่นชมศรัทธา แล้วไอ่ความชื่นชมศรัทธานี้ทำให้ไม่มีใครสนเลยว่านายทำตัวดีขนาดไหนในคุก

ลองนึกในทางตรงกันข้ามดูสิ ถ้าเป็นจอห์น เลนนอน ฆ่านายบ้าง เผลอๆ จะมีแต่คนล่าลายเซ็นเพื่อให้ปล่อยตัวตาเลนนอนเร็วขึ้น ส่วนนายก็จะเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนที่ไหนไม่รู้ที่เลนนอนบังเอิญฆ่าตาย เผลอๆ จะมีแต่คนคิด (หรือหลอกตัวเอง) ว่าเป็นอุบัติเหตุด้วยซ้ำ เพราะคนที่แต่งเพลงต่อต้านความรุนแรงคนนี้จะไปฆ่าคนได้ยังไง๊ (ตลกร้ายน่ะ อย่าถือสาฉันเลย)

ความศรัทธาในตัวบุคคลบางทีมันก็น่ากลัวกว่าที่คิดนะ กรณีของนายเป็นพวกบูชาฮีโร่ไม่ลืมหูลืมตาขัดขวางไม่ยอมให้นายออกจากคุก ลองดูในประเทศฉันสิ ความศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตาในตัวบุคคลมันทำให้คนประเทศเดียวกัน อยู่ภายใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกัน ฆ่ากันมาแล้ว...

ฆ่าอย่างเหี้ยมโหดกว่าที่นายยิงเลนนอนด้วยซ้ำ

ความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องดีนะฉันว่า กระนั้นคนเรามันก็กระจายความเห็นอกเห็นใจนี้ได้ไม่เท่าเทียมกันเลย การเลือกปฏิบัติมันอาจมีบ้างในตัวมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส ซ่อนไว้ด้วยอคติอย่างเราๆ แต่ถึงขั้นว่าอีกคนเป็นฟ้า อีกคนเป็นเหว อีกคนหนึ่งพร้อมจะได้รับความเห็นใจ ขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครสนแบบนี้ มันโหดร้ายเกินมนุษย์ไปไหม?

เลนนอน น่ะ เขาเป็นเด็กขาดความอบอุ่น ดูในเพลง Mother ที่เขาแต่งก็ได้ ว่าเขาโหยหาความรักจากครอบครัวขนาดไหน แต่ใข่ว่าครอบครัวนายเองจะสมบูรณ์ นายคงสับสนกับความขัดแย้งในครอบครัวนาย นายก็คงเคยเหงา เคยรู้สึกอยากให้ครอบครัวนาย บ้านของนาย เป็นแหล่งพำนักของจิตใจเช่นเดียวกับของใครอีกหลายคน แต่ให้ตายสิ! มีคนพร้อมจะเห็นใจความรู้สึกขาดพ่อขาดแม่ของเลนนอน แต่มีใครจะมาเข้าใจความรู้สึกของนายบ้างไหม

ฉันได้ยินได้ฟังและอ่านเจออะไรรอบตัว ก็มีแต่เลนนอนอย่างงั้น เลนนอนอย่างงี้ ส่วนนายน่ะ มาร์ค เดวิด แชปแมน มีบทบาทเป็นแค่ฆาตกร (บางทีก็เป็น "ฆาตกรโหด") ในคำบอกเล่าหรือข้อเขียนของพวกเขาเท่านั้นเอง

ไม่รู้หรอกนะ ว่านายจะได้ออกจากคุกเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ยัยโยโกะ โอโน จะให้อภัยนาย หรือบางทีนายอาจจะไม่สนก็ได้ ถ้านายได้ออกมา อดีตนักโทษมาร์ค แชปแมน อาจจะกลายเป็นเป้าให้พวกที่คลั่งเลนนอนไม่ลืมหูลืมตาประนาม หยามเหยียด กลั่นแกล้ง อีกต่างๆ นานา กระนั้นฉันก็ไม่รู้ด้วยว่านายอยู่ในคุกแล้วมีความสุขดีหรือเปล่า

เอาล่ะ ไหน ๆ ฉันก็เอานายมาใช้หากินในคอลัมน์เกี่ยวดนตรีนี่นา ฉันน่าจะพูดถึงเพลงหน่อยเป็นไร ใช่ ฉันรู้ว่ามันต้องมีคนทำเพลงรำลึกถึง John Lennon จำนวนไม่น้อยแน่ๆ แต่เพลงที่เขียนโดยใช้ชื่อของนายก็มีนะ เป็นเพลงจากวงแนว Industrial แต่งตัวบ้า ๆ ที่ชื่อ Mindless Self Indulgence น่ะ เพลงที่ชื่อ Mark David Chapman โดยส่วนตัวฉันไม่ค่อยชอบดนตรีมันเท่าไหร่เลยแฮะ แต่เนื้อหามันตลกร้ายดี พวกมันบอกว่านายจะเป็นผู้มาโปรดช่วยกวาดล้างวงดนตรีจอมปลอมให้หมดไปจากโลกแน่ะ

"When the worlds overrun
With too many bands
Who is it time for?

Mark Chapman

When they all seem absurd
He will thin out that herd
Ladies and gentlemen

Mark Chapman"

เมื่อโลกใบนี้มีวงดนตรี
ซ้าซากกันมากเกินไป
ถึงเวลาแล้วเวลาสำหรับใคร?

มาร์ค แชปแมน (น่ะสิ!)

เมื่อพวกมันเริ่มไร้สาระ
เราจะทำให้อะไร ๆ มันโล่งขึ้นเอง
ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี

มาร์ค แชปแมน"

- Mark David Chapman -

ยังไงก็เถอะ สุดท้ายแล้วถึงจะดูเหมือนพวกนี้ชู ๆ นาย แต่พวกมันก็ทำแบบล้อเลียน ๆ มันคงไม่ทำให้นายรู้สึกดีสักเท่าไหร่เว้นแต่นายมีอารมณ์ขันพอ จะมีอยู่ท่อนหนึ่งเท่านั้นที่เนื้อหาดูเหมือนจะแสดงความเข้าใจในตัวนายบ้าง

"I'm just a prisoner
In the same prison as you
We wait for other shoes to fall into position
Already obsolete
No one will miss us at all"

"ฉันก็เป็นผู้ต้องขัง
อยู่ในคุกเดียวกับคุณ
เราเพียงรอเกือกบินลอยมาตกใส่
เราพ้นสมัยไปแล้ว
ไม่มีใครจะมานึกถึงเราอีก"

มาร์ค แชปแมน เสียงปืนของนายเป็นความผิดบาปในฐานะของผู้ที่คร่าชีวิตมนุษย์ด้วยกัน แม้สำหรับหลายคนจะรู้สึกว่านายได้กระทำสิ่งที่รุนแรงเหี้ยมโหด แต่สำหรับฉันแล้วฉันรู้สึกว่า ฉันอยากบอกพวกนั้นเหลือเกิน ว่าจอห์น เลนนอนก็เป็นคนๆ หนึ่ง ที่มีเลือดเนื้อมีชีวิต เช่นเดียวกับหางเครื่องบนเวทีลูกทุ่ง เช่นเดียวกับศิลปินเร่ร่อนผู้หวังเพียงได้สร้างผลงานตามแรงปรารถนาของตน เช่นเดียวกับพระที่แอบตั้งวงเล่นไพ่เวลาเซ็งๆ เช่นเดียวกับคนขับรถตุ๊กๆ ท่ามกลางแดดเที่ยงร้อนระอุ เช่นเดียวกับนักเต้นอวดร่างเนื้อยามราตรี เช่นเดียวกับคนเข็นรถขายไก่ทอด เช่นเดียวกับคนใส่สูทให้ห้องประชุมติดแอร์ เช่นเดียวกับนักศึกษาที่นั่งหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั้งวัน ...เช่นเดียวกับฉัน เช่นเดียวกับนาย

And the World will live as one.

ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว ทุกคนล้วนมีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีชีวิตของใครที่มีค่ามากกว่าของใคร
ท่านทั้งหลาย...ประโยคสุดท้ายในเพลง Imagine ของ จอห์น เลนนอน ไม่ได้มีความหมายแบบนี้หรอกหรือ?

 

บล็อกของ Music

Music
ภฤศ ปฐมทัศน์ ผมได้ยินข่าวเรื่อง "จังหวะแผ่นดิน World Musiq & World Bar B Q" วันเดียวก่อนวันงานนั่นเอง ได้ยินคุณทอดด์ ทองดี พูดผ่านวิทยุว่าจะมีศิลปินจากหลายประเทศทั่วโลกมาเข้าร่วม และมีการแสดงร่วมกันของเพื่อแสดงให้เห็นว่าดนตรีมันไร้พรมแดน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่พูดอะไรที่เป็นอุดมคติครับ และรู้สึกที่สิ่งที่คุณทอดด์แกพูดแกไม่ได้ตอแหล (แบบพวกอ้างศีลธรรม) ผมรู้สึกได้จากน้ำเสียงและการไหว้วอนขอให้ภาครัฐและกระทรวงวัฒนธรรมหันมาสนใจ ทำให้รู้สึกว่าแกมีความตั้งใจตรงนี้จริง ๆ แต่ว่าอุดมคติที่สวยงามบางทีมันเป็นแค่สิ่งที่ฉาบเคลือบอะไรที่ยังแหว่งโหว่อยู่ภายใน…
Music
    ขึ้นหัวไว้ไม่ได้หมายความว่าตัวผมเองกำลังหลบหน้าหลบตาไปอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด ช่วงที่หายไปเพราะจำต้องไปปฏิบัติภารกิจทั้งส่วนตัวและไม่ส่วนตัว พอได้จังหวะแล้วจึงเข้ามาเขียนงานที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง หลายคนคงนึกได้แล้วว่าหมายถึงผลงานใหม่ของมาโนช พุฒตาล ซึ่งผมได้ซีดีผลงานล่าสุดของเขา ทั้งสองชิ้นมาพร้อมกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้เอง สิ่งที่ผมหวังจากชื่อมาโนช พุฒตาลคือตัวงานดนตรีหลังจากที่เขาห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงไปพักนึง ("ชีวิตที่เจ็บปวดของคนป่วย" เหมือนออกมาให้หวังอะไรบางอย่างเล่น ๆ แล้วก็หายไป)…
Music
ช่วงที่ผ่านมาผมขอลาพักจากการเขียนคอลัมน์ไปชั่วคราว ไม่ได้ลากิจ และยังไม่ได้ลาออกจากการเขียนคอลัมน์แน่นอน เพียงแต่หลบจากความเหนื่อยล้าจากหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อไปเติมพลังให้ตัวเองเท่านั้นในช่วงที่พักจากการเขียนคอลัมน์ไป ก็คิดว่าจะลองหลบมุมสงบ ๆ อยู่ ปิดหูปิดตาตัวเองจากสิ่งรอบข้างดูสักพัก … แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวบางอย่างที่ทำให้ผมต้องรู้สึกถึงความย่ำแย่ น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบของประเทศที่ผมอยู่อีกครั้งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง (ซึ่งสื่อบางแห่งดูจะพยายามแปลงให้เขากลายเป็นเพศอื่นอยู่เสมอ…ซึ่งผมว่าเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร) เขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรนักหนา…
Music
  นิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเล่าอิงจินตนาการพร้อมกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ นักทฤษฎีแบ่งนิยายวิทยาศาสตร์ออกไว้เป็นสามยุคใหญ่ ๆ คือ ‘ยุคคลาสสิก' ที่มักพูดถึงอนาคตภายใต้อวกาศกว้างใหญ่ไพศาล มองอนาคตอย่างก้าวหน้าและอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งความเจ็บปวดหลังยุคอุตสาหกรรมที่ยังมีการกดขี่กันของมนุษย์ทำให้ ‘ยุคที่สอง' ของนิยายวิทยาศาสตร์เริ่มมีท่าทีวิพากษ์สังคมเข้ามาปะปน บางเรื่องก็มีประเด็นทางสังคม อย่างการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ บ้างก็มีจินตนาการของรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ มาจนถึง ‘คลื่นลูกที่สาม' ก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดกู่ จินตนาการก้าวหน้า ล้ำสมัย…
Music
 "The disgraced values of the company manAre why you fight and sacrificeDon't bend or break for their one-way rulesOr run from battles you know you'll lose""คุณค่าของคนทำงานที่ถูกลดทอนคือเหตุผลที่คุณเสียสละ ต่อสู้ และวิงวอนคุณไม่อาจฝ่าฝืนกฏเหล็กของพวกเขาได้หรือแม้จะทั่งจะหนีจากการดิ้นรนที่คุณรู้ว่าจะแพ้โดยไม่อาจทำอะไร"- Tomorrow's IndustryDropkick Murphys เป็นวงพังค์ร็อคที่มาจากการรวมตัวของชาวไอริชที่อพยพมาอาศัยในเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐฯ มีผลงานที่พอให้คนต่างแดนได้รู้จักบ้างคือเพลงประกอบภาพยนตร์ The Departed ที่ชื่อ "I'm Shipping Up to Boston"…
Music
การยึดติดในสถาบันหรือรางวัลว่าเป็นตัววัดความเก่งกาจของศิลปินดูเป็นเรื่องหน้าขำอย่างหนึ่งในโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลาย คิด ๆ ดูว่าแนวดนตรีในโลกนี้ถ้านับรวม Sub-Genre ทั้งหลายเข้าไปด้วยแล้วก็มีมากจนนับแทบไม่ไหว แต่รางวัลจากสถาบันทั้งหลายมันแบ่งง่าย ๆ แค่ ป็อบ ร็อค อาร์แอนด์บี ซึ่งไม่อาจตอบรับกับความหลากหลายได้ และพาลจะทำให้เป็นการขีดเส้นขั้น ผูกขาดรูปแบบบางอย่างไว้ก็ได้ว่า "เสียงดี" ต้องเป็นเสียงแบบนี้ การเรียบเรียงที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ๆ ฯลฯ ผมถึงคิดว่า เราควรจะไม่ไปยึดติดอะไรมากกับรางวัลที่มาจากการตัดสินของคนไม่กี่คนบนหิ้งเรื่องศิลปะที่มาจากการผูกขาดรสนิยมมันชวนให้รู้สึกย่ำแย่ฉันใด…
Music
อะไรๆ ในโลกนี้มันน่าสนใจไปหมดแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้คนหันไปมอง หันไปพูดถึง เก็บมาเล่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ช่วยผลิตซ้ำ และแม้กระทั่งสร้างคู่ตรงข้ามให้กับคนที่ไม่รู้ และ/หรือ ไม่อยากรู้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก ๆ โคตร ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ในซอกหลืบไม่ค่อยมีคนสนใจ มันดูเหมือนการได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เราอัศจรรย์ใจหรือทำให้ผิดหวังก็ได้ เพียงแต่ในทุกวันนี้ไอ้สิ่งที่อยู่ในซอกหลืบจริงๆ มันหายากขึ้นทุกที ในวงการเพลงอินดี้อะไรทั้งหลายก็มีชื่อวงทั้งต่างประเทศและในประเทศผุดผาดขึ้นมาให้จำกันไม่ทัน และพอลองเจียดเวลา (อันน้อยนิด) จากการทำมาหากินมาลองฟัง…
Music
รูป Ad จาก http://www.electthedead.co.uk/วง System of a Down เป็นวงดนตรีอเมริกันที่สมาชิกทั้ง 4 คนล้วนเป็นชาวอาร์เมเนียน ดนตรีของพวกเขา บางคนก็เรียกว่าเป็นอัลเตอร์เนทีฟ บ้างก็ว่าเป็นนูเมทัล บ้างก็พยายามจำกัดความง่ายๆ ว่าเป็นฮาร์ดร็อค แต่ถ้าให้เรียกแบบกินความหมายครอบคลุมที่สุดล่ะก็ คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นวงร็อคที่แพรวพราว สอดผสานดนตรีในพรมแดนอื่นๆ เข้ากับซาวน์พื้นฐานแบบยุค 90's และขณะเดียวกันก็มีพลังขับเคลื่อนแบบพังค์นอกจากจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะของวงร็อคหลากกลิ่นแล้ว แฟนเพลงหลายคนยังชอบเนื้อหาวิจารณ์สังคมและการเมืองของพวกเขาที่เข้าใจทำให้ถูกจริตคนบางกลุ่มได้ บวกกับดนตรีหนักๆ จากหลายๆ เพลงแล้ว…
Music
  ช่วงที่ผ่านมามีข่าวคราวเกี่ยวกับคอนเสิร์ตแนวอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรพวกนี้ออกมาหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตต้านโลกร้อนที่เข้าใจเกาะกระแสเรื่องที่คนทั่วโลกสนใจ (แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจลึกไปในระดับไหน) มาสร้างเวทีคอนเสิร์ตให้สนุกสุดเหวี่ยง เวลามีคนมาถามความเห็นผมเรื่องนี้ ผมมักจะหัวเราะ หะ ๆ แล้วตอบว่ารู้สึกเฉย ๆ ถ้ามันจะดีมันก็ดีในแง่ที่มีคอนเสิร์ตมาให้สนุกกัน ส่วนศิลปินก็ได้หน้าได้ตากันไป เพราะโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าศิลปินจะรู้ลึกรู้จริงรู้จังอะไรกันเรื่องนี้มากมาย ไม่ต้องกระไรมาก ผมจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงเรื่องหนึ่ง คือเมื่อหลายปีก่อน…
Music
  "ผมคงจัดเป็นพวกปีกซ้ายนั่นแหละ และพอเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ผมให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าอิฐบล็อกหรือกำแพงศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในการมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแทนที่คำถามจะเป็น ‘พวกคุณเชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า' มันควรจะเป็นว่า ‘พระเจ้าเชื่อในพวกเราหรือเปล่า' ต่างหาก ใครจะรู้ได้"- Aviv Geffen - Memento Mori"Officer, it's better to be a coward that is alivethan to be a dead heroYou fight with tanks and gunsI fight with pen and paperYou call me a draft dodgerMemento Mori..."- Memento Mori (2)จริงๆ แล้ว ไม่เพียง Aviv Geffen เท่านั้นที่เป็นที่รู้จักของชาวอิสราเอลโดยทั่วไป…
Music
  "1,000 people yellShouting my nameBut I wanna die in this momentI wanna die"- 1,000 People -Aviv Geffen เกิดและเติบโตในช่วงสงครามเลบานอนครั้งแรก ที่กองทัพอิสราเอลคิดจะเข้ายึดครองเลบานอนเพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ความขัดแย้งนี้ดูจะห่างไกลจากตัวเขารวมถึงหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ดำเนินชีวิตคู่ขนานกับความขัดแย้งนี้จนแม้ปัจจุบันก็ยังไม่จบไม่สิ้น ข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจทำให้ความตึงเครียดลดลงได้ ระเบิดนิรนามยังคงถูกยิงมาจากที่ไหนสักแห่งภาพที่ดูขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในตัว Geffen คือ ขณะที่เขาแต่งเพลงและเผยความคิดเห็นในแบบอิสราเอลฝ่ายซ้าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพทางดนตรี…
Music
  "Love films are broadcast lateBut violence is allowed at any hourWhile on a kibbutz a girl was rapedIn the disco they set their spirits free"- Violence -เป็นเรื่องธรรมดาที่น้อยคนในบ้านเราจะรู้จักศิลปินหนุ่มจากอิสราเอลที่ชื่อ Aviv Geffen เพราะผมเองกว่าจะรู้จักเขาก็ต้องโยงอะไรหลายทอดอยู่เหมือนกันมันเริ่มจากการที่ผมชื่นชอบวงโปรเกรสซีฟร็อค ที่ชื่อ Porcupine Tree แล้วนักร้องนำและผู้กุมบังเหียนของวงนี้คือ Steve Wilson ในขณะที่ยังคงอยู่กับวงเดิม ก็ได้ออกไปมีโปรเจกท์ย่อยคือวง Blackfield ด้วย ซึ่งวงโปรเจกท์ของเขานี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นวงป็อบร็อค ที่ทำร่วมกับนักดนตรีรุ่นน้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง…