Skip to main content

"บวรศักดิ์" โต้ "บวรศักดิ์"

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

เมื่อผมได้อ่านคำอภิปรายของ 'บวรศักดิ์ อุวรรณโณ' ในโครงการสัมมนาทางวิชาการในวาระครบรอบ ๑๖ ปีศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง “การปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม” (ดู เดลินิวส์, ๒๔ เม.ย.๒๕๕๗ : http://goo.gl/NjBP92 ) แล้วผมพบว่า ณ วันนี้ ดร.บวรศักดิ์ เสมือนหนึ่งกำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจข้อเขียนหรือตำราของตัวเขาเองอยู่ ผมจึงหยิบยกบทความเก่า ๆ ของบวรศักดิ์ ตำราที่บวรศักดิ์เขียนและใช้สอนนักศึกษา ตลอดจนบทสัมภาษณ์ในอดีต (ย้อนหลังไปเพียงไม่กี่ปี) มาเทียบเคียงกับคำอภิปรายล่าสุดของบวรศักดิ์นี้ ให้ท่านได้ชมกัน ดังนี้

๑. บวรศักดิ์ ณ วันนี้ กล่าวว่า “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา ครม. และศาล ซึ่งรัฐธรรมนูญปี ๔๐ และปี ๕๐ ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่าการยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์กฎหมาย ควบคุมกฎหมายเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมาทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง…ฝ่ายบริหารต้องเคารพกฎหมาย ไม่หลีกเลี่ยงกฎหมาย ต้องเคารพคำวินิจฉัย เพราะถ้าฝ่ายบริหารไม่เคารพกฎหมาย หลักนิติธรรมจะล่มสลาย รัฐจะล้มเหลว ไม่อาจเป็นรัฐได้ ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นกับสังคมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราคงไม่อยากเห็นคนไทยทุกคน ต้องตั้งกองกำลังของตนเอง ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่จำเป็นตั้งกองกำลัง ถ้ารัฐเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายเสียเอง"”

บวรศักดิ์ ณ อดีต : บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (๒๕๔๒) โต้แย้งว่า "หากเกิดปัญหาเรื่องเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขึ้น ผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็คือศาลรัฐธรรมนูญนั่นเองในทางกฎหมาย แต่ในเวลาเดียวกัน ในทางการเมือง องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญก็ย่อมมีอำนาจและเอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาการวินิจฉัยเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

หากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในทางขยายเขตอำนาจของตนจนทำลายเขตอำนาจของศาลอื่นหรือองค์กรอื่น องค์กรเหล่านั้นก็ย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้การใช้อำนาจมีการดุลคานกัน ศาลแต่ละศาลเป็นใหญ่ในเขตอำนาจของตนไม่ได้ขึ้นต่อกัน...

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีอันอยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้วนั้นจึงจะผูกพันศาลอื่น แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยคดีซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ความผูกพันต่อศาลอื่นก็ไม่มี" (ดู บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. "เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ" วารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ ๑ เล่มที่ ๑ (ม.ค.-เม.ย.๒๕๔๒), หน้า ๓๑-๓๒)

บวรศักดิ์ (๒๕๕๔) กล่าวต่อไปว่า "เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลายประเทศ ศาลรัฐธรรมนูญตีความขยายอำนาจจนกระทั่งองค์กรอื่นในรัฐธรรมนูญไม่ยอม เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลเฉพาะไม่มีเขตอำนาจทั่วไป เพราะฉะนั้น เรื่องการตีความรัฐธรรมนูญถ้าไม่ใช่ที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ก็อยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ จะส่งเท่าที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติให้ส่ง" (ดู บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, คำอธิบายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ, พิมพ์ครั้งที่ ๒, สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔, หน้า ๒๓๐)

บวรศักดิ์ (๒๕๓๘) ยังกล่าวเสริมประเด็นนี้ไว้อีกว่า “การใช้และการตีความกฎหมายทางการเมืองระดับสูงที่สำคัญ เช่น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอื่น องค์กรทางการเมืองระดับสูงกลับเป็นทั้งผู้ใช้ผู้ตีความกฎหมายและผู้ต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายไปในเวลาเดียวกันเป็นส่วนใหญ่…ไม่มีองค์กรระดับสูงกว่ามาควบคุม แต่การควบคุมในแนวนอน (horizontal control) โดยความสัมพันธ์แห่งอำนาจระหว่างองค์กรทางการเมืองระดับสูงเหล่านั้นยังคงมีอยู่ เพราะการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ให้องค์กรระดับสูงเหล่านั้นมีอำนาจที่จะใช้ตอบโต้การกระทำกันและกันได้ เช่น …ในกรณีให้ศาลและตุลาการรัฐธรรมนูญควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญเอง ฝ่ายบริหารและรัฐสภาก็อาจเสนอและพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นตัดอำนาจ, กำหนดวิธีพิจารณาเรื่องเหล่านี้ได้ ฯลฯ นั้นเท่ากับกฎหมายได้กำหนดกลไกการควบคุมซึ่งกันและกันขององค์กรทางการเมืองในระดับเท่ากัน เข้าทำนองที่ว่า “คุมกันเอง”” (ดู บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, กฎหมายมหาชน เล่ม ๓ ที่มาและนิติวิธี, พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพฯ : นิติธรรม, ๒๕๓๘, หน้า ๑๙๐)

๒. บวรศักดิ์ ณ วันนี้ กล่าวว่า “ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาทุกครั้งโดยอัตโนมัติก่อนการลงประชามติของประชาชน ถึงแม้ในขณะนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ต้องมีผู้ยื่นเรื่องเข้ามาถึงจะตรวจสอบได้”

บวรศักดิ์ ณ อดีต : บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (๒๕๕๓) โต้แย้งว่า “ศาลรัฐธรรมนูญมีลักษณะเป็นศาล ไม่ใช่องค์กรทางการเมือง ในทางวิชาการเกณฑ์ที่ใช้วินิจฉัยความเป็นศาลมีดังนี้ (๑)สิ่งที่จะเสนอไปยังศาลนั้น ต้องเป็นข้อโต้แย้ง ไม่ใช่การถามปัญหา ถ้าเป็นศาลต้องมีข้อพาทหรือมีข้อโต้แย้งก่อน (๒) แม้มีข้อพิพาทแล้ว ถ้าคู่ความไม่นำคดีมาสู่ศาล ศาลจะไปยกมาพิจารณาไม่ได้” (ดู บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, คำอธิบายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๓, หน้า ๑๘๒)

[พุฒิพงศ์ : หากกล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ องค์กรตุลาการ มีบทบาทเชิงรับ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่ใช้จำแนกระหว่าง “องค์กรตุลาการ” กับ “องค์กรฝ่ายปกครองหรือองค์กรทางการเมือง” นั่นเอง กล่าวคือ ศาลเป็นองค์กรชี้ขาดข้อพิพาทให้เป็นไปตามกฎหมาย ศาลไม่อาจเป็นผู้เสนอคดี พิจารณาคดี และตัดสินคดีเองได้ จึงเกิดเป็นหลักว่า “ไม่มีคำฟ้อง ไม่มีผู้พิพากษา” ดังที่บวรศักดิ์ อธิบาย “เกณฑ์ที่ใช้วินิจฉัยความเป็นศาล” ก็คือ ต้องมีข้อพิพาทนำเสนอสู่ศาล และถ้าไม่มีข้อพิพาทศาลจะริเริ่มบทบาทตนเองโดยอัตโนมัติดังที่บวรศักดิ์ เสนอเช่นนี้ องค์กรเช่นว่านั้น แม้จะเรียก “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็สูญเสียความเป็น “ศาล” ไปสิ้น และจะถูกสถาปนาให้กลายเป็นองค์กรที่อันตรายที่สุดในรัฐธรรมนูญเพราะผูกขาดอำนาจการตีความสูงสุดไว้ที่องค์กรเดียวนั่นเอง]

๓. บวรศักดิ์ ณ วันนี้ กล่าวว่า “ปี ๔๐ ยังมุ่งเน้นไม่ให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ครอบงำองค์กรต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชน เพราะในสมัยนั้นเคยมีรัฐบาลแรกที่เป็นประวัติศาสตร์อยู่ครบ ๔ ปี เป็นรัฐบาลที่ไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาได้  ทำให้หลักนิติธรรมถูกธรรมลาย และจบลงด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร วันที่ ๑๙ ก.ย.๒๕๔๙”

บวรศักดิ์ ณ อดีต : เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๙ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี โต้แย้งว่า "เท่าที่ได้ทำงานร่วมกับรักษาการนายกรัฐมนตรีมา ได้เห็นความทุ่มเทของ รักษาการนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งเปรียบเสมือนกับเทียนที่ต้องเผาตัวเองแล้วทำให้เกิดความสว่างในสังคม สุดท้ายเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ยกร้อยกรองขึ้นมาก่อนปิดการประชุมว่า

"พฤษก พกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา""
(ที่มา : สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. "สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ๕ เมษายน ๒๕๔๙" : http://www.eppo.go.th/admin/cab/cab-2549-04-05.html )

บล็อกของ พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
กระบวนการสร้างมโนทัศน์ต่อความผิดฐานหมิ่นกษัตริย์ ว่าด้วยเหตุยกเว้นความผิดพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล๑. ข้อพิจารณาเบื้องต้น
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ปัญหาบางประการเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของ(ร่าง)หลักเกณฑ์การประมูลดิจิตอลทีวี : กรณีให้เปิดเผยผู้ถือหุ้นตั้งแต่ลำดับที่ ๓ ขึ้นไปและทุกทอดตลอดสายนายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
วิพากษ์สุรพล นิติไกรพจน์ (ภาค ๒)๑ พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล คำอภิปรายในงานรำลึกครูกฎหมาย (อาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม) โดย สุรพล นิติไกรพจน์ วันนี้๒  ถ้าอย่างในคัมภีร์ก็คงได้เพียงอุทาน "โมฆะบุรุษหนอ" หรือแปลเป็นภาษาลูกทุ่ง ก็คือ "อ้ายชิบหาย" ครับ
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ข้อน่าพิจารณาบางประการ : กรณีศาลฎีกายกฟ้อง"คดีถาวร เสนเนียม ฟ้องอดีต กกต."(๒๕๔๙) พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล มูลเหตุของคดีนี้เริ่มต้นเพื่อ "สนับสนุนให้รัฐประหาร ๑๙ ก.ย.๒๕๔๙" (เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง โจมตีการเลือกตั้ง) และเป็นชนวนในการสร้างสุญญากาศทางการเมือง  คดีนี้เริ่มต้น จะเห็นภาพพจน์ "ชัดแจ้งยิ่งขึ้น" เมื่อพิจารณาลำดับเหตุการณ์ก่อนพิเคราะห์รายละเอียดที่สำคัญของคดี เราจะเห็นได้ว่า "เหตุการณ์ ๒๕๔๙" นั้นเกิดขึ้นเป็นลูกระนาดเลย คร่าว ๆ ดังนี้[๑]
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ถึงสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล : เรื่องบันทึกการขออภัยโทษคดีสวรรคต พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
จอมพล ป. ในตำแหน่ง"ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และนายกรัฐมนตรี"โดยการทำรัฐประหาร พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
โต้บวรศักดิ์ อุวรรณโณ : การนิรโทษกรรมของคณะราษฎร (๒๖ มิ.ย.๒๔๗๕) พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
อุปสรรคในการร่าง"ประมวลกฎหมายแบบตะวันตก"ฉบับแรกของสยาม พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
การใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญครั้งแรกของไทยเมื่อ ๒๔๗๖ พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ชวนอ่าน "เรื่องเล่า" โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ (๒๕๑๑) หมายเหตุ : บังเอิญผมได้อ่าน ข้อเขียนของ "ราชินี" (ดังที่จะคัดให้อ่านด้านล่าง) ในคราวเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลียกับในหลวง พบว่าน่าสนใจ จึงคัดมาให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกัน - ข้อความด้านล่างนี้เป็นข้อเขียนของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ -------------------------------------------------------
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
บริบทของพระราชดำรัสสดวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘(อนุญาตให้วิจารณ์กษัตริย์?) พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล หลายท่านที่คัดค้านการบังคับใช้ "ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๑๒" มักอ้างอิง (โดยขาดบริบท) พระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งในโอกาสนั้น "ในหลวง" ตรัสเกี่ยวกับ (ทรง)อนุญาตให้ประชาชนวิจารณ์พระองค์ได้ ขอให้สังเกตพระราชดำรัสดังกล่าวในความว่า :
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ดีเบตกรณีสวรรคต ร.๘ ระหว่าง จิตติ ติงศภัทิย์ vs หยุด แสงอุทัย พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗ (คดีสวรรคต ร.๘) กรณีนายเฉลียว จำเลย นั้น ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า "ได้ช่วยปกปิดไม่เอาความนั้นไปร้องเรียนขึ้นจนมีเหตุบังเกิดการประทุษร้ายแด่พระองค์"