Skip to main content

 

 บก.สุชาติ สวัสดิ์ศรี เทียบเชิญฉันเขียนเรื่องสั้น ช่อการะเกด ฉบับเทียบเชิญนักเขียนเก่าที่เคยเขียนช่อการะเกด


ช่อการะเกดยุคใหม่เป็นยุคเข้าไปอยู่ภายใต้บริษัททีวีบูรพา ที่รู้จักกันในรายการคนค้นตน เมื่อได้รับจดหมายก็รู้สึกยินดีเล็กน้อย และรีบตอบรับทันทีด้วยความรู้สึกอยากตอบรับบรรณาธิการ แต่ผ่านไปหกเดือน ฉันก็ยังไม่ได้เขียนและคิดว่าเขียนไม่ได้ด้วย เพราะฉันห่างมันมานาน แต่มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งในความห่างนั้น คือฉันคิดถึงอยู่เสมอ คิดถึงเรื่องสั้น ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับคิดถึงใครสักคนแต่ไม่ได้ไปหา

มันน่าเศร้าเหมือนกัน เพราะก่อนที่ฉันจะมาเขียนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความเรียง บทความ สารคดี หรือนิยายสั้น ฉันเขียนเรื่องสั้นมาก่อน หรือจะเรียกว่า ฉันเริ่มต้นด้วยการเขียนเรื่องสั้นก็ว่าได้ และลึกลงไปกว่านั้น ฉันเริ่มอ่านหนังสืออ่านเล่น ที่ไม่ใช่หนังสือเรียน ด้วยการอ่านเรื่องสั้น เพราะในช่วงที่ฉันเรียน ป. 1 พี่ชายคนโตเป็นครู เขามีหนังสืออ่านเล่นชื่อว่ามิตรครู ฉันจึงได้อ่านเรื่องสั้นของ นิมิต ภูถาวร ต่อมาอ่านของ นิเวศน์ กันไทยราษฏร์ ฉันเป็นเด็กที่ไม่ได้อ่านนิทานแต่ได้อ่านเรื่องสั้น เพราะชนบทในยุคสมัย ปี 2512 ไม่มีหนังสืออ่านเล่นสำหรับเด็ก ฉันพิเศษกว่าเด็กทั่วไปในชนบทสมัยนั้นเพราะเป็นน้องครู

เมื่อฉันเขียนหนังสือ ฉันก็เขียนออกมาเป็นเรื่องสั้น ฉันเคยเขียนเรื่องสั้นทุกวัน เป็นเวลานานนับปี ไม่เคยมีสักวันเดียวทีฉันไม่เขียนเรื่องสั้น เห็นอะไรก็จะคิดเป็นเรื่องสั้น ฉันเคยมีเรื่องสั้นลงเดือนละหลายเรื่อง ตามหน้านิตยสารต่าง ๆ ซึ่งในยุคสมัยปี 2531-2532 นิตยสารเกือบทุกเล่มให้ความสำคัญกับเรื่องสั้น ซึ่งต่างจากสมัยนี้นิตยสารเกือบทุกเล่มไม่มีเรื่องสั้น และถึงมีก็ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสั้น 
 


ฉันมีหนังสือรวมเรื่องสั้นสามสี่เล่ม ถ้าใครถามว่า เขียนหนังสือแนวไหนหรือเขียนอะไร ฉันก็จะบอกไปว่า เขียนเรื่องสั้น ทุกครั้งที่ตกงานฉันจะมีความสุขกับการเขียนเรื่องสั้น ฉันจึงไม่หวั่นการตกงานหรือเรียกว่า ชอบที่จะตกงานเป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้นั่งเขียนเรื่องสั้นให้สบายใจ

ครั้งหนึ่ง สิงห์ สนามหลวง เขียนในคอลัมน์ของเขา ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ คล้าย ๆ กับสรุปแห่งปีว่า แพร จารุ นักเขียนเป็นนักที่ขยันที่สุดแห่งปี ฉันจำไม่ได้แล้วปีไหน แต่รู้สึกยินดีมากกับข้อเขียนหนึ่งบรรทัดนั้น

ผ่านมายี่สิบปี ในปี 2552 ฉันยังคงเขียนหนังสืออยู่ แต่ฉันไม่เขียนเรื่องสั้นแล้ว หลายครั้งที่ใคร ๆ ถามว่าทำไมไม่เขียนเรื่องสั้นแล้ว ฉันก็จะตอบไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่นว่า เดี๋ยวนี้ฉันคิดไม่เป็นเรื่องสั้นแล้ว ไม่มีที่ให้เรื่องสั้นฉันอยู่ และอีกคำตอบหนึ่ง ซึ่งตอบหลายคนไปเหมือนกันคือ ฉันไม่ชอบพี่เลี้ยงนอกเวที ตั้งแต่มีพี่เลี้ยงนอกเวทีเกิดขึ้น ข้าง ๆ คอลัมน์เรื่องสั้น ฉันก็เลิกส่งเรื่องสั้น พี่เลี้ยงนอกเวทีหรือการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องสั้นมีมากขึ้นหรือเกือบทุกฉบับที่มีเรื่องสั้น ซึ่งขัดหูขัดตาขัดใจฉันยิ่งนัก โดยเฉพาะครั้งหนึ่งฉันอ่านเรื่องสั้นแล้วมาอ่าน พี่เลี้ยงนอกเวทีและรู้สึกว่ามันทำให้เรื่องสั้นเรื่องนั้นด้อยค่าลงไปเลยหากคนอ่านเชื่อตามนั้น

นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ขอคนที่ตั้งตัวเป็นพี่เลี้ยง (อย่าโกรธกันเลยกับความคิดเห็นนี้) ท่านทำหน้าที่ของท่านต่อไปเถอะเพราะมีคนชอบอีกมากมาย ฉันเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

สำหรับช่อการะเกด ยุคใหม่ ยิ่งดูห่างไกลนัก เมื่อเข้าไปอยู่ในค่ายทีวีบูรพา หนังสือเล่มหนา ราคาแพงเกินกว่าที่ฉันจะซื้ออ่านได้ ธรรมดาฉันจะไม่เขียนหนังสือที่ฉันซื้ออ่านไม่ได้นิตยสารทุกเล่มที่ฉันเขียนฉันต้องอ่านมันก่อน

งานชิ้นนี้ออกจะเป็นเรื่องสั้นส่วนตัวเล็กน้อย ถือว่าเป็นจดหมายตอบ บรรณาธิการ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ผ่านคอลัมน์ ในประชาไท


ภาพประกอบ จาก vcharkarn.com และ prachatai.com

 

  

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“รู้สึกว่า ปีนี้ ไม่ค่อยจะมีความสดชื่น รื่นเริง  ความรื่นเริงและความสุขดูเหมือนจะหายไป ลุงรู้สึกเช่นนั้นไหม”ลุงว่า ใครมันจะมารื่นเริงอยู่ได้ในสถานการณ์เมืองไทยเป็นเช่นนี้ หมายความว่า น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่สับสนและดูไม่กระจ่างใส  เป็นความเครียดทางสังคม เครียดจากการปกครองโดยทหารที่ลึกลงไป และเข้าใจว่า แม้จะยอมรับก็ยอมรับแบบหวานอมขมกลืน และยิ่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อมีการเลือกตั้งในช่วงใกล้ปีใหม่ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นของฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะทำให้ใครสบายใจได้ เมื่อประชาชนถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น…
แพร จารุ
  ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลงฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง…
แพร จารุ
ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า อาหารบ้านฉัน  เป็นสูตรอาหารพื้นถิ่น ของกินจากป่าหลังบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น เขียนว่าอร่อยไปถึงหัวใจ “ฉันเติบโตมาจากอาหารที่หลังบ้าน เธออยากรู้ไหมว่า อาหารบ้านฉันอร่อยแค่ไหน  เธอไม่ต้องกลัวหรอก บ้านฉันมีอาหารมากมาย กินกันอย่างไม่หมด” หนังสือเล่มนี้ มีผู้ร่วมดูแลหรือผู้ร่วมทำงานด้วย เขาคือ ธนภูมิ อโศกตระกูล เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ การกินอยู่แบบง่าย ๆ เช่น จานอร่อยปลอดเนื้อ มหัศจรรย์แห่งเต้าหู้ เจไม่จำเจ เป็นต้นธนภูมิ อโศกตระกูลเขาเล่าว่า “ได้เข้ามาเที่ยวในแม่เหียะใน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว…
แพร จารุ
“หนาวไหม หนาวหรือยัง”“หนาวแล้ว เชียงไหมหนาวแล้ว”“ฉันจะไปเชียงใหม่”บทสนทนาหนึ่ง ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ รายงานข่าว ขณะนี้ยอดดอยอากาศหนาวมาก โดยเฉพาะดอยสูงอุณหภูมิติดลบแล้ว เกิดน้ำค้างแข็ง มีคำถามว่า นักท่องเที่ยวหรือคนที่จะมาเชียงใหม่ควรได้รับรู้ข่าวคราวอะไรบ้างนอกจากว่า หนาวแล้วหรือหนาวกี่องศา ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในยามบ่าย เขาพูดต่อว่า ถ้าอยากให้คนอื่นที่มาเที่ยวเชียงใหม่ รู้ว่าเขาควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเมืองและรักเมืองนี้ เราต้องให้ข่าวสารเขามากกว่านี้  เราควรต้องทำงานกับสื่อให้มากว่านี้  เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานภาคีฯการมุ่งเน้นให้คนเชียงใหม่ดูแลเมืองเชียงใหม่…
แพร จารุ
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง  ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               1ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์ เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว…
แพร จารุ
ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียวฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์ ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง…
แพร จารุ
ไม่รักไม่บอก  เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน  แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ “ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่…
แพร จารุ
เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แพร จารุ
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา  เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ  เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี…