Skip to main content


ป่าสนวัดจันทร์

 

หลังจากที่เขียนเรื่องป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นผืนป่าสนแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีชนเผ่าใช้วิถีชีวิตแบบเดิม ๆ


ได้รับจดหมายจาก ชุดขาว ชาวเหนือ ว่า ที่นั่นทั้งอำเภอเป็นผืนดินที่ชนเผ่าปกาเกอญอ ลีซู และม้ง อยู่อาศัย นเรื่องป่าสนวัดจันทร์ ันทร์ เป็นพื้นที่ป่าสงวนทั้งหมด ซึ่งชาวบ้านไม่มีโฉนดที่ดิน ชาวปกาเกอญอกลุ่มหนึ่ง ในนามของสมาคมปกาเกอญอก็เตรียมวัดเขตที่ดินที่ทำกินของพวกเขา และพยายามทำโฉนดชุมชนไว้เพื่อไม่ให้ที่ดินถูกเปลี่ยนมือ

เพราะเมื่อที่ดินถูกเปลี่ยนมือโดยกลุ่มทุน พวกเขาอาจจะไม่มีที่ทำกิน บางคนกลายมาเป็นคนขายแรงงานให้กับรีสอร์ท สถานบันเทิง รวมทั้งย้ายลงมาจากดอยเข้ามาอยู่ในชุมชนแออัดตามเมืองใหญ่

และบางส่วนอาจจะบุกรุกที่แห่งใหม่ และผืนป่าก็ถูกทำลาย เจ้าหน้าที่ก็จับกุมกันไป 


ดังนั้นสมาคมปกาเกอญอ โดยคนปกาเกอญอนั่นแหละ ทำเรื่องการทำโฉนดชุมชน เพื่อพวกเขาจะได้อยู่อาศัยไปจนชั่วลูกหลาน และหากมีการท่องเที่ยวหรือมีนักท่องเที่ยวเข้ามาก็ยังสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ เพราะที่ดินจะไม่ถูกซื้อขายเปลี่ยนมือไปจากคนต่างถิ่น อย่างนี้เป็นต้น


 

เมื่อวานนี้ ฉันได้รับจดหมายอีกฉบับหนึ่งที่น่าสนใจ อันสืบเนื่องมาจากป่าสนวัดจันทร์ก็คือ จดหมายที่เขียนว่า จากเชียงคานสู่ป่าสนวัดจันทร์

ในจดหมายนั้นเขาบอกว่า ไม่นานป่าสนวัดจันทร์ก็จะเป็นเช่นเชียงคานที่มีกลุ่มทุนเข้ามาลงทุนมากมายจนทำให้เจ้าของบ้านแทบไม่มีที่อยู่ในบ้านตัวเอง และบอกว่าที่น่าห่วงใบที่สุดก็คือ การมาเปิดเซเว่นที่เชียงคานและพวกเขากำลังต่อต้านกันอยู่ แรกดิฉันก็มาองผ่าน ๆ ว่า แต่เมื่ออ่านโดยละเอียดก็เห็นว่าน่าสนใจจึงเอามาลงให้อ่านกันค่ะ ว่าการมีเซเว่นมันเป็นอย่างไร


ฉันคิดว่าเซเว่นเข้ามาในชีวิตผู้คนจนกลายเป็นความเคยชินหนึ่ง เพราะครั้งหนึ่ง ไปเชียงคาน มีน้องคนหนึ่งซึ่งพักที่เดียวกัน เราคุยกันถูกคอ สักประมาณสองทุ่ม เธอพูดขึ้นว่า
ยังไม่ได้จ่ายค่าน้ำค่าไฟเลย ... เซเว่นไม่มี เออ เมืองนี้ไม่มีเซเว่น

ฉันถามเธอว่า ไม่จ่ายตอนนี้จะมีปัญหาไหม เธอบอกไม่มีหรอก แต่คิดขึ้นได้ก็อยากทำเลย ฉันบอกเธอว่า ถ้ารอได้ก็ไม่มีปัญหาอะไรไปจ่ายที่กรุงเทพฯก็ได้

เอาละ ลองมาอ่านจดหมายฉบับนี้ดูนะคะว่า ทำไมเขาถึงไม่อยากมีเซเว่นและมันส่งผลอะไรกับบ้านเมืองเขา  (จดหมายยาวจึงตัดตอนมาบางส่วน)
 


ริมฝั่งโขงเชียงคาน

 
ร้านค้าสะดวกซื้อนามเซเว่น-อีเลเว่น กำลังจะมาเปิดสาขาที่เชียงคาน


พวกเราต้องร่วมมือร่วมใจกันทำทุกวิถีทาง เพื่อต่อต้าน ขับไล่ไม่ให้นายทุนใหญ่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ฉกชิงเงินทองที่ควรจะหมุนเวียนสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง ภายใต้แนวทางในพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา


ทำไม  พวกเราไม่ต้องการเซเว่นอีเลเว่น...?  เพราะเชียงคาน  มีวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ที่สงบและอบอุ่น ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกันมาเป็นเวลานาน เป็นเมืองเชียงคานที่น่ารัก มีเสน่ห์ ในแบบของเชียงคานเอง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ใครๆ ก็อยากมาเชียงคาน มาสัมผัสชีวิตไทเชียงคานที่เปี่ยมล้นไปด้วยความงดงาม..  ในวิถีแบบชาวบ้านๆ อันหาได้ยากยิ่งแล้วในเมืองไทยในยุคนี้

แต่..  ร้านสะดวกซื้อแบบเซเว่นอีเลเว่น คือสัญลักษณ์แห่งความเป็นเมืองใหญ่ สนองตอบความต้องการของชีวิตคนเมือง ที่รีบเร่งร้อนรน ต้องการความสะดวกสบาย ใช้ชีวิตแบบกินอยู่หลับนอนไม่เป็นเวล่ำเวลา หิวเมื่อไหร่ ต้องการอะไร ก็ต้องได้ในทันที
!

เซเว่นเกิดขึ้นมา..  เสน่ห์เชียงคาน  วัฒนธรรมอันดีงาม  ก็จะถูกกัดเซาะ ทำลายความงามไปทีละนิดๆ   เด็กๆ บ้านเราก็จะฟุ้งเฟ้อ อยากได้อะไรนิด อยากซื้ออะไรหน่อย ก็จะคอยไปแต่ เซเว่นอยากได้เครื่องเขียน อยากได้ยาสีฟัน ทิชชู่ มาม่า ปลากระป๋อง ฯลฯ หิวขึ้นมาคราใด ก็จะวิ่งเข้าเซเว่น  ที่เต็มไปด้วยอาหารขยะที่ไม่จำเป็นกับชีวิต


ซาลาเปาโกฮ่วน ซาลาเปาปุยฝ้ายโกตี๋ ก็จะถูกแทนที่ด้วย ซาลาเปาเซเว่น ไอติมน้าเติบ ก็จะถูกเบียดตกถนนด้วยสเลอปี้  ผัดกะเพราน้านี ก็จะถูกเมิน คนหันไปกินอาหารกล่อง


ถ้าเรายอมให้พวกมันเข้ามากอบโกยจากบ้านเรา  มีหนึ่งก็ต้องมีสอง และ สามสี่ห้าจะตามมาอย่างรวดเร็ว...


แล้วทีนี้...  ร้านค้าชุมชนของไทบ้านเรา จะอยู่กันอย่างไร ? วิถีชีวิตที่เรียบง่ายงดงามจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ?  ใครบ้างจะตอบได้


ด้วยจิตคารวะ
ไทเชียงคาน

 


เรือนไม้เชียงคาน

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“จึงขอตั้งจิตมั่นว่าจะพูดแต่ความจริงด้วยถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง โดยไม่กระพือข่าวที่ตัวเองไม่รู้แน่ชัด รวมทั้งไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจ” ฉันชอบถ้อยคำนี้มาก เป็นถ้อยคำ ที่เพื่อนนำมาฝากหลังจากที่เธอกลับมาจากภาวนา เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ... เพื่อนของฉันกลับมาจาก “ภาวนา” แบบหมู่บ้านพลัม เธอว่าดีงามมาก ใช้กับชีวิตได้ เธอพูดถึง ข้ออบรมสติ 5 ประการ แต่เธอเน้นข้อฝึกอบรม ข้อที่ 4 เธอเขียนส่งมาให้ฉันอ่าน ฉันคิดว่าเธอคงอยากให้ฉันตระหนักรู้ หรือไม่เธอก็บอกอ้อม ๆ ว่า ฉันเป็นคนที่ควรจะปฏิบัติเพราะฉันมีปัญหาในข้อนี้…
แพร จารุ
ระหว่างการพูดคุยกับเพื่อน เพื่อนนักเขียนของฉัน ไปอยู่ไกลถึงลอนดอน ช่วงที่ผ่านมาเธอกลับบ้านเพื่อมาส่งแม่เดินทางไกล เพราะครั้งนี้แม่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย และไม่รู้ว่าเส้นทางสายยาวไกลของแม่อยู่ที่ไหน แต่สำหรับเธอ เชื่อว่า จะไปพบกันที่พระเจ้า เราไม่ได้พบหน้ากันมานาน ได้แต่คุยโทรศัพท์กัน ช่วงแรกเพื่อนนักเขียนของฉันนั่งทำงานเขียน นั่งวาดภาพ และปลูกต้นไม้อยู่ในเรือนกระจกอยู่ที่บ้าน ต่อมาเธอไม่เลือกที่จะนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านแล้ว เธอไปทำงานที่พักคนชรา ทำงานอยู่กับคนแก่ ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกแต่เป็นเรื่องจริงของชีวิต เธอมีการงานที่มีความเศร้า ความตายของคนแก่ที่นั่นอยู่เสมอ
แพร จารุ
ยามเช้าได้อ่านงานของดอกสตาร์ เธอเขียนจั่วหัวว่า เชียงใหม่แพ้ซ้ำซาก Chiangmai lost her beauties. ข้อเขียนของเธอบอกว่า ผังเมืองฉบับใหม่ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วง ๙๐ วัน ที่คนได้รับความเดือดร้อนจากผังเมืองฉบับนี้จะยื่นคำร้องเพื่อคัดค้าน ถ้ารัฐบาลไม่รับฟังและผังเมืองฉบับนี้ผ่าน โฉมหน้าเมืองเชียงใหม่คงจะอัปลักษณ์สุด ๆ รอวันตายลูกเดียว มีเรื่องฝายทั้งสามแห่งคือ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้งและฝ่ายท่าศาลาอีก ของเก่าแก่ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสร้างไว้ให้ลูกหลานชาวล้านนาได้ประโยชน์กลับจะรื้อทิ้งโดยเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อยที่เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองกับลูกหลานในอนาคต“…
แพร จารุ
พ่อหมื่นแก่ฝายคนสุดท้าย นัดพบที่หน้าฝายพญาคำ ในวันเสาร์ที่ 13 กันยายน เวลา 10.00 น. ร่วมทำพิธีสืบชะตาอีกครั้ง ชาวบ้านยอมให้มีการสร้างประตูระบายน้ำแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามทุบห้ามรื้อฝายโบราณทั้งสามฝาย หรือทดลองใช้ประตูระบายน้ำก่อนสองปี ว่าสามารถทดน้ำเข้าเหมืองเพื่อส่งเลี้ยงไร่นาได้หรือไม่ คือให้ลองดูว่าประตูน้ำทำหน้าที่แทนฝายหินทิ้งเก่าแก่ได้ดีแค่ไหน การจัดการน้ำด้วยระบบเหมืองฝายจะถูกเปลี่ยนมือ จากการจัดการโดยชาวบ้านในระบบแก่ฝายมาเป็นจัดการโดยรัฐชลประทาน ชาวบ้านผู้ใช้น้ำคิดอย่างไรถึงยินยอมทั้งที่ยื้อกันมานาน ถ้านับตั้งแต่ช่วงแรกที่จะมีการรื้อก็เกือบสิบปีแล้ว
แพร จารุ
ฉันได้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะมาเที่ยวตามป่าเขาแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ   รัฐบาล โดยนายอำเภอ และอุทยานแห่งชาติ จัดให้มีงานบวชป่า และส่งมอบอาวุธปืน มีหนังสือจากหน่วยงานของรัฐมาถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในเย็นวันหนึ่ง มีเสียงพูดกันเบา จับใจความได้ว่า พวกเขากังวล เพราะพวกเขาไม่มีปืนจะไปมอบ ฉันฟังอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้พวกเขาว่าจะกังวลทำไม ไม่มีก็ไม่ต้องมอบ บอกไปว่าเราไม่มีก็จบ ก็ไม่มีจะเอามาจากไหน
แพร จารุ
 “ไม่นานคนก็ตายกันหมดโลกแน่ ๆ”หญิงสาววัยเพิ่งผ่านเลขสามพูดขึ้นก่อนล้มตัวลงนอน “พี่เชื่อไหม ไม่นานผู้คนจะตายหมดโลก” เธอพูดอีกครั้ง “อะไรทำให้เธอคิดเช่นนั้น” ฉันถามออกไปด้วยความขลาดกลัว มานอนกลางป่ากลางเขาแล้วพูดถึง เรื่องความตาย  ไม่อยากจะฟังคำตอบจากเธอ รีบเตรียมถุงนอน พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนใกล้ ๆ เธอ คืนนี้เราเลือกที่จะไม่นอนในบ้านสบาย ๆ แต่เลือกที่จะมานอนกันในป่าเปลี่ยนบรรยากาศ   เธออธิบายต่อว่า เมื่อกลางวันได้ยินข่าวแผ่นดินไหวที่เชียงราย 3.5 ริกเตอร์  เมื่อแผ่นดินไหวที่เชียงรายได้ ก็ไหวที่เชียงใหม่ได้ หรือที่อื่น ๆ ได้ และมันคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “อือ...ก็น่าจะจริง…
แพร จารุ
 เธอได้ยินไหม  คนบ้านฉันเขาตัดไม้กันอยู่ เสียงดังกรูด ๆ ๆ แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงไม่ล้ม ฉันฟังจนแยกออกแล้วว่า เสียงที่ล้มลงมาต้นเล็กต้นใหญ่ขนาดไหน ฉันบอกเพื่อนไปเช่นนั้น ด้วยเราพูดกันอย่างไม่เห็นหน้าจึงไม่รู้ว่า เพื่อนทำหน้าตาอย่างไร เธอคงคาดไม่ถึงว่าได้ยินเสียงตอบเช่นนี้ เธอคงผิดหวังมากทีเดียวเพื่อนโทร.มาบอกให้ฉันช่วยเขียนเรื่องการปลูกต้นไม้ เป็นโครงการหนึ่งของมูลนิธิที่เธอทำงานอยู่ ชื่อว่า โครงการป่าเมือง หรือการปลูกต้นไม้ในเมืองนั่นเอง
แพร จารุ
ขอคั่นรายการหน้าโฆษณาหน่อยนะคะ บอกจริง ๆ ว่า ช่วงนี้รู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก คุณผู้อ่านรู้จักคำว่า โหวงเหวงไหม มันเป็นอาการซึม ๆ เศร้า ๆ และรู้สึกเบา ๆ ในหัวใจ  เมื่อทบทวนดูอาการแล้ว พบว่าน่าจะมาจากสภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ซึ่งน่าจะเป็นอาการผิดปกติจากข่าว ช่วงนี้มีข่าวมีคนตายเป็นหมื่นเป็นแสน และยังหายสาบสูญไปอีกเท่าไหร่ไม่รู้ อีกทั้งยังบาดเจ็บรอคอยอยู่อีกมาก
แพร จารุ
“พี่มันน่ากลัวจริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม้พี่ไม้ ไม้เป็นหมื่น ๆ” เธอส่งเสียงมาเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน“อยู่แดนสนธยาที่ไหน” ฉันถามกลับไปเพื่อให้ตัวเองตั้งสติหากมีเรื่องร้าย “ไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นไม้เป็นหมื่น ๆ ท่อนพี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเยอะจริง เดี๋ยวจะถ่ายรูปส่งไปให้ดู บางต้นมีผ้าเหลืองผ้าแดงผูกโคนต้นด้วย” “ที่ไหน” “กิ่วคอหมาพี่ เขากำลังสร้างเขื่อนกิ่วคอหมา พี่รู้เรื่องนี้ไหม พูดแล้วขนลุกพี่ รอเดี๋ยว ๆ นะพี่นะจะส่งรูปไปให้ดู”“จ๊ะ แล้วเธอไปทำไม”“ขับรถผ่านมานะพี่  กลับมาจากลำปาง”เธอพูดหลายครั้งว่าเธอไม่เคยเห็นไม้เยอะขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ และสงสัยว่าทำไมเขายังตัดไม้กันขนาดนี้…
แพร จารุ
เขาว่ากันว่า  เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติงดงาม เมืองวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จอดดูสักหน่อยซิเขาเล่ากันต่อว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงสุด ปีหนึ่งๆ มีคนมาเที่ยวเชียงใหม่มากมาย เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหาเงินทอง เมกกะโปรเจคขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ว้าว! แล้วคนเชียงใหม่ คิดอย่างไรกับเมืองเชียงใหม่ หากไปถามคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยคนเชียงใหม่ต่างวิตกกังวล คนเชียงใหม่บอกว่า เมืองน่าอยู่นั้นคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนซึ่งไม่นานเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ คนเชียงใหม่ลำบากกับรถติดในเมือง คนเชียงใหม่กลัวน้ำท่วมเหมือนปี 2548 ฤดูร้อน…
แพร จารุ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปร่วมงาน เปิดตัวหนังสืออาหารบ้านฉัน ที่บ้านแม่เหียะใน หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ มาเปิดงาน ฉันฟังเสียงของท่านไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่ายืนไกลและที่บ้านแม่เหียะใน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟดังมาก จึงไปถามชาวบ้านที่ตั้งใจไปฟังใกล้ ๆ ว่าท่านพูดอะไร แน่นอนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานเขาต้องตั้งใจฟังทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานพูด เพราะว่าชีวิตขึ้นอยู่กับอุทยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือเรียกว่าอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยาน “ท่านพูดว่า ท่านเข้าใจว่าที่ทำหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมาเพราะต้องการที่อยู่ที่กิน” หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าท่านพูดเช่นนั้น และเธอรู้สึกดีใจมาก“…
แพร จารุ
ป้าของฉันเป็นผู้หญิงธรรมดามาก ไม่เป็นที่รู้จักของใคร  ฉันคิดว่าคนที่ป้ารู้จักมีแต่หลาน ๆ กับคนข้างบ้านเท่านั้น และคนที่รู้จักป้าก็เช่นกัน ป้าเป็นผู้หญิงธรรมดาจริง ๆ แต่ฉันอยากเขียนถึงป้า เพราะน่าจะมีแต่ฉันที่จะเขียนถึงป้า และฉันก็น่าจะเป็นหลานคนเดียวที่ไม่เคยได้ทำอะไรให้ป้าเลยนอกจากเขียนถึงป้า ใจหายเหมือนกันเมื่อคิดว่า นี่คือสิ่งแรกที่ฉันจะทำให้ป้า ป้าฉันไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม ตั้งแต่ฉันรู้จักเป็นป้าหลานมา ฉันไม่เคยเห็นป้าทำอะไรไม่ดีเลย ไม่ใช่แกเป็นป้าที่ดีของพวกหลาน ๆ แกเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเพื่อนบ้าน ชีวิตป้ามีความสุขมาก ฉันคิดว่าป้ามีความสุขทุกวัน…