Skip to main content

 

แล้วฉันก็คิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิน ฉันเดินทางไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ  และบอกเธอว่า ฉันอยากจะไปเยี่ยมนักเขียนผู้ใหญ่รุ่นพี่คนหนึ่ง  เพื่อนบอกว่า ไม่ได้ไปนานแล้ว ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยมีใครไปหาใครกัน  เมื่อถามว่าทำไม


หลายคนบอกว่า ไปแล้วไม่มีความสุข ไม่สนุกเหมือนเก่า เพราะท่านเคร่งเครียดเรื่องการเมืองมาก แบ่งแยกสีชัดเจน

ฉันห่างกลุ่มเพื่อนไปนานเกินไป นานจริง ๆ  เราคุยกันทางทวิสเตอร์บ้าง เฟสบุคบ้าง  แต่เป็นการคุยกันแบบสั้นๆ  ฉันรู้สึกตกใจในความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป


ฉันจึงโทรไปคุยกับเขาแทนที่จะมุ่งตรงไปหาเขาเลยเหมือนที่เคยทำ  หลังจากคุยกันเรื่องการเดินทาง ทุกข์ สุข จบลง ฉันถามถึงเพื่อน ๆ เขาบอกว่า ไม่ได้ติดต่อกันระยะหนึ่งแล้วเพราะต่างก็มีการแสดงอยู่ในฉากหลัง

ฟังดูแปลก ๆ
การแสดงอยู่ในฉากหลัง ฉันจึงตัดสินใจไม่เดินทางไปหาเขา

เพื่อนบอกว่า ท่านจะพูดจาสั่งสอนเรื่องการเมืองตลอดเวลา แต่ไม่ได้สั่งสอนแบบเป็นกลาง งานจึงกร่อย ๆ ทุกครั้งที่ไป  เพราะทัศนะที่รุนแรง และไม่ยอมรับความเห็นที่ต่างกัน

น่าแปลกสำหรับคนที่ผ่านเรื่องราวความผันแปรทางการเมืองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้

ฉันรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ  เมื่อเพื่อนเล่าถึงความเป็นไปของหลาย ๆ คน ที่ต้องโดดเดี่ยวเพราะเป็นแดงจ้า เหลืองจัดเกินไป โกรธเกลียดกันเกินไป และไม่ยอมฟังอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างเลือกที่จะรับสื่อของตัวเอง

 

 

เพื่อนอีกคนหนึ่งบอกว่า  เราควรข้ามพ้นเรื่องเหลืองแดงไปให้ได้ อย่าจมอยู่กับมันเลย เพราะสักวันหนึ่งมันก็จะผ่านพ้นไป
ใช่แล้ว ฉันเคยได้ยิน ใครสักคนหนึ่งพูดว่า มันจะสำคัญกว่าการเป็นเพื่อน เป็นน้า  ป้า ลุง ไปได้อย่างไร

แต่หลายคนพยายามที่จะให้เราคิดเหมือนเขา ทำแบบเขา พอเราคิดหรือทำไม่เหมือนเขา กลายเป็นว่า เราไม่ใช่เพื่อนเขาอีกแล้ว เพื่อนอีกคนหนึ่งว่า

เพื่อนอีกคนเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพวกเขาดื่มกินกันในร้านแห่งหนึ่ง มีคนหนึ่งเริ่มต้นคุยเรื่องเหลืองแดงขึ้นมา
เขาบอกว่า “เรามีแค่สองทางเลือกเท่านั้นหรือ ไม่มีทางเลือกที่สาม ผมอยากคิดถึงทางเลือกที่สาม คือเป็นสีเทา สีขาว

ไม่ได้หรอก คุณต้องเลือก คุณจะมาเสพสุขกับประวัติศาสตร์ที่ผู้อื่นต่อสู้มาไม่ได้
บรรยากาศการพูดคุยเปลี่ยนไปทันที เมื่อมีฝ่ายสนับสนุนเลือกข้างดังขึ้น
ในที่สุดเขาบอกว่า
ไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นผมจะกลับนะครับ
ไม่มีใครบอกเขาว่า อย่าเพิ่งกลับเลย เหมือนเช่นทุกครั้ง เขาจึงเดินก้มหน้าออกมา

เขาบอกภายหลังว่า เขาเดินกลับด้วยความเจ็บปวด เขามีคำถามว่า  เพื่อนที่ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมทำงานกันมานานทำไมจึงไม่เหลือเยื่อใยเลย เพียงแค่คิดไม่เหมือนกันหรือไม่เลือกข้างเท่านั้น

 

 

เมื่อวานนี้เพื่อนที่ผ่านฟ้าโทร.มาบอกว่า เขาเครียดมากที่ต้องปิดประตูบ้านอยู่ท่ามกลางผู้ชุมนุม เขาจะไปไหนได้เล่า บ้านเขาอยู่ผ่านฟ้า

ฉันนำเรื่องนี้ขึ้นไปคุยที่เฟสบุค มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า  ถ้าเป็นพวกเดียวกันก็สนุกใช่ไหมล่ะ นาทีนี้ฉันไม่คิดว่าใครจะสนุก ไม่มีใครสนุกหรอก ถึงแม้จะทำเป็นเรื่องตลก ๆ แต่ฉันเชื่อว่าไม่มีใครหัวเราะเต็มเสียง แม่เราจะเอาเรื่องสนุก ๆ มาคุยกัน เราต่างอยู่กันด้วยความหวาดระแวง ห่วงใยและกังวล เช่น พ่อแม่ คนเฒ่าคนแก่ในชนบทก็ห่วงใยลูกหลานที่ไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ นี่เป็นเรื่องที่ครอบครัวใคร ๆ ต่างก็ต้องเจอ

เมื่อครั้งเหลืองเต็มถนนเราพูดถึงคำว่า สมานฉันท์กันตลอดเวลา มาคราวนี้เราพูดถึงคำว่า สันติวิธี มันจะสันติวิธีได้อย่างไร ในเมื่อมีแต่ความโกรธเกลียดอยู่ทั่ว และกำลังกระจายไปทั่ว

เมื่อวานนี้ มีคนแถวบ้านกลับมาจากเมืองหลวง เมื่อถามว่าเป็นไงบ้าง  เขาพูดว่า กลับมาทำกินของเราดีกว่า  ฟังเขาพูดจบแล้วคิดถึงคำว่า เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง

ฉันคิดว่าถ้าประชาชนต่างคิดใหม่ ไม่เอาตัวผู้นำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นที่ตั้ง เราอาจจะคิดอะไรได้ และอาจจะไม่ทำในสิ่งที่ถูกเลือกให้ทำ แต่ทำในสิ่งที่เป็นสิทธิของเราจริง ๆ

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
“รู้สึกว่า ปีนี้ ไม่ค่อยจะมีความสดชื่น รื่นเริง  ความรื่นเริงและความสุขดูเหมือนจะหายไป ลุงรู้สึกเช่นนั้นไหม”ลุงว่า ใครมันจะมารื่นเริงอยู่ได้ในสถานการณ์เมืองไทยเป็นเช่นนี้ หมายความว่า น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ โดยเฉพาะการเมืองที่สับสนและดูไม่กระจ่างใส  เป็นความเครียดทางสังคม เครียดจากการปกครองโดยทหารที่ลึกลงไป และเข้าใจว่า แม้จะยอมรับก็ยอมรับแบบหวานอมขมกลืน และยิ่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อมีการเลือกตั้งในช่วงใกล้ปีใหม่ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นของฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะทำให้ใครสบายใจได้ เมื่อประชาชนถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น…
แพร จารุ
  ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงปีใหม่ที่ไม่รู้สึกสดชื่นนัก ดูเหงา ๆ วังเวง ในท่ามกลางงานเลี้ยงรื่นเริงที่มีอยู่และเป็นไปตามวาระของมัน ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ลึกลงไปแต่ฉันสัมผัสได้อย่างเย็นเยียบจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกหรือไม่ หรือว่าฉันรู้สึกอยู่คนเดียว ว่าเป็นปีใหม่ที่ไม่มีความรื่นเริงอยู่จริง มันหดหู่อยู่ภายในหัวใจอย่างไรไม่รู้ คล้ายรู้สึกว่า ความเศร้ามารอคอยเคาะประตูอยู่หลังบ้าน... หลังจากงานรื่นเริงจบลงฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าความรู้สึกนี้เป็นจริง หรือว่าฉันกำลังจะป่วยด้วยอาการกลัวหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า อะไรทำให้ฉันคิดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของตัวเอง…
แพร จารุ
ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า อาหารบ้านฉัน  เป็นสูตรอาหารพื้นถิ่น ของกินจากป่าหลังบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น เขียนว่าอร่อยไปถึงหัวใจ “ฉันเติบโตมาจากอาหารที่หลังบ้าน เธออยากรู้ไหมว่า อาหารบ้านฉันอร่อยแค่ไหน  เธอไม่ต้องกลัวหรอก บ้านฉันมีอาหารมากมาย กินกันอย่างไม่หมด” หนังสือเล่มนี้ มีผู้ร่วมดูแลหรือผู้ร่วมทำงานด้วย เขาคือ ธนภูมิ อโศกตระกูล เป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารสุขภาพ การกินอยู่แบบง่าย ๆ เช่น จานอร่อยปลอดเนื้อ มหัศจรรย์แห่งเต้าหู้ เจไม่จำเจ เป็นต้นธนภูมิ อโศกตระกูลเขาเล่าว่า “ได้เข้ามาเที่ยวในแม่เหียะใน เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว…
แพร จารุ
“หนาวไหม หนาวหรือยัง”“หนาวแล้ว เชียงไหมหนาวแล้ว”“ฉันจะไปเชียงใหม่”บทสนทนาหนึ่ง ที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ รายงานข่าว ขณะนี้ยอดดอยอากาศหนาวมาก โดยเฉพาะดอยสูงอุณหภูมิติดลบแล้ว เกิดน้ำค้างแข็ง มีคำถามว่า นักท่องเที่ยวหรือคนที่จะมาเชียงใหม่ควรได้รับรู้ข่าวคราวอะไรบ้างนอกจากว่า หนาวแล้วหรือหนาวกี่องศา ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในยามบ่าย เขาพูดต่อว่า ถ้าอยากให้คนอื่นที่มาเที่ยวเชียงใหม่ รู้ว่าเขาควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเมืองและรักเมืองนี้ เราต้องให้ข่าวสารเขามากกว่านี้  เราควรต้องทำงานกับสื่อให้มากว่านี้  เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานภาคีฯการมุ่งเน้นให้คนเชียงใหม่ดูแลเมืองเชียงใหม่…
แพร จารุ
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง  ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               1ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์ เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว…
แพร จารุ
ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียวฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์ ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง…
แพร จารุ
ไม่รักไม่บอก  เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน  แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ “ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่…
แพร จารุ
เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แพร จารุ
“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา  เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ  เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี…