Skip to main content

1. คำนำ

ขณะนี้มีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังครุ่นคิดถึง
"การเมืองใหม่" ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่ามันคืออะไรกันแน่ ทราบแต่ว่า "การเมืองเดิม" ซึ่งก็คือการเมืองแบบตัวแทน (representative democracy) กำลังมีปัญหาหลายอย่างและรุนแรงขึ้นทุกขณะ

บทความนี้จะนำเสนอความล้มเหลวของ "การเมืองแบบตัวแทน" อย่างสั้นๆ พร้อมกับนำเสนอ "การเมืองแบบไฮเพอร์ (hyperpolitics)" ให้พอเป็นประกายเบื้องต้น หากสังคมนี้สนใจก็มีช่องทางให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมกันต่อไป

2. สาเหตุความล้มเหลวของการเมืองแบบตัวแทน

เราท่องกันจนขึ้นใจมาตั้งแต่วัยเด็กแล้วว่า สาเหตุสำคัญของการมี "การเมืองแบบตัวแทน" คือเป็นเพราะคนมันเยอะ สภามันแคบจึงต้องมีการเลือกตั้ง "ผู้แทน" เข้าไปพูด ทำหน้าที่แทนเราในสภา

คำถามก็คือว่า แล้วผู้แทนที่เราเลือกเข้าไปแล้ว ได้ทำหน้าที่ตามเจตจำนงที่ประชาชนผู้เลือกตั้งได้กำหนดไว้หรือไม่ ขอย้อนไปดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ สักสองตัวอย่าง

ตัวอย่างแรก การเปิดรัฐสภาเพื่ออภิปรายรับฟังความคิดเห็นของ ส.. และ ส.. ครั้งล่าสุด (รัฐบาลสมัคร) ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้อภิปรายกันสักคำเลย ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลก็ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีต่อไป ตัวอย่างที่สอง ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไป (ธันวาคม 2550) พรรคชาติไทยได้ให้สัญญาก่อนการเลือกตั้งว่า "จะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชาชนอย่างเด็ดขาด" จนทำให้นักวิชาการชื่อดังท่านหนึ่งถึงกับเสนอยุทธศาสตร์การลงคะแนนให้กับประชาชน แต่แล้วพรรคชาติไทยก็ได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนเองได้สัญญาไว้

จากตัวอย่างทั้งสองได้สะท้อนว่า "การเมืองแบบตัวแทน" เป็นสิ่งที่ล้มเหลว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เลือกได้ ไม่เฉพาะแต่สองตัวอย่างนี้ที่ชัดเจนนี้เท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ให้เห็นทั่วไปจนนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งสิ่งที่นักการเมืองชอบอ้างว่า ตนเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่มาจากการเลือกตั้ง ใครไม่พอใจอะไรก็ขอให้ใช้กระบวนการทางรัฐสภา อย่าใช้คนข้างถนนจำนวนหยิบมือเดียวมาบีบ

จนอาจกล่าวได้ว่า การเมืองแบบตัวแทนเป็น "ยาที่หมดอายุ" ไม่ใช่ "นักการเมืองหมดอายุ" ตามที่มีการโต้เถียงกันก่อนหน้านี้

เราลองดูทัศนะของนักปราชญ์ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนกันสักหน่อย ท่านคือ อมาตยา เซ็น (Amartya Sen) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 2531 ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานคลุกคลีอยู่กับนโยบายเพื่อคนจนมาตลอด นักข่าวถามท่านว่า

คุณพอจะบอกเหตุผลได้ไหมว่า ทำไมจึงยึดมั่นและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่คลอนแคลนมาตลอดชีวิต? ท่านอมาตยา เซ็น ได้สรุปไว้ 2 ข้อใหญ่ๆ คือ เพราะ
1.ประชาธิปไตยอำนวยโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและถกเถียงกันด้วยเหตุผล
2.ประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้เรียกร้องความยุติธรรมและความเท่าเทียม รวมทั้งปฏิเสธนโยบายต่างๆ ที่สังคมยอมรับไม่ได้

ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันคิดทบทวนดูว่า (1) ในกระบวนการประชาธิปไตยในเมืองไทยได้มีการถกเถียงกันด้วยเหตุผลหรือไม่ เริ่มตั้งแต่การตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง การซื้อเสียง การอภิปรายในสภาและ (2) การปฏิเสธนโยบายต่างๆ การประท้วง การร้องเรียน รวมถึงการนัดหยุดงาน เป็นสิ่งที่เป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่

เท่าที่ผมได้สัมผัส ผมรู้สึกว่าสังคมไทยเรามีความบกพร่องในกระบวนที่นำไปสู่ "การเมืองแบบตัวแทน" อย่างรุนแรง เมื่อกระบวนการหรือ "มรรค" บกพร่องเสียแล้ว ก็ย่อมนำไปสู่ผลล้มเหลวจนต้องคิดค้นหาการเมืองใหม่

3. การเมืองแบบไฮเพอร์

นักคิดบางกลุ่ม (http://www.edge.org/ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติกับนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งที่เขียนหนังสือชื่อ Dreams of Reason: The Rise of the Sciences of Complexity) ได้นำเอาคำบรรยายของผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ท่านหนึ่ง มาเป็นข้อสรุปถึงความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนว่า

"การกระจายอำนาจใหม่ (power redistribution) ในศตวรรษที่ 21 ได้ขับเอาประชาธิปไตยแบบตัวแทนออกไปแล้ว ประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้แก้ปัญหาที่ท้าทายอยู่ข้างหน้า และการที่จะเริ่มต้นฟื้นฟูขึ้นใหม่ก็ไม่เพียงพอแล้ว ในอนาคตดูเหมือนไม่มีอะไรที่เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยมักแสวงหาความเข้มแข็งของปัจเจกบุคคล"

ผู้เชี่ยวชาญที่ว่านี้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เขาชื่อ มาร์ก เพสซิ (Mark Pesce) ศาสตราจารย์เพสซิได้แสดงปาฐกถาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เวที "Personal Democracy Forum" ที่ศูนย์ลินคอล์น นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้เอง

ท่านที่สนใจและสามารถเข้าถึงอินเตอร์เนตได้กรุณาเข้าไฟฟังเสียงบรรยายและอ่านเอกสารได้ที่ http://blog.futurestreetconsulting.com/ จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันวิจารณ์ สำหรับผมเองจะค่อยๆ ทำความเข้าใจแล้วนำมาเสนอต่อสาธารณะครับ

ศาสตราจารย์ท่านนี้อ้างถึงผลงานของนักวิชาการท่านอื่นๆว่า มนุษย์เราได้มีมานานประมาณ 6 หมื่นปี เรามีร่างกายที่ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ เรามีสมองที่โตกว่า เรามีกล่องเสียงที่สามารถสื่อสารได้หลากหลายเสียง เรามีหัวแม่มือกับนิ้วชี้ที่สามารถจับสิ่งของได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น โดยสรุปคือเรามี "ฮาร์ดแวร์" ที่วิเศษมาก แต่มันใช้เวลานานมากในการพัฒนา "โปรแกรม" เพื่อมารองรับกับฮาร์ดแวร์ดังกล่าวเพื่อให้ได้ใช้งานอย่างเต็มความสามารถ

มนุษย์เริ่มใช้เสียง ท่าทาง เครื่องพิมพ์ในการสื่อสาร แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เนต ได้เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้สื่อสารถึงกันอย่างรวดเร็วในอัตราเร่ง

การสื่อสารได้ช่วยให้มนุษย์ได้มีการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

เมื่อสิบปีก่อน โลกได้ผ่านพ้นจากสภาพที่คนครึ่งโลกไม่เคยได้รับโทรศัพท์เลย มาสู่สภาพที่คนครึ่งโลกมีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง คาดกันว่าอีก 2 ปีข้างหน้ากว่า 80% คนในโลกจะมีโทรศัพท์มือถือ

เมื่อปีที่แล้ว ทั่วโลกมีการส่ง SMS ถึงกันจำนวนกว่า 43 พันล้านข้อความ (เฉลี่ยคนละ 7 ข้อความต่อปี) นอกจากนี้ระบบการสื่อสารผ่านอินเตอร์เนตแบบสามมิติที่สามารถตอบสนองได้ทันที (VRML) ที่มีทั้งเสียง ภาพสีและมองได้หลายมุม

เราเรียกการสื่อสารยุคใหม่นี้ว่า "การเชื่อมต่อแบบไฮเพอร์ (hyperconnected)"

สังคมไทยเราเข้าใจคำว่า "ไฮเพอร์ (hyper)" จากคำว่า "เด็กไฮเพอร์" ซึ่งหมายถึงเด็กที่ไม่ค่อยปกติทางกิจกรรมที่แสดงออก ชอบอยู่ไม่นิ่ง เล่นโน่น ทำนี่ไปเรื่อย และบางครั้งอาจจะสมาธิสั้นกว่าเด็กๆ ทั่วไปด้วย ทางการแพทย์เชื่อกันว่าเด็กไฮเพอร์เกิดจากความบกพร่องที่มาจากหลายสาเหตุ รวมทั้งอาจเป็นเพราะกินของหวานจนมากเกินไปด้วย.

ในทางวิชาการสาขาอื่น คำว่า "ไฮเพอร์" ใช้เติมหน้าคำอื่นเพื่อบ่งบอกถึงความ "มากกว่า" หรือ "เหนือกว่า" เช่น ความเร็วที่มากกว่าความเร็วเสียง เราเรียกว่า "ซุพเพอร์โซนิค(supersonic)" เราใช้คำว่า "ซุพเพอร์" เติมหน้า "โซนิก" ซึ่งหมายถึงเกี่ยวกับเสียง แต่ "ไฮเพอร์โซนิก (hypersonic)" เป็นระดับของความเร็วของวัตถุใดก็ตามที่สูงกว่าความเร็วเสียงถึงห้าเท่าตัว ดังนั้น คำว่า "ไฮเพอร์ (hyper)" จึงเหนือกว่าหรือมากกว่า "ซุพเพอร์ (super)" มากมายนัก

หลายสิบปีก่อน เราทั้งหลายรู้จักและเข้าใจดีถึงพลังของ"ซุพเพอร์แมน (superman)" ที่สามารถเหาะได้และแข็งแรงพอที่จะผลักลมพายุให้เปลี่ยนทิศทางได้ ในระยะหลังเรารู้จัก "ซุพเพอร์มาร์เก็ต" ที่ทำเอาร้านโชห่วยดั้งเดิมของเราเจ๊งไปตามๆกัน

ดังนั้นเราลองจินตนาการดูซิครับว่า ถ้าเรามีคำว่า "ไฮเพอร์แมน (hyperman)" หรือ "ไฮเพอร์มาเก็ต" แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ก่อนจะกล่าวถึง "การเมืองแบบไฮเพอร์ (Hyperpolitics)" ผมขออนุญาตขยายความให้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง คราวนี้แหละท่านจะเข้าใจความหมายของคำได้ชัดเจนขึ้น ในวงการคณิตศาสตร์ ถ้าเราใช้คำว่า "ไฮเพอร์" เติมหน้าคำว่า "ลูกบาศก์(cube)" ซึ่งหมายถึงรูปทรงเรขาคณิตที่เป็นรูปลูกบาศก์หรือลูกเต๋าซึ่งมีสามมิติที่เราสามารถสัมผัสด้วยสายตาหรือลูบครำได้ แต่คำว่า "ไฮเพอร์ลูกบาศก์ (hypercube)" หมายถึงรูปทรงเรขาคณิตที่มีมิติตั้งสี่ขึ้นไป คราวนี้แหละเราคนธรรมดาๆ ไม่สามารถจินตนาการได้ว่า มันคือรูปทรงอะไรกันแน่ แต่นักคณิตศาสตร์เขาสามารถเข้าใจและว่ากันไปตามภาษาของเขาได้

เมื่อเรามีการเชื่อมต่อแบบไฮเพอร์เป็นโปรแกรมแล้ว สังคมจะเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ท่านเรียกการเรียนรู้นี้ว่าว่า "การลอกเลียนแบบชนิดไฮเพอร์ (Hyperminesis)"

ท่านติดตามการถ่ายทอดสดของเวที "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ย่อมสังเกตเห็นพฤติกรรมดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แม้แต่คำทักทายก็ขึ้นต้นด้วย "พ่อแม่พี่น้องเฮอ สู้ไม่สู้" ฯลฯ

พฤติกรรมของมนุษย์ที่นิยมลอกเลียนแบบกันมาจากรุ่นแล้วรุ่นเล่า ในปัจจุบันการเรียนรู้เป็นไปอย่างรวดเร็ว แผ่ซ่านไปอย่างกว้างขวาง ท่านใช้คำว่า "กระจายตัวแบบไฮเพอร์(hyperdistribution)" โดยผ่านทาง "การเชื่อมต่อแบบไฮเพอร์"

"มนุษย์ต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วยเอกสารที่เราส่งถึงกัน และแต่ละสิ่งใหม่จะกลายเป็นโปรแกรมใหม่สำหรับความรุ่งเรืองใหม่ๆ"

ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้จะทำให้ผู้รับได้พัฒนาขึ้น รู้เท่าทันกลลวงของนักการเมือง ท่านใช้คำว่า "ความเข็มแข็งแบบไฮเพอร์ (Hyperempowerment)"

ความพยายามที่จะปิดกั้นการกระจายของข้อมูลข่าวสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ในตอนหนึ่ง ผู้บรรยายได้กล่าวว่า "พัฒนาการทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีมากว่า 5 หมื่นปี อาจจะถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงภายในเวลา 20 ปี ด้วยการสื่อสารแบบไฮเพอร์"

การเมืองแบบไฮเพอร์จะเปลี่ยนแปลงสังคมโลกไปอย่างที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ คาดไม่ถึงก็แล้วกัน ผู้บรรยายสรุป

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
กลไกการควบคุมระบบพลังงานของโลกเรื่องพลังงานเป็นเรื่องใหญ่และเชื่อมโยงกันหลายมิติหลายสาขาวิชา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจกันในช่วงเวลาอันสั้นและจากเอกสารจำนวนจำกัด ในที่นี้ผมจะเริ่มต้นนำเสนอด้วยภาพการ์ตูนและข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเราจะเข้าใจทันทีว่า (๑) ทำไมกลุ่มพ่อค้าพลังงานทั้งระดับประเทศและระดับโลกจึงมุ่งแต่ส่งเสริมการใช้พลังงานฟอสซิลที่ใช้หมดแล้วหมดเลย ซึ่งได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้า (๒) ทำไมพลังงานจากธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่มีวันหมดหรือหมดแล้วก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ เช่น พลังงานจากพืช พลังงานลมและแสงอาทิตย์…
ประสาท มีแต้ม
๑ คำนำ: วิธีการศึกษา-วิธีการเคลื่อนไหว ภาพถ่ายข้างบนนี้มาจากภาพยนตร์สารคดีด้านสิ่งแวดล้อม เรื่อง “ความจริงที่ยอมรับได้ยาก (An Inconvenient Truth)” ที่เพิ่งได้รับรางวัลออสการ์ (Oscars award) ไปหลายรางวัลเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐   ในภาพมีเรือหลายลำวาง(เคยจอด)อยู่บนทรายที่มีลักษณะน่าจะเคยเป็นคลองมาก่อน   นอกจากจะสร้างความฉงนใจให้กับผู้ชมว่ามันเป็นไปได้อย่างไรแล้ว    ยังมีประโยคเด็ดที่ได้รับการอ้างถึงอยู่บ่อย ๆ ของกวีชาวอเมริกัน [1] มีความหมายเป็นไทยว่า “เป็นการยากที่จะทำให้ใครสักคนหนึ่งเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง…
ประสาท มีแต้ม
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้สัมภาษณ์หลังจากทราบว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่า “พลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็นสำหรับการจัดหาพลังงานในระยะยาวของประเทศ ขณะนี้ทั่วโลกก็กำลังกลับมาหาพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน” (มติชน,19 กันยายน 50) ในตอนท้ายรัฐมนตรีท่านนี้ได้ฝากถึงนักการเมืองในอนาคตว่า“อยากฝากถึงพรรคการเมืองต่างๆ ด้วยว่าหากจะมีการกำหนดนโยบายอะไรออกมาขอให้ดูผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และต้องดูถึงผลระยะยาวด้วย เรื่องนิวเคลียร์ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานถึง 14 ปี แต่รัฐบาลมีอายุการทำงานเพียง 4 ปีเท่านั้น”…