Skip to main content

เราเคยสงสัยและตั้งคำถามเสมอมาว่า ทำไมราคาน้ำมันสำเร็จรูป (รวมทั้งราคายางพารา) ในภูมิภาคเอเซียจึงถูกกำหนดจากประเทศสิงคโปร์

คำตอบส่วนหนึ่งก็เพราะว่าประเทศสิงคโปร์สามารถกลั่นน้ำมันได้เท่าๆ กับประเทศไทยนี่แหละ แต่ประเทศสิงคโปร์บริโภคเพียงนิดเดียวเมื่อเทียบกับประเทศไทย จึงสามารถส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้  นอกจากนี้ยังมีเหตุผลด้านการจัดการที่มีประสิทธิภาพมาประกอบด้วย

มาวันนี้  ผมว่าคำถามเดิมดูท่าจะเชยเสียแล้วครับ
สิ่งที่ผมพบในวันนี้ คนไทยควรจะเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า
ทำไมโรงกลั่นไทยจึงขายน้ำมันแพงกว่าสิงคโปร์?

ผมค้นพบข้อมูลนี้จากวารสาร "นโยบายพลังงาน" ฉบับล่าสุด (มกราคม-มีนาคม 2552 ผมได้ตัดต่อมาลงให้ดูด้วยในที่นี้) ซึ่งเป็นวารสารที่จัดทำโดยกระทรวงพลังงานได้รายงานว่า

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปชนิดดีเซลหมุนเร็วราคา 46.36 เหรียญต่อบาร์เรล  เมื่อเปลี่ยนเป็นหน่วยที่คนไทยคุ้นเคยจะเท่ากับ 10.52 บาทต่อลิตร (อัตราแลกเปลี่ยน 36.0652 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 1 บาร์เรลเท่ากับ 159  ลิตร)

แต่ราคาหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยที่รายงานโดยกระทรวงพลังงานเท่ากับ 12.0424 บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าที่สิงคโปร์ถึงลิตรละ 1.52 บาท

แพงกว่าถึงร้อยละ 14.4
นี่เป็นราคาหน้าโรงกลั่นนะ ไม่ใช่ราคาหน้าปั๊มน้ำมัน

 

เอกสารชิ้นเดียวกันนี้ ได้รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบ (ของ 3 ตลาดใหญ่ของโลกคือ ดูไบ  เบรนท์  และเวสต์ เทกซัส) อยู่ระหว่าง 40.91 ถึง 43.32 เหรียญต่อบาร์เรล เมื่อเฉลี่ยออกมาจะได้  42.27 เหรียญต่อบาร์เรล

ถ้าเราคิดคร่าว ๆ ว่าหลังจากกลั่นแล้วได้น้ำมันออกมา 3 ชนิด (คือเบนซิน 95, เบนซิน 92 และดีเซลหมุนเร็ว) ราคาเฉลี่ย 49.07 เหรียญต่อบาร์เรล 

ทำให้เราคิดได้ว่า "ค่าการกลั่น" ของสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 6.8 เหรียญต่อบาร์เรล 

ท่านผู้อ่านคงอยากจะทราบว่า ค่าการกลั่นของโรงกลั่นในประเทศไทยเป็นเท่าใด  ผมขอเรียนว่า นับแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2551 เป็นต้นมา กระทรวงพลังงานของประเทศไทยไม่ยอมเสนอข้อมูลส่วนนี้อีกเลยโดยไม่ทราบเหตุผล

ผมได้เคยคำนวณโดยการสุ่มข้อมูลของปี 2550 มาจำนวน 60 วันกระจายทั่วทั้งปี (จะค้นเองทุกวันก็เสียเวลามาก) พบว่า ค่าการกลั่นของประเทศไทยเท่ากับ 9.52 เหรียญต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากวารสารฉบับนี้ได้บอกเราแล้วว่า ราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลชนิดหมุนเร็วแพงกว่าสิงคโปร์ถึงลิตรละ 1.52 บาท

เราไม่ทราบค่าขนส่ง เพราะเขาไม่ได้บอก แต่ก็น่าจะประมาณ 32 สตางค์ต่อลิตรโดยคิดเทียบกับการขนส่งจากกรุงเทพฯมาถึงสงขลา  

อนึ่ง เมื่อปีกลาย (2551) ผมได้ค้นข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในกระทรวงพลังงาน  พบว่าประเทศเราขุดน้ำมันดิบได้เองประมาณ  23 % ของปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้า  ดังนั้นน้ำมันดิบที่โรงกลั่นในประเทศได้มาจึงเป็นน้ำมันดิบในอ่าวไทยและบนแผ่นดินไทยนี่เอง  ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งมากนัก

เมื่อผมต้องการจะกลับไปค้นใหม่อีกครั้งเพื่อความทันสมัย ผมกลับค้นไม่เจอครับ สงสัยว่าทางกระทรวงฯได้ถอดข้อมูลนี้ออกไปแล้ว (ถ้าท่านใดค้นเจอกรุณาบอกผมด้วยครับ)

ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์  โรงกลั่นไทยได้เอากำไรเกินกว่าที่ควรจะเป็นถึงอย่างน้อยลิตรละ 1.20 -1.30  บาทต่อลิตร

ในแต่ละเดือน คนไทยใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ไม่นับเบนซิน) ประมาณ 1,500  ล้านลิตร ดังนั้น คนไทยถูกขูดรีดจากค่าการกลั่นเพียงอย่างเดียวไปถึงเดือนละ 1800 - 2,000 ล้านบาท

ใครเป็นเจ้าของโรงกลั่น    ใครเป็นผู้ควบคุมโรงกลั่น ท่านผู้อ่านคงทราบดีกันอยู่แล้ว
โอกาสหน้าผมจะเสนอ "ค่าตลาด" ซึ่งก็เป็นภาระที่คนไทยต้องแบบรับมากอย่างผิดปกติเช่นเดียวกันครับ

เรื่องที่พ่อค้าน้ำมันขูดรีดคนไทยรวมทั้งเรื่องที่กระทรวงพลังงานไม่ยอมเสนอข้อมูลที่จำเป็นต่อผู้บริโภค ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจในเหตุผลของเขาอยู่นะ  

แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมคนไทยเราจึงมีความอดทนสูงมากถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ช่วยกันคิดหากลไกใด ๆ มาควบคุมให้เกิดความเป็นธรรมกันเสียที่

 

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ว่า “ท่านคิดว่าสิ่งประดิษฐ์ใดของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุด” ผู้ถามคงจะคาดหวังว่าไอน์สไตน์น่าจะตอบว่า “ระเบิดนิวเคลียร์” เพราะเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่ไอน์สไตน์กลับตอบว่า “สูตรดอกเบี้ยทบต้น”
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ เมื่อกลางเดือนธันวาคม ปี 2552 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” ในงานนี้ได้มีโอกาสฟังปาฐกถาจากประธานศูนย์ศึกษาประเทศภูฎาน คือท่าน Dasho Karma Ura
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ “รักเจ้าจึงปลูก” เป็นชื่อโครงการที่ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กำลังครุ่นคิดเพื่อใช้ในการพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ผมเองได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มา 2 ตอนแล้ว
ประสาท มีแต้ม
  1. คำนำ       ภาพที่เห็นคือบริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จังหวัดสงขลา (ถ่ายเมื่อพฤศจิกายน 2552) หาดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากของชาวเมืองสงขลา อยู่ทางตอนใต้ของหาดสมิหลาที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดีประมาณหนึ่งกิโลเมตร สิ่งที่เห็นในภาพที่มีถุงทรายสีขาว ยางรถยนต์เก่ายึดด้วยไม้หลักปักทราย รวมทั้งรูปต้นสนล้ม คงสะท้อนทั้งความรุนแรงของปัญหาและความพยายามแก้ปัญหาของผู้ที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี
ประสาท มีแต้ม
1. ความเดิม ในตอนที่ 1 ผมได้นำข้อมูลที่มาจากงานวิจัยของกระทรวงศึกษาธิการที่พบว่า นักเรียนทุกระดับชั้นของประเทศไทย ทั้งระดับ ป.6 , ม.3 และมัธยมปลายมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งทุกวิชา โดยวิชาที่สอบได้คะแนนน้อยที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์ ได้เพียงร้อยละ 29.6 เท่านั้น ในตอนที่ 2 นี้ ผมจะกล่าวถึงปัญหาที่ได้ตั้งไว้ในชื่อบทความ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณภาพการศึกษาเราตกต่ำ นอกจากนี้ ผมได้นำเสนอความคิดเห็นและความพยายามของผู้บริหารระดับสูงสุดของมหาวิทยาลัยด้วย
ประสาท มีแต้ม
๑. คำนำ ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่าน “ประชาไท” ตามตรงว่า ผมใช้เวลานานมากในการคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี เขียนทิ้งเขียนขว้างไปหลายชิ้น ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งเพราะว่าผมสับสนในตัวเอง ไม่ทราบว่าจะนำเสนออะไรดีให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง
ประสาท มีแต้ม
๑. ปัญหาในภาพเล็ก ที่ภาควิชาที่ผมทำงานอยู่คือ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กำลังคิดทำโครงการที่จะพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากรายวิชาและกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทำกันอยู่ตามปกติแล้ว โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก แต่ชื่อโครงการก็ค่อนข้างจะเห็นตรงกันคือ “โครงการรักเจ้าจึงปลูก” ที่มาจากเนื้อเพลง “อิ่มอุ่น” ของ ศุ บุญเลี้ยง
ประสาท มีแต้ม
ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีวิชาบังคับให้นักศึกษาต้องเรียนอยู่วิชาหนึ่งจำนวน 3 หน่วยกิต ชื่อว่า “วิชาวิทยาเขตสีเขียว (greening the campus)” วัตถุประสงค์หลักของวิชานี้ก็คือ ให้นักศึกษาลุกขึ้นมาศึกษาปัญหาส่วนรวมหรือปัญหาสาธารณะที่อยู่ในวิทยาเขตของตนเอง แต่โดยมากมักจะเน้นไปที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการจราจร ปัญหาขวดน้ำพลาสติกที่มีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ปัญหาการประหยัดพลังงาน และกระดาษ เป็นต้น
ประสาท มีแต้ม
ทั้ง ๆ ที่ประเทศเรากำลังประสบกับวิกฤติหลายด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นต้น แต่สื่อกระแสหลักก็ให้ความสำคัญกับข่าวความขัดแย้งในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้งความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีอะไรใหม่สร้างสรรค์ให้กับสังคม
ประสาท มีแต้ม
ในขณะที่กระแสสังคมส่งสัญญาณไม่พอใจกับราคาน้ำมันที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบตามคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ลดการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของ ดีเซล ลิตรละ 2 บาท
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำขณะนี้หลายท่านคงจะรู้สึกกังวลร่วมกันว่า ราคาน้ำมันกำลังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นจนอาจถึงหรือสูงกว่าเมื่อกลางปี 2551 (ดูกราฟประกอบ-ต่ำสุดเดือนธันวาคม 2551 ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จนมาถึงเกือบ 80 ในเดือนสิงหาคมปีนี้)   ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่เรามากน้อยแค่ไหนก็คงพอจะนึกกันออก
ประสาท มีแต้ม
ผมได้รับเชิญจากคณะกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อ"ชี้แจงแสดงความคิดเห็น" เรื่อง ค่าการกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อ 1 กรกฎาคม 52 คนนอกที่นอกจากผมแล้วก็มีอีก 6 -7 ท่าน ได้แก่ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ผู้แทนบริษัทบางจาก, บริษัท ปตท. นายกสมาคมผู้ค้าน้ำมันแห่งประเทศไทย, คุณรสนา โตสิตระกูล และนักวิชาการปิโตรเลียม เป็นต้น