Skip to main content

  

ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบ

คนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"

เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"


คราวนี้คนขายของตัวอ้วนเสียงแหวดังลั่น "นมอะไรกัน! ได้ยินอยู่ว่าลุงเขาให้มาซื้อกรองทิพย์! ไหนเอาตังค์มา"

เด็กหญิงยิ้มอายๆ คล้ายถูกจับได้ เธอยื่นเงินไปให้คนขาย แล้วคนขายก็หยิบบุหรี่กรองทิพย์ยื่นให้พร้อมตังค์ทอน เด็กหญิงเดินถือบุหรี่กรองทิพย์พร้อมร้องเพลงจากละครโทรทัศน์เสียงเจื้อยแจ้วไปตามทาง

 

ฉันได้ของที่ต้องการแล้วก็เดินออกจากร้าน พลางอดคิดถึงภาพเมื่อสักครู่ไม่ได้

ฉันรู้สึกสงสารเด็กหญิง

เธอคงอยากกินนม ซึ่งเป็นอาหารที่มีคุณค่าสำหรับเด็ก ไม่ใช่ขนมถุงละห้าบาทสิบบาทที่หาประโยชน์ไม่ได้ แต่เธอมีหน้าที่มาซื้อบุหรี่ให้ผู้ใหญ่ เธอทำได้ก็เพียงแค่มองชั้นวางขนมและตู้แช่เย็นที่วางกล่องนมไว้อย่างน่ากินเท่านั้น


สังคมพื้นบ้านอีสานส่วนใหญ่ที่เห็น ผู้ชาย - โดยเฉพาะวัยฉกรรจ์ดื่มเหล้าขาว สูบบุหรี่กรองทิพย์เป็นอาหารหลัก ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่มีรายได้ ก็สามารถแบ่งปันร่วมวงกันได้

 

ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกบ้านหรอกที่เป็นแบบนี้ หนุ่มอีสานที่ใฝ่ฝันกับชีวิตที่ดีก็มีมาก หลายคนถึงเลือกที่จะเข้าไปทำงานในเมืองกรุง เพราะหากใครอยู่ในหมู่บ้าน แล้วยังไม่มีงานทำ โอกาสที่จะติดวงเหล้าก็มีสูงด้วย

 

แม่บ้านหลายคนบอกว่าสนับสนุนให้ลูกชายไปทำงานในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพราะอยากให้ไปหาเงิน เพราะจริงๆ ถ้าจะรับจ้างเอาใกล้ๆ หมู่บ้านก็ยังได้ หาปลา ขุดมัน ก็ยังมีเงินเหลือมากกว่าไปกรุงเทพฯ เสียอีก แต่สาเหตุหลักที่ต้องดันให้ออกไปกรุงเทพฯ เพราะอยู่แถวนี้ลูกชายติดเพื่อน กินเหล้ากันประจำ และบ่อยครั้งก็ไปมีเรื่องมีราว ทะเลาะกัน ตีกัน อนาคตก็ดูสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน

 

น้องสาวคนหนึ่งตัดสินใจมาเป็นสะใภ้อีสาน ปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่เธอเป็นสาวเหนือ อยู่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ได้ชื่อว่าต้มเหล้าอร่อยเป็นที่เลื่องลือจังหวัดหนึ่ง เธอเคยตั้งข้อสังเกตให้ฟังว่า คนเหนือต้มเหล้าเก่ง และมีความหลากหลายของชนิดเหล้า ไวน์ หรือสาโท มาก แต่ว่าคนเหนือก็ไม่ได้กินมากเหมือนคนอีสาน ส่วนมากจะกินกันตามงานเทศกาล อย่างปีใหม่เมืองหรือสงกรานต์มากกว่า ส่วนคนอีสานไม่ค่อยเห็นต้มเหล้ากิน แต่กลับกินเหล้าเยอะกว่า

กินเหล้าเก่ง บุหรี่พร้อม ทุกคนมีความสุขสรวลเสเฮฮา

 

ฉันเองก็อดคิดไม่ได้ว่าความรักการกินเหล้าข้ามวันข้ามคืน หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็หมดไปกับการกินเหล้า หรือแม้กระทั่งไม่มีเงินซื้อเหล้าก็ยืม หรือเซ็นไว้ก่อน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

เป็นมาตั้งนมนานที่ว่าเลิกงานมาก็กินเหล้า หรือว่าเพิ่งมาเป็นตอนเหล้าขาวระบาด

 

เพื่อนนักเขียนคนหนึ่งที่เคยกินเหล้าขาวจนติดแต่เขาก็เลิกได้ เล่าให้ฟังว่า เขาเข้าใจเลยว่าทำไมคนติดเหล้าขาวง่าย กินไปเถอะสักหนึ่งอาทิตย์ เดี๋ยวก็ติด เวลากินเหล้าขาวมันจะทำให้เรากระหาย อยากกินอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเทียบกับเหล้าพื้นบ้าน หรือเหล้าสี หรือเบียร์ พวกนั้นจะมีโอกาสติดยากกว่า

 

เหล้าขาวราคาถูกที่สุดในบรรดาเหล้าที่ซื้อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขวดเล็กราคาสี่สิบห้าถึงห้าสิบบาท (ล่าสุดนี้ ภาษีเหล้าขึ้นราคาเหล้าขาวขวดเล็กอยู่ที่ 60 บาทแล้ว) ขวดใหญ่ราคา 100 บาท (หรือป่านนี้อาจจะ 120 บาท) บวกบุหรี่กรองทิพย์อีกห้าสิบบาท อย่างน้อยถ้ากินเหล้าขาวขวดเล็กพร้อมสูบบุหรี่ก็ร้อยกว่าบาทแล้ว ขณะที่รายได้ของพวกเขามีน้อยเกินไปที่จะสุรุ่ยสุร่ายอย่างนี้

 

คิดดูเถอะ ปีนี้หัวมันราคากิโลกรัมละ 0.90 บาท (ล่าสุดนี้ งดรับซื้อแล้ว ต้องตากแห้งอย่างเดียว) ถ้าผ่าตากแห้งก็ 2.50 บาท ต้องขายมันกันเท่าไหร่กว่าถึงจะได้หนึ่งร้อยบาท

 

ปัญหาเรื่องนี้หากจะให้แก้กันเองเฉพาะชาวบ้านไม่ได้หรอก จะมาพูดว่า "ถ้ามันไม่ดีอย่ากินสิ" แค่นั้นไม่ได้ เพราะชีวิตของพวกเขาไม่ได้มีทางเลือกอะไรมาก หนทางที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นมันต้องมีขั้นตอนและกระบวนการมากกว่านั้น ซึ่งอันดับแรก ฉันว่าคงต้องจัดการกับเหล้าขาวก่อน ทำอย่างไรที่จะไม่ให้มันเป็นเหล้าชั้นเลวขายง่าย ทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนทัศนคติให้เห็นว่าเหล้ากินได้ แต่ให้พอดี และควรมีคุณภาพที่ดี

 

ขณะที่รัฐบาลรู้สึกว่าการขายหวยบนดินมันผิดกฎหมายรีบยกเลิกทันทีที่ คมช. เข้ามามีบทบาททางการเมือง รีบยกเลิกกองทุนเด็กนักเรียนไปเมืองนอกหนึ่งอำเภอหนึ่งคนเพราะคิดว่าเปลืองตังค์ แต่คุณภาพชีวิตของคนบ้านนอกจะดีขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อเหล้าขาวระบาดขนาดนี้

 

บางทีฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องจัดการจากข้างบนลงมา ถ้าเพียงแค่เอางบประมาณหลายพันล้านลงโฆษณาเลิกเหล้าเข้าพรรษา หรือแม้กระทั่งห้ามโฆษณา มันไม่เกิดดอกออกผลอะไรทั้งสิ้นนอกจากบริษัทโฆษณาได้ตังค์และสถานีโทรทัศน์ได้ค่าออกอากาศ

 

เหล้าขาวเป็นเรื่องใหญ่ แม้จะเป็นเงินของคนจนแต่เชื่อเถอะโรงเหล้าแห่งนี้ก็ได้เงินไปอักโข เพราะฉันเห็นร้านขายของทุกร้านของที่นี่ต้องมีเหล้าขาว ขนาดบางร้านขายแค่สบู่ แฟ้บ แทบไม่มีของอะไรในร้าน แต่เขาก็ยังมีเหล้าขาว เพราะรู้ดีว่าเหล้าขาวขายได้แน่นอน

 

ฉันอาจไม่เคยไปนั่งเฝ้าร้านค้าว่าเขาขายเหล้าขาวกันวันละกี่ขวด แต่ดูจากที่ไปซื้อของทีไรก็มักจะเห็นคนเดินมาซื้อเรื่อยๆ รวมถึงแผงบนชั้นที่มีเหล้าขาวตั้งอยู่เรียงรายมากมาย มันบ่งบอกได้ว่าปริมาณการบริโภคมีมากเท่าไหร่

 

เห็นแล้วก็หดหู่ใจ การกินเหล้าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียหาย แต่ถ้าผู้นำครอบครัวติดเหล้าขาว ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ คงต้องทำอะไรมากกว่านี้

 

ฉันสงสารเด็กหญิงที่อยากกินนม แต่ผู้ใหญ่เลือกเหล้าขาวกับกรองทิพย์มากกว่า

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
อืมม์... ดูเหมือนยุคนี้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะกลายเป็นอาชญากร ไม่น่าคบไปเลยจริงๆ เมื่อฉันจัดการทุบหัวปลาโป๊กๆ สีหน้าน้องผู้หญิงบางคนเหยเก เบะปาก “กินไหมเล่า!” ฉันเอ็ดเอา “กินอ่ะ” “เออ ถ้าจะกินอย่าทำหน้าอย่างนั้น คนฆ่าเสียเซลฟ์เหมือนกัน” อืมม์... แต่จะว่าไปก็ฆ่าตัวเป็นๆ ซะหลายตัว จะไม่ให้น้องมันทำหน้าเบ้ได้ไง กับคนรู้จักมักคุ้นฉันมักออกตัวเสมอว่า ฉันไม่ใช่คนเรียบร้อยใจดีนะ ฉันเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้โดยไม่รู้สึกผิดเลย ตกปลาฆ่าปลาได้ ยิงหนังกะติ๊กเอานกมาย่างไฟได้ ฆ่าตั๊กแตน ฆ่าแมลงต่างๆ ได้ จับปูเป็นๆ เผาบนเตาถ่านได้ หรือจับปูเป็นๆ โขลกในครกได้ (การทำน้ำปู๋ของคนเหนือ)…
สร้อยแก้ว
ถ้าไม่ใช่คนอีสาน จะมีใครบ้างหนอ รู้จักแมงหัวหงอก ? โอ้! จ๊อด มันน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง ขนาดว่าฉันโตมากับป่าเขา ใช้ชีวิตอย่างคนบ้านนอกเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าบ้านนอกทุกพื้นที่จะเหมือนกันเสียเมื่อไหร่ แมงหัวหงอกพากันมาจับต้นไม้ไร้ใบ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันมีใครสังเกต เห็นอีกที มันก็ขาวเต็มต้นแล้ว แรกทีเดียวฉันคิดว่าเป็นครั่งเสียอีก แต่ไม่ใช่ มันเป็นแมลงเล็กๆ ขาวสะอาดทั้งตัว มีขนสีขาวตรงกลางหลังชี้ออกเหมือนขนหางนกยูง กระโดดได้ เวลาจับตัวมันไว้ในอุ้งมือมันจะกระโดดไปมาแรงทีเดียว ต้องจับลงถังน้ำ ถึงจะหมดความสามารถในการกระโดด แม้จะเป็นแมลงที่ดูสวยงาม น่ารัก แต่ว่าในเมื่อมันกินได้…
สร้อยแก้ว
แมงกุดจี่ทั้งเคยได้ยิน ทั้งเคยฟังเพลง และเคยกินมาก่อน แต่ยามได้เดินถือกระแป๋งตามเด็กสองคนไปขุดหาแมงกุดจี่ในยามเช้า ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นพวกมันผลุบๆ โผล่ๆ ในรู ดาวใจเป็นพี่สาวของไพจิตร เธอขุดแมงกุดจี่พลาดโดนตัวมันหลายครั้ง ทำให้ฉันขัดใจน่าดู “มา มา ขอพี่ทำหน่อยซิ” ฉันว่าฉันมือเบาน่าจะขุดได้ดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉันสับเอาแมงกุดจี่หัวขาด ตัวขาด รุ่งริ่ง เสียจนน่าเวทนา เด็กหญิงไพจิตรร้องเสียงหลงทุกทีที่ฉันยั้งมือไม่ทัน คมเสียมสับลงกลางตัวแมงสีดำๆ นั้นเสียแล้ว
สร้อยแก้ว
เดือนเมษายน เมื่อฉันกลับไปยังศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอีกครั้ง ภาพของผืนดินแล้ง หญ้าแห้ง และต้นไม้ใบร่วงยืนโดดเดี่ยวเดียวดายที่เห็นชินตาก็แปรเปลี่ยนไปสายฝนที่สาดเทลงมาเพียงไม่กี่ครั้งได้ลบล้างโลกสีน้ำตาลให้หายไป สองข้างทางระหว่างที่รถสามล้อเครื่องนำพาไปมีทิวหญ้าสีเขียวระบัดใบตลอดทาง ต้นไม้ใบแห้งผลิใบเขียวชะอุ่ม และผืนดินแล้งก็มีพุ่มไม้ใบขึ้นเป็นกอเล็กกอน้อยนับว่าชวนตื่นตาตื่นใจไม่น้อยสำหรับเวลาที่หายไปเพียงยี่สิบวัน ผืนดินก็เปลี่ยนแปลงได้เพียงนี้