Skip to main content

"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"
พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่

"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"
แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย

น้ำผักที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นเครื่องดื่มชีวจิตที่ปั่นผักสดแยกกาก แบบที่มีขายในซุปเปอร์มาเก็ต แต่เป็นอาหารชนิดหนึ่งในฤดูหนาวของชาวเหนือ น้ำผัก คือผลิตภัณฑ์ที่ทำได้จากการหมักผักกาดสด  จากนั้นก็ตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วตั้งไฟ  นำไปเคี่ยวจนได้ที่ วิธีกินก็คือปรุงรสด้วยพริกแห้งเผากับเกลือ  กระเทียมตำ  น้ำปลา และน้ำตาล ตามแต่จะพอใจ

พี่สาวคนนี้บอกว่า  มันเริ่มที่ไม่กี่เดือนก่อน ชีวิตแกพังพินาศเพราะผึ้งที่เลี้ยงไว้ตายหมดไปจำนวนหลายลัง ผึ้งเหล่านั้นเป็นผึ้งนางพญาที่กว่าจะผสมพันธุ์ เลี้ยงดู ฟูมฟักและให้น้ำผึ้งก็ใช้เวลาอยู่หลายปี  แกพลาดไปเพราะใส่น้ำยาผิดขนาด ผิดสูตร จากผู้แนะนำที่รู้ตอนหลังว่าเขาเพิ่งล้มละลายกับการเลี้ยงผึ้งมาแล้ว แกหัวเสียมากถึงกับยืนน้ำตาซึมอยู่ข้างๆ ซากศพผึ้งนับร้อยตัว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าในชั่วข้ามคืน

นอกจากนี้ แกบอกว่าแกพังพินาศเพราะขาดทุนในการขายลำไย  ส่วนอีกอาชีพคือการปลูกไม้น้ำขาย  ก็ราคาตกแถมโดนเอาเปรียบกดราคาจากร้านรับซื้อ  ส่วนเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตก็คือ  เดือนเดียวกันนั้น  สามีที่รักกันมา 21 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน เขากำลังมีผู้หญิงอื่น

ฉันจึงเพิ่งเข้าใจว่า  น้ำตาของแกเมื่อวันก่อนนั้นกลั่นออกมาจากใจ  และแบกรับความทุกข์มหันต์อยู่เป็นเวลาหลายสิบวันแล้ว

  

ด้วยพี่สาวคนนี้เป็นคนขยัน น้องสาวของแกเคยเปรยว่า เขาขยันเสียจนน่ากลัว

แกร้องไห้อยู่ไม่กี่วันแล้วก็ลุกขึ้นมาเก็บซากศพผึ้งไปทิ้ง ขุดดินเติมน้ำขยายพันธุ์ต้นไม้ให้มากขึ้น เรื่องลำไยแกเลิกทำไปก่อน ส่วนสามี แกบอกว่ารอให้เขาคิดได้แล้วคงกลับมาหาเอง แม้ในใจจะหวั่นอยู่ลึกๆ กลัวว่าเขาจะไม่กลับมา แกนอนร้องไห้ในฤดูหนาว ห่มผ้าลำพัง และกินข้าวกับน้องหมา เพื่อที่จะถามตัวเองว่า แล้วชีวิตที่เหลือนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

น้ำผักที่แกทำ มีรสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ แต่กลมกล่อม ฉันรู้สึกแบบนั้นทันทีที่ได้ชิม แม้จะไม่ใช่กูรูเรื่องอาหาร แต่ความเป็นนักชอบกิน ก็รีบให้กำลังใจแกไปว่า  "อร่อยดีนะพี่"

พี่สาวยิ้มกว้าง แต่ไม่ได้ลำพองไปกับคำชม เพราะแกมีความมั่นใจยิ่งกว่านั้น
"มีแต่คนบอกแบบนี้แหละ"
แกว่า  แล้วก็ลงมือตักใส่ถุงให้ฉันจำนวนหนึ่ง  ที่มากพอจะกินไปทั้งเดือนก็ว่าได้
"ขอบคุณมากค่ะ ตั้งใจว่าจะแบ่งไปให้พี่สาวจริงๆ ชิมสักหน่อย เพราะเธอก็ดูจะชอบกินมาก"

 

ฉันบอกเธอไปตามนั้น มีผลให้เธอมีแววตาสดใสขึ้นมาก แล้วเล่าว่า หลังจากหยุดร้องไห้ได้แล้ว แกก็ไปสมัครเข้าชมรมการเกษตรเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ  พอสัปดาห์ต่อมาแกต้องไปประชุมอีก  แกหอบน้ำผักติดมือไปด้วยประมาณ 10 กว่าถุง มีแต่คนรุมซื้อ บางคนก็ให้ด้วยไมตรี  พร้อมได้ยินเสียงแว่วๆ  จากเพื่อนสมาชิกว่า  "คราวหน้าทำมาขายอีกเยอะๆ นะ"

แรกๆ  แกคิดว่าคนคงพูดจาเอาใจ  แต่พอทำไปขายก็ขายได้จริงๆ ได้เงินกลับมาบ้านพอที่จะซื้อผักกาด และอุปกรณ์ผลิตเพิ่มเติม หลังจากนั้นไม่กี่วัน แกลองฝากคนในตลาดขาย กระจายตลาดไปยังตำบลใกล้เคียง ข้ามอำเภอไปไกลนับ 20 กิโลเมตร แล้วก็ได้ผลตอบรับมาอย่างดีว่า "ขายดีเทน้ำเทท่าเลยล่ะ"

ฉันรู้สึกดีใจไปกับแกด้วย พี่สาวคนนี้ขายน้ำผักถุงละ 3-5 บาท แต่วันหนึ่งก็ขายได้หลายร้อย บ่ายๆ แกมีเวลาก็มารดน้ำ แยกพันธุ์ต้นไม้ ค่ำๆ ก็นั่งล้างผักหั่นผักเตรียมหมักเตรียมปั่น  ค่ำๆ ก็นั่งกินข้าวกับน้องหมา ดูละครในโทรทัศน์ รอเวลาถึงเสาร์อาทิตย์จะมีลูกๆ กลับจากหอพักมาอยู่เป็นเพื่อน

  

"จะปีใหม่แล้วสิเนอะ"
แกพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้  แล้วชี้ไปที่ต้นไม้ในกระถางจำนวนนับ 20 ใบ พร้อมถอนหายใจแรงๆ
"ชุดนี้จะส่งให้ทันก่อนปีใหม่ คนเขาสั่งมา คงได้เงินเป็นก้อนอยู่บ้าง"
"ไม่พักผ่อนบ้างเหรอพี่ เหนื่อยมาทั้งปีแล้ว"
ฉันถามกึ่งชักชวน อยากเห็นพี่สาวใบหน้าผ่องใส ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ออกไปเที่ยวผ่อนคลายอย่างคนอื่นเขาบ้าง และยังคิดเล่นๆ ว่า พอจะหาอะไรมาเซอร์ไพรส์ให้เป็นของขวัญปีใหม่กับแกดี

แกวางมือจากผักกาด หันมาบอกฉัน ว่า
"พี่รู้สึกนะว่าจิตใจไม่ค่อยดี จะไปไหนก็กลัวแฟนกลับมาแล้วไม่เจอ"
ฉันพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ ให้แกอย่างให้กำลังใจ  ก่อนจะได้ยินอีกประโยคตามมาว่า
"ไม่ต้องห่วงหรอก  ยังไงพี่ก็มีน้ำผักนี่แล้ว  จะอยู่กับมันไปข้ามปีนี่แหละ  หมดหน้าน้ำผักแล้วก็ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน"
...............

ปล. ขออภัยที่ภาพประกอบฉบับนี้ไม่ได้บอกเล่าเนื้อหาในเรื่อง ถือเป็นภาพชุด "ความเป็นไปในวันธรรมดา" มาฝากในวาระปีใหม่ก็แล้วกันนะคะ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกับปีใหม่ที่มาถึงด้วยค่ะ : )

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…