Skip to main content

 

ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมา


แต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น


ฉันเงยหน้ามองผ่านดอกไม้ที่มีใบหรอมแรมและกลีบบางๆ ซึ่งบานไม่ตรงฤดูกาล บางต้นบานไปแล้วและร่วงไปแล้ว บางต้นยังไม่มีวี่แววจะอวดกลีบสวย เหนือขึ้นไปท้องฟ้ามีแต่ความหม่นมัว และนอกกระจกมีแต่อากาศสีเทาๆ และแดดที่ร้อนระอุ ภายในรถมีเครื่องปรับอากาศที่ทำงานหนัก และตัวเลขอัตราน้ำมันซึ่งบอกเราว่าแม้จะอยากประหยัดเพียงใด แต่การขี่มอเตอร์ไซต์ในระยะนี้ไม่ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ


นั่นคือหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่หาทางเลือกได้น้อย และลงท้ายด้วยเสียงบ่นพึมพำของฉันสลับกับเสียงถามของเพื่อน ที่เธอพยายามจะแยกให้ออกระหว่าง ดอกตะแบก ชงโค เสลา และกัลปพฤกษ์ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ กัน

....


เรากำลังมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดิน สถานที่ซึ่งฉันไม่ได้ไปมานานแล้ว ทั้งที่สมัยที่ฉันย้ายมาอยู่เชียงใหม่แรกๆ มีแต่คนแซวว่าฉันไปทำอะไรได้ทุกอาทิตย์ที่ถนนคนเดิน ฉันบอกเพื่อนว่า ฉันชอบถนนเส้นนี้ มีอะไรมากมายอยู่ในนั้น ทั้งงานศิลปะ ของทำมือ ดนตรี การแสดง ชีวิตของผู้คน และความหวังมากมายบนนั้น ไปทีไรแล้วฉันได้ไอเดียดีๆ กลับมาบ้าน พร้อมความรู้สึกดีๆ อยู่เสมอ


แต่หลายเดือนที่เว้นว่างไป เพราะภาวะ "ความแออัดยัดเยียด" จากฝูงชนที่มากเกินไป ทำให้การเดินเล่นเพลินๆ นั้นไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว เราต้องเตรียมสุขภาพให้ดี ห้ามเป็นหวัด ห้ามเป็นไข้ ถึงจะเหมาะกับการไปเดินเบียดเสียด พร้อมที่จะชน ปะทะ แทรกตัว หลบหลีก รอคอยและแก่งแย่งในการซื้อของ เดินตามกันดีๆ งั้นจะพลัดหลงกับเพื่อน และยังต้องดูแลกระเป๋าให้ดีๆ ไม่งั้นอาจจะโดนล้วงหรือทำหายได้ง่าย


เหตุผลเหล่านี้กระมังทำให้ฉันห่างจากถนนคนเดินไปช่วงใหญ่ๆ แต่วันนี้ ธุระจำเป็นทำให้ฉันต้องไปที่นั่นทั้งที่เป็นเวลาบ่ายและแดดกำลังร้อนจัด ผู้คนยังไม่หนาตามากนัก เพื่อนฉันแปลกใจที่เห็นความกระตือรือร้นของฉันกลับมาใหม่ ฉันเดินละลิ่ว มองสินค้ามากมาย มีงานศิลปะใหม่ๆ มีโปสการ์ดสวยๆ เสื้อยืดลายแปลกๆ ฉันเดินเหงื่อออกเต็มตัวแต่ใจยังสู้ เดินผ่านแม่ค้าที่กำลังวางข้าวของ รถเข็นคันเล็ก คันใหญ่ เสื่อที่เพิ่งปู และเจ้าของแผงที่กำลังเนรมิตพื้นที่ของใครของมันให้มีชีวีตชีวา


พวกเขาใช้ชีวิตในนั้น พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรที่จับจองไว้ทั้งโดยถูกต้อง หรือแบบชั่วคราวรอเจ้าของตัวจริงมาขาย


 

แล้วฉันก็สะดุดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งหน้าวัด ยืนนิ่งๆ เมื่อได้ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านบรรเลงโดยชายชราสองคน ที่ใส่เสื้อม่อฮ่อม คนหนึ่งกำลังดีดนิ้วลงบนเส้นลวดของ "ซึง" เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ อีกคนแตะมือลงบนหนังสีน้ำตาลของ "กลอง" เป็นจังหวะที่อ่อนหวานและไพเราะ ที่คุณลุงสองคนประสานท่วงทำนองต่อกันได้อย่างลงตัว


เพลงนั้น เป็นเพลงที่ฉันได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นึกชื่อไม่ออกเมื่อไม่มีเสียงร้อง เพลงที่มีท่วงทำนองไม่เร็วไม่ช้าเกินไป หากแต่มีทำนองหม่นเศร้าบางอย่างปะปนในเมโลดี้ ฉันหยุดมองสักครู่จึงเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งที่คุณลุงตั้งเอาไว้เพื่อรับบริจาค กล่องกระดาษใบนั้นเขียนไว้ว่า วงดนตรีนั้นชื่อ "วงดาวที่ไร้แสง"


สมาชิกของวงพยายามอย่างสุดฝีมือที่จะเล่นดนตรีให้ดังและเป็นที่พอใจของผู้พบเห็น แกยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงของเหรียญกระทบกันอยู่ในกล่อง และโน้มศีรษะคำนับขอบคุณแก่ผู้เอื้อเฟื้อทุกคนที่บังเอิญผ่านมา


ฉันอมยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ได้เกิดจากความขบขัน เป็นยิ้มที่ฉันให้เขาจากใจ และอยากบอกลุงว่าเขาเล่นดนตรีได้เพราะมาก แต่น่าเสียดายที่มันเป็นยิ้มที่ลุงไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะลุงทั้งสองคนตาบอด ดาวที่ไร้แสงของคุณลุง คงหมายถึงดาวดวงหนึ่งที่ไม่อาจมีแสงใดๆ มากระทบให้เกิดภาพ เป็นดาวที่มืดมิดอยู่นิรันดร์กาล บางครั้งมันอาจเป็นดาวที่ไม่มีใครจะเข้าได้ถึงจริงๆ ด้วยซ้ำ และเดาไม่ได้เลยว่าดนตรีจากดาวที่มืดมิดของคุณลุงนั้นสื่อสารอะไรออกมาจากใจได้บ้าง

 

ฉันมีเวลายืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานนัก แล้วเดินตามเพื่อนไปทำธุระต่อ ขณะที่ก้าวเท้าออกมา เสียงเพลงยังแว่วอยู่ในหู และกังวานอยู่ในใจ


ถัดจากคุณลุงมาไม่กี่ก้าว ฉันยังได้พบกับพี่สาวอีกคนที่นั่งขอทานอยู่กลางถนน และเด็กพิการอีกสองคนที่รอคอยการแบ่งปันจากผู้มาจับจ่ายใช้สอย เธออาจเล่นดนตรีไม่ได้ หรือไม่สามารถแม้แต่จะสื่อสารกับคนอื่น แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต อยู่ที่ตรงนั้น ตอนฉันย่อตัวแบ่งเงินให้เธอ ฉันยังรู้สึกได้ว่าเธอกำลังเงี่ยหูฟังดนตรีจากคุณลุงสองคนเช่นเดียวกัน


ฉันรู้ ภาพที่ชินตาแบบนี้ เราเห็นได้จากถนนหลายสาย แล้วฉันก็จมอยู่ในโลกส่วนตัว มองภาพโปสการ์ดที่แตะลงบนพื้น ผ้าทอที่ถูกคลี่มาแสดง ตุ๊กตาแขวนโตงเตงอยู่บนก้านลวดและเสาไม้ น้ำปั่นและผลไม้ดองบนรถเข็นค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมา ทุกอย่างกลายเป็นส่วนประกอบของจังหวะเชื่องช้าในโลกของฉัน


ฉันใช้เวลานั้น สังเกตดวงตาของผู้คนที่ผ่านไปมา ไม่ทุกคนที่จะมองเห็นวงดนตรีดวงดาวที่ไร้แสง แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนคงได้ยิน บทเพลงซ้ำซากที่อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของท้องถนนกว้างใหญ่ แต่ใครจะคิดอย่างฉันไหมหนอ ว่าดวงดาวไร้แสงดวงนั้นกำลังส่องแสงที่มองไม่เห็นไปยังชีวิตอีกหลายชีวิตบนถนนสายเดียวกัน


ดวงดาวไร้แสงที่บอกกับเราว่า โลกที่มืดมิดอาจไม่ได้เป็นสีดำเสมอไป ดาวที่ไม่มีแสงในตัวเอง แต่บางครั้งเมื่อมีแสงอื่นมากระทบ กลับสะท้อนแสงที่สวยที่สุดออกไปให้คนอื่นพบเห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้หลายสิ่งหลายอย่างได้งอกงามขึ้นมา

 

ชั่วเวลานั้น ฉันรู้สึกได้ว่าแสงแดดที่ว่าร้อนที่สุดก็กลับเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย เมื่อลองจินตนาการว่า หากฉันอยู่ในโลกมิดมิดแบบนั้นบ้าง ฉันจะทำได้แบบเขาไหม อาจไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะดำรงชีวิตประจำวันให้อยู่รอดไปเท่านั้น แต่ยากกว่านั้น คือเรายังจะมองโลกได้สวยงามเหมือนเดิมไหม จะก่นด่าชะตากรรมไปเท่าไหร่ แล้วกลับมาถือซึงและกลองบรรเลงดนตรีให้ความสุขกับคนฟังแบบฟรีๆ อยู่ตรงนี้ทุกๆ อาทิตย์ ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน โดยไม่พร่ำบ่นได้หรือไม่


หรือยามที่หมอกและมลพิษคลุมเมืองมากมายก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหรือเดินหนี

...........



ฉันกลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง ระหว่างทางกลับบ้าน แสงตะวันสุดท้ายยังไม่ลับไปจากฟ้า ยังพอให้มองเห็นกลีบดอกไม้ที่บานหรอมแหรมอยู่บนต้นและร่วงอยู่บนพื้น ฉันหันไปอธิบายเพื่อนอีกครั้ง ว่าดอกไม้หลายชนิดที่สีเหมือนกันนั้นต่างกันอย่างไร และมีชื่ออะไรบ้าง และหากมันจะบานผิดฤดูไปบ้าง ก็อย่าได้ผิดหวัง


โลกเป็นแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ คงมีอีกหลายวิธีที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ตราบที่ดวงตาและใจเราไม่ได้มืดบอด


ฉันอมยิ้ม เมื่อเพื่อนถามว่า ไปถนนคนเดินได้อะไรติดมือมาบ้าง แน่นอนฉันไม่ได้ซื้ออะไรเลย แต่ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ติดมือกลับมามีค่ามาก


มากกว่าที่ฉันเองจะคิดถึงด้วยซ้ำ.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
"ปีใหม่ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าคะ"พี่สาวข้างบ้านไม่ตอบคำถามฉันเลย  แต่คลี่ยิ้มแล้วเดินพาฉันไปหยุดอยู่ตรงเสื่อผืนนั้น  เสื่อที่ปูบนลานซีเมนต์โล่งๆ หน้าบ้าน  ข้างกายมีกองผักกาดขนาดใหญ่  จำนวนนับร้อยต้น ข้างๆ  มีถังน้ำ  มีกะละมัง  มีเครื่องปั่นเสียบไฟฟ้า และมีถุงพลาสติกกองอยู่"พี่กำลังทำโปรเจ็คใหม่"แกบอกด้วยสายตาโอ้อวด  โปรเจ็คที่ว่าคือหนึ่งในอาชีพใหม่ที่แกเพิ่งริเริ่มทำ นั่นก็คือการทำ "น้ำผัก" ขาย
วาดวลี
   บุ้งตัวนี้คงมีพิษร้ายมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น จากหนามแหลมๆ ที่พวงพุ่งออกมารอบตัวมัน และจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เคยเอามือไปโดนตัวบุ้ง แล้วคันคะเยอไปทั้งสัปดาห์ แถมมือยังบวม แสบๆ อีกด้วยตอนเด็กๆ แม่จึงพร่ำสอนเสมอ บุ้งหน้าตาแบบนี้มีพิษร้าย มันกินไม่ได้ จับมาเล่นไม่ได้ และสำคัญที่สุดให้หลีกเลี่ยงระวังอย่าได้สัมผัส เมื่อจำมาตลอด ดังนั้นฉันจึงระวังที่สุดที่จะเดินย่องเข้าไปขอถ่ายรูปในระยะใกล้ เจ้าบุ้งจากที่นิ่งๆ อยู่ คงรู้สึกได้ถึงคนแปลกหน้า มันยิ่งพองตัวอวดหนามให้ตั้งชูชันขึ้นมาอีก ความซุ่มซ่ามของฉันที่เอาตัวไปโดนกิ่งไม้ให้ไหวๆ เผลอทำให้มันตกใจมากกว่าเดิม พอมันขยับหันหัวมา…
วาดวลี
การเดินทางตามใครสักคนไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินทางตามฝูงมด ที่มันเคลื่อนที่ช้ากว่าเราหลายเท่าตัว ฉันเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลามากพอที่จะเฝ้าสังเกตมดสักตัว หรือสักฝูง แล้วยังมีมดหลายชนิดให้ต้องแยกแยะอุปนิสัยอีกด้วยแต่ลองคิดกลับกันดู หากมดจะเดินทางตามเราบ้าง นั่นคงเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่า ก็แค่เดินสัก 2 ก้าว มดก็ตามเราไม่ทันแล้ว
วาดวลี
  หากนี่เป็นสนามรบสักแห่งหนึ่ง รังเล็กๆ ที่สร้างจากไยแมงมุมมองดูคล้ายกับดักขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่สามารถสร้างความตื่นเต้น วิตก ให้กับศัตรูและเหยื่อได้มาก แถมยังประจานผู้พ่ายแพ้ต่อหน้าประชาชนอย่างเห็นกันโจ้งๆในกับดักนั้นประกอบด้วยสรรพสิ่งที่เป็นซากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตัวหนอน ผีเสื้อ มดแดง มดดำ แมลงวัน พวกมันตายหมดแล้ว เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ห้อยโหนโตงเตงด้วยแรงยึดไยแมงมุม แขวนไว้กับต้นไม้ในเช้าวันหนึ่งของฤดูหนาวฉันบอกกับตัวเองว่า นี่มันช่างน่าอัศจรรย์ดีจัง ตอนเด็กๆ ฉันทั้งเกลียดและกลัวแมงมุม ขณะเดียวกันแม่ซึ่งพยายามเอาชนะแมงมุมด้วยการกินมัน ก็สร้างเมนูรสเลิศด้วยการเอาแมงมุมไปย่างไฟ…
วาดวลี
ฉันไม่รู้ว่าทำไมหอยทากหลายตัวชอบมาซ่อนอยู่ในรองเท้า แม้จะเคาะรองเท้าก่อนแล้ว หากไม่ดูดีๆ ก็อาจจะเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เพราะความเหนียวของลำตัวที่เกาะติดอยู่กับผนังรองเท้าผ้าเวลานี้เข้าฤดูหนาวเต็มที่แล้ว หรือเปลือกหอยจะไม่สามารถกันความหนาวให้มันได้เพียงพอ ทั้งที่พอรู้มาบ้างว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่อดทนมาก มีชีวิตได้ทั้งที่แห้ง ที่ป่าชื้น หรือบนภูเขาสูง นอกจากในรองเท้าแล้ว ซอกมุมเล็กๆ ในบ้าน หลังชั้นหนังสือ หรือแม้แต่ใต้เบาะจักรยาน ฉันก็ยังพบหอยทากมาเล่นซ่อนแอบเป็นประจำ จากที่เคยรู้สึกกึ่งรังเกียจ กึ่งขยะแขยง…
วาดวลี
๑. ผีเสื้อติฉินดอกไม้ ว่ามีน้ำหวานน้อยเกินไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนปลูก ชาวสวนลุกมาพรวนดิน เผลอเคืองขุ่นแมลงหิวโหย แม่บ้านบ่นกับเม็ดฝน ที่ทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มไร้ความหมาย นิมิตกลายเป็นความโศก เมื่อล็อตเตอรี่ไม่ตรงกับที่ตีความมา
วาดวลี
เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็นแต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็นคุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสายคุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง…
วาดวลี
ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาลชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้านหากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่าหรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป
วาดวลี
  ฉันเพิ่งยอมรับความล้มเหลวอย่างหนึ่งของตัวเองในการปลูกต้นไม้นั่นคือ ปลูกต้นกุหลาบแล้วไม่มีดอกตอนเด็กๆ พ่อของฉันคือคนสอนปลูกต้นไม้คนแรก พ่อขุดดินให้เป็นหลุม หย่อนต้นกล้าลงไป กลบดินแล้วรดน้ำ พ่อบอกด้วยสายตาโอ้อวดว่านี่ไง มันง่ายจะตายไป ที่เหลือเป็นหน้าที่ของดิน น้ำ และแดด จากนั้นให้ฉันทำเหมือนกัน สิบกว่าวันผ่านไป พ่อและฉันยืนมองต้นกุหลาบของเราที่กึ่งรอดกึ่งตาย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง ฉันจึงถามพ่อว่า "คนมือร้อน มือเย็นนี่อยู่มีจริงไหม"พ่อเดินไปนั่งบนแคร่ มวนยาเส้น จุดสูบด้วยแววตานักคิด แล้วตอบว่า "ก็จริงอยู่นะ แต่มือเป็นอาวุธของใจ คนใจเย็นปลูกอะไรก็เป็น ใจร้อนก็ปลูกแล้วตาย"พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาๆ…
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้…
วาดวลี
๑. ประชาธิปไตย สูงใหญ่ ใต้เพดาน เราไต่ เราคลาน เหยียบข้าม ขึ้นคว้าไป เราเรียน เราศึกษา เราค้นหา เราพินิจ เปรียบเทียบ ถูกผิด เท่าที่ เราคิดได้ ในสมุดมีสอน ในกลอนมีให้อ่าน ในหนังสือมีวิจารณ์ เปลี่ยนผ่านไปอย่างไร ในเคเบิ้ลมีรหัส แปลงเห็นเป็นภาพชัด นิ่ง-เลือน-และเคลื่อนไหว เราเก็บเราสะสม เพาะบ่มความคิด เธอว่าถูก-ผิด คิดเห็นเป็นอย่างไร เรารู้-ไม่รู้ เท็จจริง และลวง แต่เราก็ห่วง ห่วงประชาธิปไตย
วาดวลี
ทั้งที่แค่เป็นเวลาบ่าย แต่บ้านของเราไม่มีแสงแดด ก้อนเมฆหนาทึบขนาดมหึมาเคลื่อนเร็วเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ความเย็นให้วันธรรมดาในฤดูฝนเย็น ให้จับใจขึ้นไปอีก   แน่นอนว่าคนใต้ฟ้าแถวบ้านฉันไม่ได้กลัวเปียก แต่พวกเขากลัวน้ำท่วม แม้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คนข้างบ้านฉันยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ที่นี่น้ำไม่ท่วม” เขาบอกว่าเราเป็นตำบลที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำปิงของเชียงใหม่และลำพูน โดยมีจุดชลประทานอยู่เหนือหมู่บ้าน มีประตูน้ำ ดังนั้นหากน้ำมามากเกินไป ก็จะมีการปิดประตูน้ำ ที่บอกว่ากักเก็บน้ำได้มากโข ความจริงฉันเชื่อในระบบชลประทานหมู่บ้าน…