Skip to main content
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว เหลือไว้เพียงตำนานแห่งการรักษาด้วยหัวใจและคุณธรรม ไม่ว่าจะเป็นหมอยาสมุนไพร หมอนวด หมอเป่าใช้คาถา หมอลำผีฟ้า หมอเหยา(หมอลำผีฟ้าของชาวภูไท) และหมอดู
ที่ว่างและเวลา
อัจฉรียา เนตรเชยต่อจากตอนที่แล้วผู้เขียนกับเพื่อนชาวเวียดนามถกเถียงกันว่า ความจริงแล้วชาวม้งดำที่นี่ “เวรี่แอ็กทีฟ” ในระบบตลาด แต่ทำไมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น ที่โรงแรม ร้านอาหาร หรือมัคคุเทศน์ (ซึ่งก็เป็นธุรกิจหนึ่งในระบบตลาด) แทบจะไม่มีชาวม้งดำเข้าไปเป็นลูกจ้างเลย เพื่อนเวียดนามบอกว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะพวกเขามีการศึกษาต่ำ
ภู เชียงดาว
  ผมยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน จ้องมองภาพเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า... เป็นภาพที่คุ้นเคยที่ยังคงสวยสด งดงาม และเรียบง่ายในความรู้สึกผม ภาพชาวนาในท้องทุ่ง ภาพหุบเขาผาแดงที่มีป่าไม้กับลำน้ำแม่ป๋ามไหลผ่านคดโค้งเลียบเลาะระหว่างตีนดอยกับทุ่งนา ก่อนรี่ไหลลงไปสู่ลำน้ำปิง แม่น้ำในใจคนล้านนามานานนักนาน
ที่ว่างและเวลา
อัจฉริยา  เนตรเชยเมื่อสัปดาห์ก่อนผู้เขียนซึ่งเป็นนักเรียนเรียนภาษาเวียดนามที่ฮานอยได้ใช้เวลา 3 วันไปเป็นนักท่องเที่ยวที่ซาปา (Sa Pa) เมืองในหมอกบนพื้นที่สูงของภาคเหนือของเวียดนาม ภูเขาที่นี่สูงเสียดฟ้าสลับซับซ้อนกันหลายลูกจริงๆ จนภูเขาบ้านเราสมควรถูกเรียกว่า “ฮิล” มากกว่า “เม้าเท่นท์” นาขั้นบันไดก็มีให้เห็นกันอย่างดาษดื่นจนกลายเป็นโลโก้ของเมืองนี้ หมู่บ้านม้งดำ และเย้าแดงกลางหุบเขา น้ำตกและลำธารใสๆที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านมีให้เห็นตลอดสองข้างทาง ทำให้ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนอันสุดแสนจะโรแมนติกของคู่รัก เมื่อต้นปีใครๆ ก็บอกว่าหิมะตกที่ซาปาสวยงามมาก...อยากเห็น (แต่ใครเลยจะรู้ว่าควายที่เป็นแรงงานสำคัญในการทำนาขั้นบันไดของชาวม้งดำและเย้าแดงตายไปหลายตัวเพราะทนต่อความหนาวเหน็บไม่ไหว ทำให้คนเย้าแดงที่ไม่เคยรู้จักคำว่าหนี้สินต้องเป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตร 10 ล้านด่อง หรือประมาณ 21,250 บาท เพื่อซื้อรถไถนาเดินตามขนาดเล็กกว่าคูโบต้าบ้านเราถึง 1 ใน 3 หรือราคาเท่ากับลูกควายน้อย 1 ตัว มาแทน แถมยังต้องฝึกใช้อย่างล้มลุกคลุกคลานในขี้ตมท่ามกลางกำลังใจของเพื่อนบ้านรอบๆคันนานับสิบคน)ในฐานะที่เป็นผู้กระหายในการทำวิจัยเรื่อง “ตลาดๆ” โดยเฉพาะเรื่องผ้าทอพื้นเมือง ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตื่นตาตื่นใจในสีสัน ชีวิตชีวา และการเอ็กเซอร์ไซพาวเวอร์ของผู้คนในตลาดผ้าแห่งซาปานี้ อย่างบอกไม่ถูก หลายครั้งในฐานะ “A Shopping Sociologist” ผู้คลั่งไคล้ในผ้าทอพื้นเมือง (ตามที่นักวิชาการเวียดนามคนหนึ่งให้ฉายาไว้) ก็อดเข้าไป “เอ็กเซอร์ไซด์อำนาจ (และความรัก)” กับผู้คนในตลาดผ้าของที่นี่ไม่ได้ ความประทับใจในตลาดผ้าของผู้เขียนเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงจากรถบัสไปยังโรงแรมที่พักเลย (เนื่องจากรถบัสต้องไปส่งฝรั่งหลายคนที่พักอยู่ใกล้เส้นทางก่อน) เมื่อฝรั่งลงจากรถ เสียงม้งดำหลายคนที่หอบผ้าทอเอาไว้ต่าง “สปี๊กอิงลิช” กันเป็นต่อยหอย ตั้งแต่ Hello! What is your name? Where are you from? Do you want to buy (the goods for) me? และถ้าฝรั่งผู้ใดหันไปเชยชมสินค้าแม้แต่มองหรือจับดู ฝรั่งผู้นั้นก็จะถูกรุม(ล้อม)จากม้งดำหลายคน ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน มาอย่างรวดเร็ว จนฝรั่งเกือบดิ้นหลุดไปไม่ได้ (โปรดดูภาพแรก) ต้อง “โชว์ พาวเวอร์” โดยใช้สีหน้าแบบทำหน้าตายๆ หรือแบบหมดแรง หรือทำหน้าเข้มๆ เหี้ยมๆ อย่างไร้ความปรานีว่า “ฉันไม่ต้องการ” จึงจะหลุดออกไปได้
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
แสงดาว ศรัทธามั่น
"ท่าน ค า ลิ ล ยิ บ ร า น "คือหนึ่งในมหาปราชญ์กวีแห่งโลกหล้าปลุกปลอบเพื่อนมนุษยชาติให้งดงามจิตวิญญาณ์หลอมคุณค่าชีวีโลกให้ ฉ่ำ บา น !
แพร จารุ
“พี่มันน่ากลัวจริง ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม้พี่ไม้ ไม้เป็นหมื่น ๆ” เธอส่งเสียงมาเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน“อยู่แดนสนธยาที่ไหน” ฉันถามกลับไปเพื่อให้ตัวเองตั้งสติหากมีเรื่องร้าย “ไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นไม้เป็นหมื่น ๆ ท่อนพี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเยอะจริง เดี๋ยวจะถ่ายรูปส่งไปให้ดู บางต้นมีผ้าเหลืองผ้าแดงผูกโคนต้นด้วย” “ที่ไหน” “กิ่วคอหมาพี่ เขากำลังสร้างเขื่อนกิ่วคอหมา พี่รู้เรื่องนี้ไหม พูดแล้วขนลุกพี่ รอเดี๋ยว ๆ นะพี่นะจะส่งรูปไปให้ดู”“จ๊ะ แล้วเธอไปทำไม”“ขับรถผ่านมานะพี่  กลับมาจากลำปาง”เธอพูดหลายครั้งว่าเธอไม่เคยเห็นไม้เยอะขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ และสงสัยว่าทำไมเขายังตัดไม้กันขนาดนี้ การสร้างเขื่อนต้องตัดไม้กันขนาดนี้เหรอ
แสงดาว ศรัทธามั่น
*** "มองดูความจริงซีพี่ น้องผองเพื่อน"มองดูแล้วย้ำเตือนคนหนุ่มสาวโลกร้อนแล้งเลวร้ายเนิ่นนานยาวทั้งเหน็บหนาวปวดร้าวทุกคราวครั้ง
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ  ครั้งนี้ก็เช่นกัน คำว่าพายุฤดูร้อนจะต้องผ่านไปด้วยดีเหมือนที่เคยเป็นมา เพียงแต่ฉันยังไม่ชินกับเสียงฟ้าผ่าในยามดึก ไม่คุ้นกับสายฝนอารมณ์ร้ายที่สาดสายเข้ามาอย่างบ้าคลั่งจนเปียกปอนไปทุกซอกมุม ไม่เว้นแม้แต่ในห้องนอนฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากความอดทน ยิ่งอดทนยิ่งหวาดกลัว เพราะรู้ดีว่าบ้านไม้หลังนี้ไม่มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะต้านแรงพายุ สวดมนต์อยู่ในใจ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถิด
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายเพลาที่ผู้เขียนหายตัวไปจากเว็บนี้ ด้วยมีภาระกิจที่มากมายล้นหัวล้นหูเพราะผู้ใหญ่ส่งมาตามที่หัวโขนกำหนด เลยหมดแรงทุกครั้งที่ถึงบ้าน อีกทั้งมีคนสนิทที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่แบบเข้มข้น เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบส่วนตัวอย่างสมัครใจ จึงไม่มีเวลาจะผลิตงานตรงนี้ อีกอย่างหลายครั้งก็ท้อใจเพราะว่าผลงานที่เขียนไม่ “แรง” เท่าไรนัก ส่วนแฟนประจำที่มีอยู่บ้างก็สไตล์คล้ายๆกันคือ ไม่ชอบโฉ่งฉ่าง ไม่ชอบสร้างประเด็นมากนัก งานก็เลยค่อยๆไป ที่น่าขำคือได้ยินคนมาบอกว่าเป็นคน “แรง” จากปากอดีตนักเขียนคนหนึ่งใน “ประชาไท” เลยมานั่งคิดเหมือนกันว่าที่แรงน่ะ แรงตรงไหน หลากความคิดเอาเถอะไม่ว่ากัน คนเรามีหลายแบบได้ข่าวจาก “ประชาไท” ตอนโทฯเข้ามาทักทายว่ามีคนถามถึง จึงรู้สึกอายใจว่าตนเองขี้เกียจแต่ก็รู้สึกดีใจที่มีคนถามถึงผลงาน อัตตาที่พอมีมันก็เลยบังคับให้ต้องเขียนมาในยามมหาสงกรานต์ที่คนไทยอยู่ในอารมณ์บันเทิงกันเป็นส่วนมาก แม้ข่าวและบทความต่างๆที่ “ประชาไท” เองลง ก็มีคำถามว่ามันเป็นยังมายังไงกับเทศกาลนี้ แบบที่คนไทยกระแสหลักไม่ถามกัน ไม่คิดย้อนกลับ แต่รับมาแบบไม่เคยสงสัย จนเป็นเรื่อง “การเมือง” ที่แฝงในชีวิตคนไทยที่โดนยัดใส่วิธีคิดและการสร้างโลก-ทัศน์ที่ประหลาดๆผู้เขียนพบว่าตอนนี้ (15 เม. ย.) มีหัวข้อฮิตกว่าการยุบพรรคการเมือง นั่นคืออัตราการตายเพราะอุบัติเหตไม่ว่าจะบนถนนหรือนอกถนน ขณะที่พิมพ์งานชิ้นนี้ก็มีคนตายไปนับร้อยแล้ว แถมมีการทำลายสถิติปีที่แล้ว ทั้งที่มีการรณรงค์ต่างๆ แต่ก็ไม่มีผล แล้วพาลที่จะหาสาเหตุมาอธิบายว่าทำไม ในส่วนตัวผู้เขียนขอเสนอว่าการรณรงค์ดังกล่าวไม่ได้ผลเนื่องจากคนทั่วไปทนฟังกรอกหูทุกวัน แล้วไม่ค่อยมีใครตาย พอถึงเทศกาลมีคนตายมีอุบัติเหตุ ก็คิดไปว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องปกติ สังคมไทยมีลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า “let go” มากไป ซึ่งก็มีพื้นฐานมาจากแนวความคิดแบบที่ว่า “โลกใบนี้ถูกกำหนดมาแล้ว” มากเกินไป จนไม่คิดจะหันมาทำอะไรเพื่ออนาคตเสียบ้าง น่าสังเวชเป็นที่สุด ฝรั่งเองระแวดระวังยังมีพลาด เพราะสังคมไทยไร้สำนึกและไม่ระวังจึงสูญเสียมากจนน่าสะท้อนใจผู้เขียนรู้สึกรำคาญกับวิธีคิดแบบดังกล่าวจนพูดไม่ถูก แต่เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่า ชนชั้นปกครองนั่นแหละเสี้ยมสอนให้คนคิดไม่เป็น แถมยังบอกว่าสอนไม่ได้ ปล่อยให้เป็น “underdog” ไปทุกรุ่น ส่วนบางพวกที่อยากโงหัวขึ้นมาในระบบชนชั้นของสังคมไทยก็ชอบทางลัด บ้างก็คดโกง บ้างคอยให้คนมาช่วยแบบเอื้ออาทร หรือฝนหลั่งมาสู่ดินบ้าง ทำอะไร คิดอะไรไม่เป็น ไม่เป็นไทแก่ตน ผู้เขียนเคยเห็นในกระทู้ “ประชาไท” มีคนใช้สำนวนว่า “ตัวเป็นไท ใจเป็นทาส”