Skip to main content
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นนั้นแหละ                    ไม่ต้องแตะแต้มแต่งแสร้งเสกสรรค์                    เป็นอย่างที่เธอเป็นเช่นทุกวัน                    ไม่ต้องปั้นเปลี่ยนสีหน้าท่าทางใดพูดอย่างที่เธอพูดอย่างนั้นแหละ       ไม่ต้องแตะแต่งถ้อยร้อยคำใหม่พูดสั้น-สั้น กลั่นออกมาจากหัวใจ      เหมือนเคยใช้ทุกวันนั้นดียิ่งคิดอย่างที่เธอคิดอย่างนั้นแหละ       ไม่ต้องแตะแต่งจริตคิดเพริศพริ้งคิดอย่างที่เธอรู้สึก นึกคิด จริง           กับทุกสิ่งในระบอบ รอบ-รอบกายอยู่อย่างที่เธออยู่อย่างนั้นแหละ       ไม่ต้องแตะแต่งสามัญอันเรียบง่ายด้วยแสงสีจัดจ้าจนพร่าพราย           จนความอาย ไม่มี-ที่ซ่อนหน้าเป็นอย่างที่เธอเป็น…เช่นนี้เถิด          อย่าเตลิดหลงใหลไปไขว่คว้าเป็นอะไรที่เป็นอื่นฝืนอัตตา              สูงเทียมฟ้า ยิ่งดูชั่ว-ใช่ตัวเรางดงามแล้ว ควรเพียงพอ-อย่าต่อเติม   ไปสร้างเสริมแนวทางเอาอย่างเขาเป็นชาวดิน งามตามถิ่น-ดินกล่อมเกลา  ถึงงาม เศร้า แต่ก็มีศักดิ์ศรีดินรักอย่างที่เธอเป็นเช่นนี้แหละ            ไม่ต้องแตะแต้มแต่งให้ใครถวิลรักอย่างที่เธอเป็นมาเป็นอาจิณ          รักในวิญญาณ ซื่อ ใส ในตัวเธอ.8 เมษายน 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่ 
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี ที่ต้องตรากตรำงานกลางแจ้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อเก็บเงินไว้เรียนหนังสือหรือซื้อหาสิ่งที่ชอบของตนเองโดยไม่รบกวนผู้เป็นพ่อแม่“ต้นไม้กำลังผลิใบอ่อนดูคล้ายงานเลี้ยงเพิ่งเริ่มต้น” ฉันคิด ขณะที่ย่ำเท้าไปบนยอดหญ้าอ่อนๆ พื้นดินเปียกชุ่มน้ำฝนที่หลั่งสายมาทุกค่ำคืน“น้าศิลป์ดูนี่สิครับ นี่รอยของหนูที่มากินรากต้นเพ็ก  หลายตัวเลย” โชคตื่นเต้นพลางชี้ให้ฉันดู คืนนี้เขาจะมาวางบ่วงดักหนู ฉันสงสัยว่ามันจะไม่เดินออกนอกเส้นทางบ้างเหรอ เขาบอกว่า “ไม่”มิน่า จึงมีคติของคนภาคอีสานที่ว่า “ทางหนู หนูไต่ ทางไหน่ ไหน่เดิน”เราเดินเลาะมาตามร่องน้ำ ซึ่งบัดนี้มีน้ำเต็มปริ่ม ทั้งที่เมื่อสิบกว่าวันก่อนบริเวณนี้คือความร้อนแล้งแห้งผาก ไม้ยืนต้นโกร๋นไร้ใบราวกับตายซากไปแล้ว แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ราวกับเนรมิต
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ยิ่งชูก้านกิ่งใบไปสู่ฟ้าราวจักคว้าดวงตะวันอันสุกใสลงจากฟ้ามาเล่นเป็นโคมไฟส่องดวงใจตกอับคนคับแค้นและยิ่งสูงขึ้นไปจนไกลลิบราวจักหยิบดวงดาวพร่างพราวแสนมาเรียงร้อยสร้อยดาววับวาวแทนสร้อยใส่แขนเจ้าสาวผู้หนาวรักยิ่งต้องหยั่งรากลึกลงสู่ดินดูดดื่มกินโลกธาตุอย่างหน่วงหนักทุกเส้นสายชอนไชลงไกลนักเพื่อที่จักเติบใหญ่ให้ร่มเงาเพื่อผลิดอกออกผลจนสุกงอมเพื่อโน้มน้อมกิ่งลงดำรงเผ่าเพื่อสืบเนื่องชีวิตนี้แนบเนาเพื่อกล่อมเกลาโลกขมขื่นให้ชื่นบานเพื่อที่จักตายไปในวันหนึ่งเมื่อยามถึงกาลเวลามาเรียกขานทอดกายลงพักผ่อนนอนนิ่งนานอยู่ในกาลนิรันดร์สงบเงียบ.27 มีนาคม 2551กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
แสงดาว ศรัทธามั่น
แพร จารุ
เขาว่ากันว่า  เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติงดงาม เมืองวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จอดดูสักหน่อยซิเขาเล่ากันต่อว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เชียงใหม่เติบโตด้านการท่องเที่ยวสูงสุด ปีหนึ่งๆ มีคนมาเที่ยวเชียงใหม่มากมาย เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหาเงินทอง เมกกะโปรเจคขนาดใหญ่จึงเกิดขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ว้าว! แล้วคนเชียงใหม่ คิดอย่างไรกับเมืองเชียงใหม่ หากไปถามคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยคนเชียงใหม่ต่างวิตกกังวล คนเชียงใหม่บอกว่า เมืองน่าอยู่นั้นคือเมื่อก่อน เมื่อก่อนซึ่งไม่นานเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ คนเชียงใหม่ลำบากกับรถติดในเมือง คนเชียงใหม่กลัวน้ำท่วมเหมือนปี 2548 ฤดูร้อน คนเชียงใหม่กลัวหมอกควันจะกลับมา และหายใจไม่ออก ทุกคนต่างรู้ดีว่า ตัวเองอยู่ในเมืองแอ่งกระทะ อยู่ในหุบเขาสูงๆ ต่ำๆ คนเชียงใหม่กลัว กลัว และกลัว โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง คนเชียงใหม่ไม่กล้าให้ลูกสาวออกจากบ้าน กลัวจะถูกลวนลามอย่างถูกต้อง ใครก็เอาผิดไม่ได้ เพราะเป็นช่วงสงกรานต์
แสงดาว ศรัทธามั่น
“เมื่อความรักเรียกร้อง...จงเดินตามเธอไปฯ”เมื่อสงครามเพรียกหาขอเราจงปฏิเสธมันฯ เมื่อความเขลาขลาดเกาะกุมจิตใจเรา...จงขับไล่มันออกไป !เมื่อความยุติธรรมเรียกร้องดวงใจจิตวิญญาณเธอ...จงแกร่งงามฯ
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้ แต่แกยังยืนยันว่า“เมื่อก่อนตรงนี้ไม่มีทาง ไม่มีใครเดินผ่านหรอก พอคุณมาทำทางเข้าบ้านตัวเอง เขาเห็นว่าเดินสะดวกจึงขอผ่านทางไปป่า แต่มันต้องเดินผ่านหน้าบ้านคุณ ไม่ดีหรอกไม่ปลอดภัย คนแปลกหน้าเยอะแยะที่เข้ามาในหน้าฝน”ตาลีบอกว่าชาวบ้านจากหลายๆ หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ป่าผืนนี้ ต่างมุ่งหน้ามาหากินในป่าเมื่อฤดูฝนมาถึง และฉันได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเอง ทั้งที่เป็นเพียงพายุฤดูร้อนหนึ่งห่าเท่านั้น พวกเขาก็ยังกรูกันมา ราวกับฝูงมดที่ตามกลิ่นหอมหวานของชานอ้อยกระนั้น ทำให้รู้ว่าวิถีแห่งการหาอยู่หากินยังไม่หล่นหายไปในระหว่างเส้นทางการพัฒนาไปสู่การผลิตเพื่อขาย แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องหลัก แต่นั่นก็เป็นพืชบางชนิดที่ส่งป้อนเข้าสู่โรงงาน และแต่ละชนิดมักจะเขมือบเอาปุ๋ยและสารเคมีไปกินจนลำต้นอวบอ้วน แต่คนปลูกกลับผอมแห้งแรงน้อย เช่นตาลีเป็นต้น
ภู เชียงดาว
เหมือนว่าอดีตกำลังกวักมือเรียกหาเหมือนว่าปัจจุบันกำลังคลี่เผยความลับอยู่เบื้องหน้าฉันรู้สึกตื่นเต้น อยากก้าวย่างไปบนทางสายนั้น ถนนความหวังและความใฝ่ฝันภูเขาลูกนั้นที่ฉันคุ้นเคย แม่น้ำสายนั้นที่ฉันฝันถึงป่าไม้ผืนนั้นยังตรึงไว้ในดวงตากับสายลมเริงร่า กลางทุ่งหญ้าสีทอง แหละนั่นตะวันเจิดจ้า กับท้องฟ้าสีฟ้าเบิกบานสดใสเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงออกเดินทาง ไกลแสนไกลไปตามหาความฝันอันกว้างใหญ่ไปค้นหาความหวังใหม่ไม่รู้จบเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงศรัทธา คิดและฝัน...ฉันจึงออกเดินทาง....ชายคนหนึ่งเดินทางเพื่อบอกเล่าถึงความงดงามคือความหมายของชีวิต ผ่านบทกวีในห้วงคำนึงขบถโรมานซ์ ในทุกที่ที่มีความเคลื่อนไหวของคนทุกข์คนยากอยู่อย่างลำบากในสังคมชนชั้น เยี่ยงที่เป็นมานับผ่านถึงเวลา 5 ปี พ.ศ.2545 ถึง พ.ศ.นี้ ชายคนเดียวกัน ได้เก็บบันทึกเหตุการณ์ สะสมเรื่องราวในยามห้วงคำนึง ไว้ด้วยภาพที่ผ่านการกดชัตเตอร์นับครั้งไม่ถ้วน มิเพียงเพื่อความสนุกสนานหรือความสวยงาม หากยังย่อขยายความเคลื่อนไหวของผู้คนในสังคมขณะหนึ่ง ผ่านกล้องถ่ายรูปพกพา ไว้ในเนื้อที่ฟิล์ม มากกว่า 50 ม้วน แล้วล้างอัด คัดสรรเนื้อหา จนเหลือเพียง 50 ภาพ นำเสนอโดย ‘แสงดาว ศรัทธามั่น’ กวีล้านนาอิสระขอเชิญชมผลงาน ‘ภาพถ่ายแสงดาว ศรัทธามั่น’วันเสาร์ ที่ 22 มีนาคม 2551 เวลา 18.00 นาที เป็นต้นไปณ ร้านสุดสะแนน ถนนห้วยแก้ว อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่กำหนดการสังสรรค์มิตรสหาย17.00 น. เชิญเข้าชมภาพถ่ายและสั่งจองภาพ18.30 น. คำต่อคำ-ก่อนกดซัตเตอร์ /อ.ประมวณ เพ็งจันทร์ ร่วมสนทนา ดำเนินรายการโดย พี่อ้อย ชุมชนคนรักษ์ป่า และน้องแอน ละครชุมชน19.00 น. ฟรีคอนเสิร์ตกวี-ดนตรี และบทเพลงแสงดาว อาทิ บุศ Family, โจ้ รังสรรค์ ราศีดิบ,สุวิชานนท์ รัตนพิมล,ชิ สุวิชาญ,ตุ๊ก บราสเซอรี่,สุดสะแนน ฯลฯจัดโดย กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่ (ภาคีกวี นักเขียน ศิลปิน ภาคเหนือ) ร่วมกับ ร้านสุดสะแนน ร้านหนังสือร้านเล่า ร้านลูกช้างนานามีเดียเซ็นเตอร์ และชมรมวรรณศิลป์ มช. และอีกหลายความเคลื่อนไหวหมายเหตุใครมีภาพถ่ายอ้ายแสงดาว พกติดตัวมาโชว์ในงานได้นะครับสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.089-8505025    
แสงดาว ศรัทธามั่น
สารคดี : เคยคิดบ้างไหมว่า ตัวเองเป็นคนเสียสละ ?ว นิ ดา : (นิ่งคิดครู่หนึ่ง) ...เรื่องนี้ไม่ค่อยคิดเท่าไร ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่เรื่องว่าใครคนใดคนหนึ่งต้องเสียสละ คนอื่นเขาก็เสียสละ คนที่ทำงานกับเราเสียสละทุกคน จริงๆแล้ว ชาวบ้านเป็นผู้เสียสละ เขาถูกขับไล่ ถูกเวณคืนเพื่อสร้างเขื่อน ไม่อย่างนั้นเราก็ไมมีน้ำ ไม่มีไฟฟ้าใช้ เรามีโอกาสมากกว่า เราก็ช่วยเขา มีแรงพอจะช่วยเขาได้ เราก็ช่วย ดิฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้เสียสละไม่ได้คิดว่าเป็นนักบุญ หรือ แม่พระ และก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหญิงเหล็ก คนอื่นเขาเหล็กกว่าดิฉันเยอะดิ ฉั น เ ป็ น ค น ธ ร ร ม ดา  เ พี ย ง แ ต่ ดิ ฉั น เ ป็ น ค นไ ม่ย อ ม แ พ้ ไ ม่ ย อ ม จำ น น ง่า ยๆ  เ ท่า นั้ น "** ตอนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ในนิตยสารสารคดี
ที่ว่างและเวลา
สัมภาษณ์-เรียบเรียง : บัณฑิต เอื้อวัฒนานุกูลรศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมณ์ เคยเป็นอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเชี่ยวชาญภาษาทิเบต ทำวิจัยเรื่องทิเบตมานานนับ 10 ปี เคยเดินกราบอัษฎางคประดิษฐ์ (เดิน 3 ก้าว ก้มกราบ 1 ครั้ง) บนเส้นทางของนักแสวงบุญอันเก่าแก่ทุรกันดาร ณ เขาไกรลาสเป็นระยะทางกว่า 80 กม. ปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิพันดารา (Thousand Stars) ซึ่งเป็นองค์กรสร้างการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องพุทธศาสนาแบบวัชรยานในสังคมไทย และยังคงเดินทางไปทิเบตอยู่เสมอมิว เยินเต็น บวชเรียนใต้ร่มกาสาวพัตร์ของพุทธศาสนาวัชรยานในบ้านเกิดที่ทิเบตมานาน 27 ปี เป็นผู้ติดตาม อ.กฤษดาวรรณ ในการเดินเท้าแสวงบุญบนเขาไกรลาส ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิพันดาราอาจารย์กฤษดาวรรณมิวเยินเต็ม
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
น้องชายน้องชายที่รักของข้าจงฟังคำของข้าและจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ภาษาของมนุษย์ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีภาษาที่ดีหรือว่าเลวจงจำใส่ใจเอาไว้ให้ดีภาษาที่เจ้ามีอยู่และกำลังใช้สื่อสารมันสามารถที่จะเป็นได้ทั้งข้าทาสผู้รับใช้และเป็นนายของตัวเจ้า
เมธัส บัวชุม
  หนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม เพราะเพื่อนของหลานมาเคาะประตูเรียก"มีอะไร" เขาถาม"งานเข้า!" เพื่อนของหลานบอก ก่อนที่จะขยายความว่าหลานของเขาถูกจับยาบ้า ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้วเขารีบไปที่สถานีตำรวจทันที อกสั่นขวัญแขวนเพราะเป็นห่วงหลาน พบหลานนั่งก้มหน้า น้ำตาคลอ และถูกใส่กุญแจมือ"ไม่ทัน!" หลานบอกทันทีที่เจอหน้า เขาไม่แน่ใจว่าคำว่า "ไม่ทัน" ของหลานนั้นหมายถึงอะไร มันอาจหมายถึงว่า "หนีตำรวจไม่ทัน" หรืออาจหมายถึงว่า "ทิ้งยาบ้าที่ติดตัวอยู่ไม่ทัน" เขาถามหลานสองสามคำและถามตำรวจอีกสองสามคำ ได้ความว่าหลานมียาบ้าติดตัวอยู่ 20 เม็ด พร้อมกับเงิน 4 พันกว่าบาท ยาบ้าที่ว่านี้หลานไปหาซื้อมากับเพื่อนจากแถว ๆ วงเวียนใหญ่เพื่อนำไปขายต่อ (หลานไม่ยอมให้รายละเอียดว่าซื้อต่อมาจากใคร อย่างไร) หลานบอกว่าซื้อขาดมาเลย ไม่ใช่รับจ้างเดินของ และยอมรับว่าทำงานนี้มาเป็นแรมเดือนแล้วเขาตกตะลึงกับสารภาพง่าย ๆ ของหลาน เขารู้ว่าหลานเสพยาเสพติดมานานและพยายามขัดขวางห้ามปรามอย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด แต่ไม่นึกว่าหลานจะใจกล้าถึงขนาดนี้ อายุยังไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ เขาคิดว่าหลานอาจจะ "เสี้ยนยา" และไม่มีเงินซื้อเพราะแม่ก็ตัดหางปล่อยวัดแล้ว ดังนั้นจึงหันมาขาย ขายไป เสพไปหลานให้รายละเอียดในเวลาต่อมาว่าหลังจากไปรับยาบ้ามาจากวงเวียนใหญ่แล้ว ก็ไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นกับเพื่อนคนที่ไปเอายาบ้าด้วยกันนั่นแหละ"ทำไมไม่เอายาบ้ามาเก็บเสียก่อน" เขาถาม"ลืม" หลานบอก หลานกับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมพกพากล่องลูกอมที่ใส่ยาบ้าไว้ 20 เม็ดตระเวณไปทั่วกรุงเทพ ฯ กระทั่งเจอด่าน รถมอเตอร์ไซค์ที่หลานขี่เป็นรถแต่งดังนั้นตำรวจจึงเรียกให้จอดเพื่อจะทำการปรับไปตามเรื่องตามราว แต่หลานออกอาการลนลานจนน่าสงสัย ตำรวจจึงนำตัวไปที่โรงพักและค้นตัวเที่ยวแรกค้นไม่เจอเพราะหลานใส่ไว้ในกางเกงใน แต่ตำรวจนายหนึ่งรู้ทันบอกให้ค้นในกางเกงในด้วย จึงเจอกล่องลูกอมใส่ยาบ้า เป็นอันว่าเกมเขาทั้งด่าทั้งปลอบหลาน ทั้งเจ็บปวดผิดหวังกับหลานที่เขาแสนรัก เขามองหน้าเศร้าสร้อยของหลาน รู้สึกเสียดายที่อนาคตต้องมีรอยมลทิน หลังจากลงบันทึกเรียบร้อยแล้ว ตำรวจก็พาหลานเข้าห้องขัง เขาไม่คิดจะประกันตัว เขาโทรไปบอกแม่ของหลานซึ่งก็ให้ความเห็นว่าไม่ต้องประกันตัว แม่ของหลานบอกว่าเด็กมันควรจะได้รับบทเรียน เขาเห็นด้วยว่าหลานควรจะได้รับบทเรียนและได้แต่หวังว่าบทเรียนนี้จะทำให้ "โต" ขึ้น เขากลับมานอนไม่หลับ ภาพที่หลานถูกสวมกุญแจมือเดินเข้าห้องขังนั้นทำร้ายจิตใจอย่างแรง รุ่งขึ้นเขาลางาน ไปเยี่ยมหลานและต้องเป็นผู้ปกครองตอนที่ตำรวจสอบสวน ก่อนที่จะสอบสวนนั้น ตำรวจเข้ามาบอกกับหลานว่า เงิน 4 พันกว่าบาทนั้นให้หลานบอกว่าเป็นเงินที่แม่ให้มา ไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการขายยาบ้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลานสารภาพแต่โดยดีไปแล้วว่าเป็นเงินจากการขายยาบ้าด้วยความที่คิดว่าตำรวจเป็นคนดี หรือด้วยความมองโลกในแง่ดีหรือด้วยความอ่อนต่อโลกของตำรวจและโลกของยาบ้า เขาจึงเข้าใจว่าที่ตำรวจแนะนำให้หลานบอกว่าเงิน 4 พันกว่าบาทนั้นเป็นเงินที่แม่ให้มาเพราะตำรวจอยากจะคืนเงินให้กับเด็ก เขาถามตำรวจว่า "เงินนี้จะได้คืนใช่ไหมครับ" ตำรวจตอบว่า "ห้าสิบ ห้าสิบ" เขาลืมเรื่องเงินไปชั่วคราว เพราะใจจดจ่ออยู่กับการสอบสวนซึ่งมีทนายความ นักจิตวิทยามาร่วมเป็นพยานด้วย (อันที่จริงถ้าให้ครบก็ต้องมีอัยการด้วย แต่เขาบอกว่าไม่ต้องก็ได้) ตำรวจถามไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งบันทึกวิดีโอไว้ จนมาถึงเรื่องเงิน 4 พันกว่าบาท หลานก็ตอบไปตามที่ตำรวจบอกให้ตอบว่าเงินนั้นเป็นของแม่ ไม่ใช่เงินที่เกี่ยวข้องกับยาบ้า การสอบสวนเสร็จสิ้นใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง จากนั้นหลานถูกนำตัวเข้าห้องขังอีกครั้ง ส่วนเขาก็นั่งรอเพื่อที่จะไปส่งหลานที่ "บ้านเมตตา" พร้อมกับตำรวจ ระหว่างทางไปบ้านเมตตา ตำรวจที่ไปส่งหลานสองนายแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม 300 บาท แต่มีเงินติดตัวไม่พอ ตำรวจจึงขอยืมเขา 200 บาท เขางงที่จู่ ๆ ตำรวจยืมเงินแต่ก็ให้ไป เขาถามตำรวจหลายครั้งว่าเงิน 4 พันกว่าบาทของหลานนั้นจะได้คืนหรือไม่ ตำรวจตอบว่าต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าเงินนั้นเป็นเงินที่แม่ให้มาจริง ๆ !เขารู้ทันทีว่าพลาดแล้ว เงินไม่มีทางได้คืนแน่นอน จะหาหลักฐานมายืนยันได้ยังไงในเมื่อเงินนั้นมาจากการขายยาบ้า! เขามาถึงบางอ้อว่าหากหลานสารภาพว่าเงิน 4 พันกว่าบาทได้มาจากการขายยาบ้า เงินสกปรกนั่นก็จะตกเป็น "ของกลาง" แต่หากบอกว่าเป็นเงินที่แม่ให้มา ไม่เกี่ยวกับยาบ้า เงินนั้นก็จะไม่เป็นของกลาง ตำรวจก็สามารถเอาเงินบาปที่เด็กเสี่ยงอนาคตหามาได้เข้ากระเป๋าตัวเองสบายใจ นี่เป็นวิธีหากินของตำรวจ เป็นวิธีหากินกับความเหลวแหลกของสังคม ฉวยโอกาสเอาจากความเดือดร้อนที่ผิดกฏหมาย หลังจากที่พาหลานไปส่งที่ "บ้านเมตตา" แล้ว เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้นอนเลย รู้สึกอ่อนเพลียเสียใจเป็นกำลัง เขาทรุดตัวลงที่ลานหญ้าข้างถนน ร้องไห้เสียงดังไม่อายใคร.