Skip to main content
ภู เชียงดาว
ภาพโดย www.thaingo.org -งาม- เธองามดั่งดวงดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่งในหมู่มวลธรรมชาติสรรพสิ่งเพียงลมสายบริสุทธิ์พัดต้องล่องลอยมาสู่,ชีวิตเธอก็คลี่กลีบนวลยิ้มแย้มเบิกบานอยู่อย่างนั้นให้สัมผัสพบเห็นเป็นที่ชื่นชมในกัลยาณมิตรให้ชุ่มชื่นดวงจิตเธอช่วยชุบชูชีวิตหลายชีวิตให้มีหวังยิ่งยามแผ่นดินแล้งแห้งหรือเร่าร้อนดังไฟ-แกร่ง-เธอแกร่งดั่งภูผาที่ยืนท้าต้านแรงลม แดด ฝนวิถียังเฝ้าฝ่าฟัน บากบั่น ยึดมั่น ก้าวไปบนถนนของคนจนและความจน แหละผจญไปบนเส้นทางของความจริงแม้ร่างนั้นดูบอบบาง หากยังฝืนกำหมัดหยัดยืนชูมือขึ้นสู่ฟ้า เพียรวาดฝัน ปรารถนา ปวงประชาพบทางแห่งเสรีใช่, เหมือนกับที่เธอว่าไว้ในบทกวี...“จินตนาการความฝัน สรรค์สร้างได้จริง บนดินแดนเสรี”-กล้า-เธอคือผู้กล้าหาญบนตำนานการต่อสู้ของประชาชนจ้องดูเธอสิ- -ในชีวิตนั้นมีการเคลื่อนไหวดวงตาเธอยังคงสุกใสเปล่งประกายเจิดจ้าจิตวิญญาณเธอนั้นเล่า,ยังคงเต้นเร่าประกาศกล้าทายท้าอธรรม“...ลุกขึ้นเถิดผองทาส  ปลดปล่อยโซ่ตรวนรุกไล่อธรรม ให้ถอยร่นหมดทางคือภาระหน้าที่สืบสาน  บรรพชนคนหาญในลำนำเล่าขาน  ตำนานของเรา”จากวันนั้นจนถึงวันนี้...ยังระลึกถึงและสื่อสัมผัสถึงเธอได้..“งาม แกร่ง กล้า...มด.วนิดา เธอผู้อยู่เคียงข้างประชาชน”                   ด้วยจิตคารวะ ศรัทธาและเชื่อมั่น                                             ภู เชียงดาวหมายเหตุ : เขียนขึ้นหลังทราบข่าวพี่มด วนิดา,ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง และบทกวีในเครื่องหมายคำพูดที่เน้นตัวหนา คือส่วนหนึ่งของบทกวีที่ชื่อ “สบน้ำ” ของพี่มด วนิดา,ที่ได้กลั่นออกมาจากจิตวิญญาณข้างใน หลังจากไปเยือนแม่น้ำสาละวิน- สบเมย เมื่อ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งต่อมาผมได้ขอบทกวีชิ้นนี้มานำลงเผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ ‘กวีประชาไท’
แสงดาว ศรัทธามั่น
ภาพประกอบจาก : http://www.flickr.com/photos/poakpong/2074330653/ มนุษย์ไยรุนแรงทำบาปกรรมกับเพศแม่ ?อันมีพระคุณให้กำเนิดแด่เธอในทุกที่เพศแม่งามคุณค่าล้ำชีวีจิตวิญญาณวิถีแม่งามอำไพตะวันเดือนดาวพราวพร่างฟ้าทางช้างเผือกบนนภา กระจ่างแจ่มใสเริงระบำรำร่ายฟ้อนงามเรืองไรอวยพรชัยให้เพศแม่สุขสบายดีโอ ! สกุณา ผีเสื้อ แมลงปอ เริงรำฟ้อนระเริงร่อนอวยพรชัยให้สุขีโลก เอกภพ จักรวาล เริงรำฟ้อน โอบกอดชีวีคารวะเพศแม่ ณ วันนี้ ตราบนิรันดร์แม่แห่งโลก + แม่แห่งลูกสายลมโชยโบยโบกจิตสุขสันต์แม่แห่งลูก + แม่แห่งโลกพร้อมใจกัน ร่วมสร้างสรรค์สังคมใหม่ให้เป็นจริง !!!ต้นฤดูหนาว, พฤศจิกายน , ๒๕๕๐ , ล้านนาอิสรา , เจียงใหม่.
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
- สวัสดีครับ- สวัสดีค่ะ- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ- โอ๋ ดีจังเลย- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ - ถูกต้องค่ะ- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่  ติดตามเราอยู่ทุกฝีก้าว   คอยสอดส่องดูความเป็นไปของชีวิตผู้คนแถบนี้มาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่ออกมาจากริมฝั่งน้ำแม่เงา  ผมรู้สึกเหมือนเดินทางย้อนเวลา  กลับไปหาดินแดนโลกไม่คุ้นเคย  สู่พื้นที่สู้รบของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย  เต็มไปด้วยความลี้ลับ  และอันตราย  การรู้ล่วงหน้าถึงความป่าเถื่อนที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องรบกวนใจอย่างหนึ่ง   ตลอดเวลาเดินทาง  ผมอยู่ในห้วงความรู้สึกคุกรุ่นด้วยความหวาดระแวง  ถึงกระนั้นก็ตาม  พะเลอโดะเป็นเสมือนสิ่งยืนยันความปลอดภัย   พะเลอโดะชอบเดินทางกลางคืน  เขาพูดให้ชวนหัวว่า  เดินทางกลางวันมันร้อน  บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน  กลางคืนมีโชคกว่า  เย็นสบายกว่า  อีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่พลังชีวิตอ่อนล้าที่สุด  ธรรมชาติร่างกายต้องพักผ่อน  หาที่หลบซ่อนตัว  เก็บตัวไว้ในที่ปลอดภัย  รอให้ถึงรุ่งเช้าของวันใหม่    แต่สัตว์ออกล่าเหยื่อกลางคืน  ต้องยกเว้น     เราออกมาจากบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมน้ำสาขาแม่น้ำเงา   ลุงเวยซารู้มาตลอดว่าลำห้วยสายที่แกดื่มกิน อาบใช้อยู่ทุกวันนั้นไหลลงสู่โข่โละโกร  แต่ให้แกเดินไปนั้น  แกไม่อยากไปหรอก  สมัยที่แกยังเล็กมาก  แกเดินข้ามป่าผืนใหญ่ทั้งวันทั้งคืน  ไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะไปหยุดลงที่ไหน  ต้องนอนพักกลางป่า  ทำเพิงพักด้วยใบไม้กันน้ำค้าง   ค้างคืนตามห้างไร่  กว่าจะมาถึงริมฝั่งแม่น้ำเงาเวลาชั่วอายุคน  ไม่นานเกินที่จะแยกแยะว่าตรงไหนปลอดภัย   ตรงไหนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  แกมาอยู่ในที่ปลอดภัยจากการสู้รบ  เดินไปไหนตามป่าได้โดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ   น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง   ผิวหนังแกมีประกายแสงเรื่องรอง  ที่จะเรียกผมเดินตามแกไปทุกฝีก้าว  ด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ผมเตรียมเสื้อผ้าหนาๆมาหลายชุด  พร้อมถุงเท้าหนา  ถุงมือ  หมวกถักคลุมหัว  ด้วยคิดว่ายุงน่าจะเบื่อเจาะเข้าไปให้ถึงผิวเนื้อ  แต่ลุงเวยซาทำให้ผมพบความจริงอีกด้าน  ว่าเนื้อตัวเรืองแสงเปล่าเปลือยทำให้ยุงกลัว  มีแค่เตี่ยวสะดอเก่าๆ  ไม่สวมรองเท้า  เดินไปไหนมาไหนอย่างไม่หวั่นไหวพะเลอโดะบอกว่า  ยุงแถวนี้เรียกพี่  เชื้อไข้มาลาเรียกลัว  ทำอะไรแกไม่ได้         ปากแกต่างหาก  กลับทำงานอยู่ตลอดเวลา  สูบพ่นยาสูบด้วยกล้องยาไม้ไผ่ ควันผุยๆอย่างกับควันเผาไร่    พะเลอโดะบอกว่ายุงกลัวยาสูบมากกว่ากลัวแก   เวลาแกยิ้มครั้งใด  สีดำเมื่อมจากซี่ฟันคงเปล่งแสงไล่ยุงได้ด้วยก่อนออกเดินทาง   เราต้องเดินข้ามป่ามาไกลมาก  เราน่าจะเดินตัวเบา  หากไม่มีข้าวของติดไม้ติดมือมาด้วย   ซอมีญอกับกะฌอดูแข็งแรงเกินคน  เขาแทบไม่ส่งเสียงใดๆ  ยิ้มด้วยแววตาเศร้าๆแทนคำพูด  แต่แข็งแรงอย่างกับม้า  สองคนขนของขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว  ในมือผมมีเพียงเต็นท์กับเป้บนหลังเท่านั้น  แต่ดูหลังของเด็กหนุ่มทั้งสองนั้น  เต็มไปด้วยข้าวของติดตัวที่ดูราวกับม้าต่างบรรทุกของมาเต็มอัตรา    ว่าไปแล้ว  ทุกชีวิตในป่าแถบนี้   ล้วนคุ้นเคยกับการย้ายถิ่นที่อยู่   เต็มไปด้วยเรื่องราวการอพยพโยกย้าย  หาที่หลบภัย  ไม่มีใครปักหลักอยู่ที่ไหนนาน   ลุงเวยซาย้ายไปมานับครั้งไม่ได้  ราวกับว่าการอพยพโยกย้ายเป็นโรคที่ระบาดอยู่ตามป่าเขาริมตะเข็บชายแดน  เชื้อร้ายฝังตัวอยู่ตามป่าแถบนี้มาหลายชั่วอายุคน  โดยเฉพาะช่วงเสียงปืนกัมปนาทขึ้นบนแผ่นดินพม่าในหน้าแล้งรถจิ๊ปจอดรออยู่กลางป่า  มันเป็นม้าโบราณที่ทนแดดทนฝน  สมบุกสมบัน  และกลมกลืนกับสีของใบไม้   เหมือนว่าถนนหนทางไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนไปข้างหน้า  มันพร้อมจะพุ่งไปฝ่าไปบนความรกเรื้อ  ไม่มีเส้นทาง  จนกว่าจะพบกับทางชัน  ลุงเวยซาตบหัวลูบหัวรถ ราวกับเห็นมันเป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่โตเต็มไปด้วยพละกำลังตอนใกล้ค่ำ  ลุงเวยซาขอแวะที่ศาลเจ้าต้นจูเกริมฝั่งน้ำเงา   เด็ดดอกไม้ข้างทาง  พร้อมหมากพลูไปเซ่นไหว้ขอให้เดินทางไปโข่โละโกรอย่างปลอดภัย   ลุงเวยซาเดินกลับมาพร้อมกับหินก้อนหนึ่ง  แกบอกว่าเอาไปฝากโข่โละโกร
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน เมืองลำพูนปีนั้น ฉันย้ายไปอยู่เมืองปาย และวนเวียนเดินทางอยู่แถวๆ ภาคเหนือ จึงได้แวะเยี่ยมและค้างแรมที่บ้านอันร่มรื่นย์น่าอยู่ของพี่อ้อย เมื่อฉันบ่นว่าเจ็บขา พี่อ้อยคงสงสารจึงฝังเข็มให้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นเข็มเล็กๆ จิ้มลงไปในร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขาข้างหัก ช่วงที่พี่อ้อยหมุนเข็มกระตุ้น ฉันรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งปรู๊ดปร๊าดไปทั่วร่าง วิ่งขึ้นไปที่สมองแล้วลงมาที่เท้า หมุนวนอยู่อย่างนั้น ความสุขลึกๆ ซ่านไปทั้งกายทั้งใจตอนนั้นคิดว่า คนที่เสพยาเสพติดแล้วติดสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง สุขแบบพร่าๆ เบลอๆ มารู้ทีหลังว่าเป็นความเข้าใจผิด คิดไปเอง ทั้งเรื่องการฝังเข็มและเสพยา เพราะการฝังเข็มครั้งต่อๆ มา ฉันไม่มีอาการสุขล้ำลึกแบบนั้นอีกเลย ครั้งนั้น..อาจเป็นไปได้ว่า พี่อ้อยจิ้มเข้าไปที่จุดแห่งความสุข (มั้ง) เพราะปีต่อๆ มา หมอฝังเข็มคนอื่น ที่แทงเข็มรักษาขาให้ ช่วยให้เส้นที่อยู่ผิดที่ผิดทางกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้น ความปวดล้าลดน้อยลง น้อยลงจนกระทั่งทุกวันนี้แทบไม่มีอาการนั้นเลย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ความสุขวิ่งซ่านไปทั่วร่างอีกเรื่องการฝังเข็ม ฉันได้ฝังกับหมอที่เรียนมาจากป่าทั้งนั้น เพราะว่าเคยไปปรึกษาหมอฝังเข็มในโรงพยาบาล บางที่คุณหมอวิเคราะห์อาการของฉันแล้ว บอกว่าฉันต้องฝังหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งฉันไม่สามารถจะอยู่รับการรักษายาวนานได้ (ทั้งที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่) จึงเลิกราไม่พยายามรักษาตัวเองในโรงพยาบาล แต่จะใช้วิธีรักษาตามรายสะดวกของฉันเอง นานๆ จะได้เจอหมอ หมอทั้งหลายก็แสนจะนอกระบบ โชคดีที่ฉันได้เจอหมอเหล่านี้ และฉันขอยืนยันว่า ขาข้างหักของฉันยังทำงานอยู่ได้เพราะการรักษาด้วยการฝังเข็ม เท่าๆ กับการนวดครั้งสุดท้าย ที่เกิดเรื่องเกี่ยวกับขา จนฉันคิดว่า วาระสุดท้ายแห่งการเดินได้คงมาถึงแล้ว มันคือปีที่แล้วนี่เองปีที่แล้ว เป็นปีที่ฉันนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์นานที่สุด นั่งโต๊ะทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ติดต่อกันราวๆ 6 เดือนในเดือนที่สามของการทำงาน ทุกครั้งที่ลุกขึ้นยืน ขาข้างหักจะไร้เรี่ยวแรง และรู้สึกไร้น้ำหนักจนไม่สามารถจะก้าวเดินได้ ทั้งในข้อเข่าก็เจ็บจี๊ด กระดูกข้อต่อติดขัดเสียงดังกึกกัก  ฉันคิดในใจว่า หรือว่าวันที่หมอคนนั้นพิพากษาไว้มาถึงแล้วจริงๆ เพราะเกิดอาการถี่ๆ และทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ฉันเคยเข้าใจว่าการรักษาน่าจะได้ผลดี และน่าจะไม่ต้องเป็นคนขาพิการในบั้นปลายแต่ครั้งที่ร้ายแรงได้เกิดขึ้น เมื่อลุกขึ้นยืนจะเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน ก้าวเท้าจะเดินต่อ เจ็บจี๊ดที่เข่าจนทรุดซวนเซ ฉันตกใจหยุดยืนนิ่งอึ้ง ถามตัวเองว่าถ้าฉันก้าวเดินแล้วเจ็บมากกว่านี้ล่ะ (เจ็บแบบนี้ เคยเป็นในสมัยที่ขาหักใหม่ๆ เท่านั้น) แต่ถ้าฉันไม่เดิน ถ้าฉันมัวแต่โอดโอยกลัวเจ็บ แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร ถ้าฉันกลัว ฉันยิ่งจะเจ็บ นั่นคือข้อสรุปที่ฉันบอกกับตัวเอง ค่อยๆ ตั้งสติ ยืนตัวตรง อาการเจ็บหายไปแล้ว ที่เหลือคือการตัดสินใจว่าจะนั่งลงหรือเดินต่อ ในขณะนั้น..ฉันคิดถึงอาการทุกขเวทนาทางกายที่เกิดเมื่อครั้งวิปัสสนา  และฉันเห็นการเกิดดับที่เป็นปกติธรรมดาของมัน และเห็นจิตที่ติดข้องขลาดกลัว พยายามเข้าไปบังคับบัญชาให้มันเป็นไปตามที่อยากให้เป็น คือไม่เจ็บไม่ปวดนาทีที่ฉันตัดสินใจว่า ตายเป็นตายในสมาธิ ก็เคยผ่านมาแล้ว ฉะนั้นการเจ็บเข่าหนนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ในสภาวะสมาธิ แต่ฉันรู้ว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากการปรุงแต่งและยึดติด ทั้งความเจ็บปวดและความไม่ต้องการให้เจ็บปวดนาทีนั้น ฉันตัดสินใจอีกหน เจ็บเป็นเจ็บ หักเป็นหัก ให้มันรู้กันไป ถ้ามันจะทำให้ฉันเดินไม่ได้อีกแล้วก็ให้รู้กันไปเลย ในวินาทีที่เหยียดขาออกหากมันจะเจ็บหรือหัก หรือจะล้มลงก็ให้รู้กันไป จริงๆ หากไม่ใช่มันจะต้องผ่านพ้นไปเหมือนที่เคยผ่านบางสภาวะในสมาธิ“ให้มันตายไปเลย” ฉันคำรามในใจ แล้วจึงสะบัดขาก้าวเดินอย่างแรงและเร็ว... ก้าวที่สอง ที่สาม และก้าวต่อๆ มาก็เป็นก้าวปกติ ที่ไม่เหลือเค้าของความเจ็บปวดอีกเลย(นี่แหละค่ะ คือความลังเลที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร แต่บอกได้เพียงว่า บางอย่างอาจเกิดขึ้นเพราะชะตากรรม แต่การพลิกผันก็อาจทำได้ ถ้าเรารู้ว่าเบื้องหลังของมันคืออะไร) วันนี้ ฉันเชื่อมั่นว่าขาข้างหักของฉันกลับมาทำงานได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องฝืนทน ไม่ต้องพยายามก้าวเดิน เพราะพละกำลังที่เต็มเปี่ยมของมันได้กลับคืนมาแล้วคุณอาจคิดว่า เป็นเพราะฉันคิดไปเอง แบบใช้หลักจิตวิทยารักษาตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรเหมือนกันแต่อยากบอกกับคนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ทรมานตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า “ชะตากรรมพลิกผันได้ ด้วยตัวของคุณเอง”ทุกวันนี้ ฉันกลับมาทำงานหนักในสวน (หนักจริงๆ ยืนยัน) และยังแบกเป้เดินทางไกลใบโตๆ ได้เท่าเก่า ขับรถได้ไกลๆ โดยไม่ปวดขาตอนกลางคืน ยังเหลือแต่การกลับไปเดินทางไกลรอบหิมาลัยอีกหน เพื่อพิสูจน์ว่า ฉันคือคนปกติจริงๆ ยิ่งกว่าครั้งนั้น ที่เคยลากขาข้างพิการปีนป่ายรอบอันนาปุระนะ แหงนดูยอดเขามัจฉาปูฉะเรอยู่ เกือบสิบวัน ทั้งที่ต้องทรมานกายเพื่อความสบายใจ เพราะคิดว่าไหนๆ ก็จะเดินไม่ได้แล้ว ขอเดินเท้าบนเส้นทางศักดิ์สิทธิ์เสียให้คุ้ม  นั่นคือการเดินทางเท้าที่ไกลที่สุดเมื่อราวๆ 8 ปีก่อน คาดไม่ถึงว่าวันนี้ ฉันจะยังเดินได้อย่างปกติกว่า 20 ปี....จากความสิ้นหวังท้อแท้ กลายมาเป็นพลัง ให้ดิ้นรนหาทางออก จนฉันพบว่า“เสี้ยววินาทีที่โชคร้าย อาจกลายเป็นเสี้ยววินาทีที่โชคดีได้ หากเรียนรู้ที่จะเป็น”ก้าวเดินที่เหลืออยู่ ฉันจึงรำลึกเสมอว่า มันคือกำไรชีวิต ที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า
ภู เชียงดาว
ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม มีฟืนใกล้เตาไฟ แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก. ‘เรียวกัน’ ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุดมาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า ต่อไปต้องพยายามลดภาระบางสิ่ง ทิ้งความฟุ่มเฟือยบางอย่างให้มากที่สุดเช้านี้ก็เช่นกัน, หลังตื่นนอน ผมเดินไปในสวน เก็บกิ่งลำไยแห้งที่ถูกลิดทิ้งกองไว้ใต้ต้น มาทำเป็นฟืนก่อไฟในเตาหลังบ้าน หุงข้าว เดินไปเก็บยอดตำลึงริมรั้ว เก็บฝักถั่ว บิดขั้วลูกฟักทองหนุ่มมาผ่าซีก หั่นเป็นท่อน โยนลงหม้อตั้งไฟกำลังเดือดพล่าน ใส่เกลือ เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อเช้าแล้วในความเรียบง่าย ผมมองเห็นความงาม และในความงามนั้นผมมองเห็นดอกผล สวนของผมในเดือนพฤศจิกายน ผักผลไม้กำลังผลิบานเริงร่าราวกับว่ากำลังแข่งกันประชันโฉม มะเฟืองออกดอกสีชมพูอมขาว พร้อมลูกเล็กๆ ดกพราวไปทั่วกิ่งก้าน ฟักทองลูกยักษ์นอนนิ่งสงบอยู่ใกล้ต้นขนุน มะละกอลูกใหญ่ยาวกำลังแก่งอมคาต้น และทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน ดอกถั่วแป๋เหลืองนวลผลิบานสะพรั่งอวดสีสันกันเต็มไปหมด ส่วนใบสดเขียวก็ลามเลื้อยพันเป็นเถาเครือขึ้นคลุมสวน คลุมดิน คลุมหญ้าในขณะที่ฝักอ่อนกำลังยืดตัวชูแถวอยู่อย่างนั้นใช่, อีกไม่นาน ถั่วแป๋ก็จะกลายฝักแก่ ผมนึกถึงภาพในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เดินก้มเก็บมาพอกำมือใช้ตอกมัดเป็นกำๆ ต้มหรือนึ่งกินเป็นของว่างในคืนหนาว ครั้นรออีกเดือนสองเดือนฝักถั่วก็คงแก่แห้ง ชาวลาหู่ที่มาขออาศัยพื้นที่สวนของผมปลูก ก็คงจะมาเก็บ นวด ตี เป็นเมล็ด เทใส่กระสอบไปขายให้พ่อค้าที่มารับซื้อถึงหมู่บ้าน ส่วนผมก็ได้เปลือก ต้นถั่วที่กลายเป็นปุ๋ยให้ดินในสวน คืนความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผมยังคงมองเห็นวิถีความเบิกบานไปทั่วสวน นั่น,เล้าหมูที่ก่อนเคยตั้งอยู่ตรงหน้าบ้านปีกไม้หายไป กลายเป็นเล้าไก่แทน พ่อของผมในวัยเจ็ดสิบกว่ายังคงมีความสุข อยู่กับความเรียบง่าย ขุดหลุม ลงเสา ทำเล้าไก่เอง พ่อกำลังเลี้ยงไก่แจ้ ไก่พื้นเมืองที่กำลังออกลูกกว่าสามสิบตัว และทุกเช้าตรู่,ผมยินเสียงไก่ขันเหมือนต้องการปลุกสรรพชีวิตและโลกให้ตื่นฟื้น พอตะวันไล่หมอกจางหายไปแล้ว เจ้าเหมียวกับลูกแมวสี่ตัวที่ผมพามันย้ายจากเมืองมาอยู่ในบ้านสวน ต่างก็พากันออกมานอนอาบแดด บ้างปีนต้นไม้ ไต่หลังคากันอย่างสนุกสนาน ผมจ้องดูครอบครัวของเจ้าแมวเหมียวแล้ว รู้ได้เลยว่า พวกมันสนุกและชอบพื้นที่ตรงนี้มากกว่า เพราะเห็นนอนเกลือกกลิ้ง วิ่ง กระโจนขึ้นต้นไม้ ไต่หลังคา ซุกหมอบซ่อนในดงถั่ว ขี้ถ่ายและกลบในกองทรายหลังบ้าน“บางที ไม่ว่าสัตว์หรือคนเราล้วนก็ต่างอยากมีพื้นที่ของตัวเอง อยากมีชีวิตที่เรียบง่ายและอิสระเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่าใครและใครจะมองเห็นและค้นพบก่อนใครเท่านั้น...” ผมบอกกับตัวเองครั้นทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง ชาวนาชาวสวนกำลังทยอยกันไต่ไปตามคันนาริมลำเหมือง ไปสู่ท้องทุ่งที่แสงแดดส่องเป็นสีเหลืองทองดูงดงาม เป็นการเริ่มต้นการงานของวันใหม่ในสวนบนเนินเขาของผมยังคงปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ยังคงเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เหมือนกับที่ใครคนหนึ่งบอกไว้ว่า...งานทำสวนไม่เคยจบสิ้น มีแต่เริ่มขึ้นและต่อเนื่องไปปีแล้วปีเล่า...มาถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่ามีใครคิดและรู้สึกเหมือนกับผมบ้างมั้ย ว่า ‘สวนทำให้ชีวิตคนเราเปลี่ยนได้’ เหมือนกับที่ใครหลายคนบอกไว้ ในนิตยสาร Home and Décor นานมาแล้ว...ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน บอกว่า ‘สวน สามารถเยียวยาความเจ็บปวดใดๆ ให้ฉันได้เสมอ’Mushih-ud-Din บอกว่า ‘สวนให้ความสดใสกับดวงตา และให้ความเบิกบานกับจิตวิญญาณ’ ผมเห็นด้วยกับแนวคิดเหล่านี้.
แพร จารุ
ขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องเล่าที่ไม่มีสาระอะไรเลย เล่าเรื่องนี้ เพราะวันพิเศษเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ถือว่า เป็นการผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์เลยทีเดียวฉันจะเรียกเขาว่า แขกพิเศษ เพราะเป็นการมาเยือนแบบไม่คาดคิดมาก่อน และต่างมาในวันเดียวกันด้วย อีกทั้งไม่ได้นัดหมายมาล่วงหน้า ต่างมาแบบตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น แขกคนที่หนึ่ง เขาเดินทางมาด้วยรถมอเตอร์ไชค์ มาถึงก่อนที่เจ้าของบ้านจะทันตื่น ได้ยินเขาส่งเสียงตะคอก เจ้าสองตัวแม่ลูก ที่ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน มันเห่าเสียงแหลมเล็กตามแบบของหมาเล็ก และยังเยาว์ ฉันว่าคนเลี้ยงหมาทุกคนไม่ชอบให้ใครตะคอกหมา และยินดีที่มีคนรักหมาของตัวเอง เพราะหมาของตัวเองล้วนน่ารักเป็นที่สุด ไม่ว่ามันจะทำตัวน่าเกลียดอย่างไรก็ตามเจ้าของบ้านลุกขึ้นไปต้อนรับแขก และบอกว่า มันเห่าไปอย่างนั้นแหละ และหันไปปรามเจ้าสองตัวให้หยุด“เอากีตาร์มาคืน”เขาว่าแล้วพูดต่อว่า จะรีบกลับเพื่อไปซื้อกีตาร์มาไว้ที่บ้านสักอันแล้วเขาก็ออกจากบ้านไป อย่างง่าย ๆ ฉันรู้ภายหลังว่า เขามายืมไปเมื่อวาน และเขาไม่ใช่นักดนตรี แต่เป็นนักเสี่ยงโชคคนหนึ่ง และพบว่าตัวเองชอบเล่นดนตรี ชอบกีตาร์ขึ้นมากำลังหาบ้านค่ะ เผื่อใครจะรับอุปการะแขกคนที่หนึ่งกลับไปแล้ว สองชั่วโมงต่อมาแขกคนที่สองก็เดินทางมาถึง เขามาพร้อมกับเหล้าภูมิปัญญาใส่ถุงมา เขามีมารยาทพอที่จะแขวนถุงเหล้าไว้ที่กิ่งไม้หน้าบ้าน ก่อนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ เจ้าของบ้านกำลังเขียนต้นฉบับให้ประชาไทดอดคอม เขาบอกผู้มาเยือนว่า กำลังรีบทำงาน และส่งกล่องยาเส้นให้เขาเอายาเส้นไปม้วนแต่ไม่จุดสูบ นั่งโยกตัวเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า อยากหาหนังสืออ่านสักสองสามเล่ม เจ้าของบ้านลุกขึ้นไปหยิบหนังสือให้สามเล่ม ฉันไม่รู้ว่าหนังสืออะไรบ้าง เขาลุกขึ้นเดินไปอย่างเงียบ ๆ คนนี้ไปมาแบบเงียบมาก เขามาปรากฏครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันรู้มาว่า เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เมื่อก่อนเคยเป็นหนุ่มหล่อเนียบ ต่อมาถูกรถสิบล้อชน และออกจากงาน ไม่แน่ขัดว่าเขาลาออกเองเพราะทำงานไม่ได้หรือถูกให้ออก มาดหนุ่มหล่อแบบพนักงานธนาคารยังหลงเหลืออยู่ วันหนึ่งเขาบอกฉันว่า เขาสามารถซ่อมเครื่องใช้ฟ้าได้ ฉันจึงเอาเครื่องเล่นซีดีให้เขาซ่อม ปรากฏว่า เขารื้อออกมาแล้ว และบอกฉันว่า เครื่องที่ฉันซื้อมาเมื่อเดือนก่อน เป็นเครื่องเก่า มันถูกซ่อมมาแล้วครั้งหนึ่งและชี้ให้ฉันดูร่องรอยที่บอกว่า มันถูกเปลี่ยน ฉันถูกคนขายหลอก เขาบอกฉันอย่างนั้น ตกลงว่าฉันถูกหลอกสองครั้ง ครั้งแรกถูกหลอกให้ซื้อเครื่องเล่นซีดีเก่า ครั้งที่สองถูกหลอกว่าซ่อมเป็น เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาไม่เคยพูดเรื่องซีดีของฉันอีกเลย ผ่านไปสองคนก็ยังธรรมดาอยู่ แม่แห่งปีครับ สวัสดีครับ เชิญครับ เสียงเจ้าของบ้านทักทายพร้อมกับรีบเข้าไปในบ้าน เพื่อเปลี่ยนจากผ้าขาวม้าเป็นกางเกงขาสั้น เพราะคราวนี้เป็นหญิงสาวสองคน ฉันนั่งพิมพ์ดีดอยู่ข้างหน้าต่าง หันไปมอง เธอทั้งสองเป็นแขกแปลกหน้า คนหนึ่งผอมบางอีกคนหนึ่งสูงใหญ่ เธอเริ่มต้นด้วยการทักทายฉันว่า กำลังทำงานอยู่หรือค่ะ“ค่ะ” ฉันตอบเธอก็ฉันกำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่ จะกินข้าวได้อย่างไร “เป็นลีซอหรือค่ะ”เสียงเธอยินดีนักเอาเข้าไป ตัวดำเมี่ยงแบบซาไกจากถิ่นใต้ หน้าตาแขกอินเดียออกอย่างนี้เป็นลีซอได้อย่างไรกัน ลีซอมันต้องขาวสวยออกไปทางจีน“ไม่ใช่ค่ะ”“เห็นมีกระเป๋าลีซอแขวนอยู่” เธอว่าฉันบอกเธอว่า ฉันมีเพื่อนเป็นลีซอหลายคน และเคยไปบ้านเขาด้วย ที่แม่อาย และที่เปียงหลวงเธอบอกฉันว่าเธอเป็นลีซออยู่ที่เชียงดาว แม่ยังอยู่ที่นั่น แต่เธอมาอยู่หางดง บรรยากาศการพูดคุยเริ่มราบรื่น เจ้าของบ้านชายแต่งตัวสุภาพออกมาแล้ว เชิญเธอทั้งสองนั่ง เธอคนที่เป็นลีซอ เริ่มด้วยการบอกว่า เธอนำเรื่องราวใหม่มาสู่ครอบครัวของเรา พร้อมกับส่งหนังสือเล่มบาง ๆให้เขา ปกหนังสือเขียนว่า หอสังเกตการณ์ ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา หน้าปกหนังสือสวยทีเดียว เป็นรูปหญิงสาวนั่งจับปากกาและเด็กหญิงหน้าตาสดใส“อยู่หางดงทั้งคู่หรือครับ” เขาชวนคุยหญิงสาวอีกคนหนึ่งทำเสียงอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะพูดอะไรออกมาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ได้ยินคำว่า ญี่ปุ่น เขาเตรียมน้ำให้เธอทั้งสอง สาวญี่ปุ่นคงจะหิวเธอดื่มน้ำหมด และบอกว่าอร่อย เธอคงคิดว่า ถ้ากินอะไรเข้าไปต้องบอกว่าอร่อยหมดแต่อีกคนบอกว่า ดื่มมาแล้ว และพูดเรื่องของเธอ พูดเรื่องพระยะโฮวา ฉันจับความได้ว่า ท่านเป็นบิดาของพระเยซู ฟังดูคล้าย ๆกับว่า เราต่างเป็นคนบาปและท่านจะช่วยเราได้และถามว่า ชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า เจ้าของบ้านตอบว่า ชอบอ่านครับ ผมทำงานเขียนครับ ต้องอ่านอยู่แล้วครับ เธอตอบว่า ดีค่ะเจ้าของบ้านตอบกลับว่า ครับดีครับ ผมสนใจครับ ทั้งผู้มาเผยแพร่ศาสนาและคนรับสารต่างคุยไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเขารู้เรื่องราวของศาสนาและลัทธิต่าง ๆ อย่างมากมายจากการอ่าน แต่ในส่วนปฏิบัติเช่นเข้าโปสถ์ เข้าวัด หรือพิธีกรรมอะไรไม่เคยเห็นทำเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนหนังสือหรือว่าเพื่อตอบแทนเขาจึงหยิบหนังสือ วัยรุ่นไม่วุ่นอย่างที่คิด Right to know ของเอดส์เน็ท ที่ตัวเองทำส่งให้และบอกว่า นี่เป็นหนังสือของเราขอมอบให้ เป็นหนังสือเรื่องเอดส์เรื่องเพศหญิงสาวบอกว่า เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะเราเชื่อในพระองค์ และบอกว่า ที่เกิดปัญหานี้เพราะมีการทำผิด และเธอพูดเรื่องความผิดพลาดของมนุษย์อีกพักหนึ่งจึงลากลับหลังจากเธอไปแล้วฉันได้ยินเสียงเจ้าของบ้านถอยหายใจ ฉันบอกเขาว่า ผู้พูดมีมากผู้ฟังมีน้อย การเป็นผู้ฟังที่ดียากนะ เอ้อ...วันนี้เรามีแขกแปลก ๆ มาเยี่ยมบ้าน มีสามแบบแล้ว เราพูดกันยังไม่ทันจบ แขกชุดใหม่ก็เข้ามา เขามากับรถสีบรอนซ์ เป็นตำรวจฉันมักตกใจที่เห็นตำรวจ ไม่คุ้นเคยกับตำรวจเพราะในวัยเด็ก ถูกหลอกว่า อย่างร้องไห้อย่าเรื่องมาก ตำรวจจะจับ เราถูกหลอกให้กลัวตำรวจมาตั้งแต่เด็ก “ว้าย ตำรวจมาทำไม” ฉันกลัวตำรวจทั้งที่ในชีวิตฉันไม่เคยทำอะไรผิดให้ตำรวจจับได้เลย นอกจากขับมอเตอร์ไซค์ไม่มีใบขับขี่ออกมาซื้อบะหมี่ที่หน้าซอย แล้วถูกจับปรับ เป็นเรื่องขำเพราะฉันขับได้ไม่เกินหน้าซอย แต่มันถึงคราวซวย เจอตำรวจจราจรพอดีตำรวจมาเยี่ยมน้องชาย เออ...ลืมไปว่ามีน้องชายของเขาที่เป็นตำรวจมาป่วยอยู่ที่บ้านคนหนึ่ง วันนี้เรามีแขกครบถ้วนแล้ว ทั้งนักเสี่ยงโชค นักดื่ม นักบุญ และตำรวจ ชีวิตของวันนี้คงจะครบแล้ว ยามบ่าย ฉันได้รับโทรศัพท์จากนักเขียนรุ่นน้อง เธอบอกว่าจะมาเยี่ยมเรา เธอเป็นคนที่ฉันอยากเจอมากแต่ต้องปฏิเสธเธอไปเพราะวันนี้เราผจญภัยในดินแดนที่รื่นรมย์พอแล้ว ถ้าเจอนักเขียนอีกคนท่าจะไม่ไหวแล้ว เพราะตั้งใจจะดูพรรคศิลปินแถลงนโยบายในช่วงเย็นทางโทรทัศน์ด้วย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คนที่ผ่านโลกและชีวิตมาอย่างโชกโชนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เป็นคนที่เข้าใจมนุษย์ พวกเขามักจะมีคำตอบที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง ชนิดที่เราฟังแล้ว...บางทีถึงกับสะอึก และต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต เพราะมันเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจวันหนึ่งนานมาแล้วผมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเข้าเมือง ไปส่งคุณแพรจารุ พูดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะคุณแพรและอาจารย์เลี่ยงไปคุยกันอีกมุมหนึ่งในห้องรับแขก ผมก็นั่งดูหนังจาก ยูบีซี ที่ท่านอาจารย์เปิดค้างไว้  รู้สึกว่าจะเป็นหนังจากยุโรป เรื่องอะไร ใครเป็นคนแสดง ผมก็ไม่รู้และไม่ค่อยสนใจ เพราะดูเหมือนหนังจะฉายเกือบครึ่งค่อนเรื่องแล้ว ตอนแรกผมก็นั่งๆ ดูแบบฆ่าเวลา และจับต้นชนปลายไม่ถูกไปยังงั้น ๆแต่พอผ่านมาถึงฉากหนึ่ง ก็มีเรื่องทำให้ผมเกิดความสนใจขึ้นมา ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด นั่นคือฉากที่มีหญิงสาวคนหนึ่ง ตั้งคำถามกับหญิงวัยกลางคนท่าทางจัดเจนโลกคนหนึ่ง  ซึ่งเธอมีท่าทีเคารพและนับถือว่า เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไม ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเธอคนหนึ่ง จึงอดทนมีชีวิตคู่อยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคอยแต่จะทุบตีและรีดไถเงินไปเล่นการพนันและกินเหล้า ผู้ถูกถามหัวเราะอย่างขบขัน ราวกับว่าคำถามนี้ช่างเป็นคำถามของคนที่ไร้เดียงสาต่อชีวิตเหลือเกิน ก่อนจะตอบคำถามนี้ว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก หนูอย่าไปคิดอะไรเอาเองแทนคนอื่นเขา มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องอดทนอะไรหรอก  หนูไม่รู้จริงๆ หรือ ผู้หญิงบางคนเขาก็ชอบผู้ชายเลว ๆ และทำเลว ๆ กับเขาอย่างนี้แหละ เขาจึงจะพอใจและอยู่ด้วยกันได้ยังไงล่ะ”ครับ ผมดูหนังเรื่องนี้ยังไม่ทันจบ ก็ต้องรีบไปทำธุระ แต่ก็รู้สึกอิ่มใจเหลือเกิน ถึงแม้จะได้ดูหนังเรื่องนี้กุด ๆ สั้น ๆ และรู้เรื่องเพียงแค่นี้ แต่เรื่องเพียงแค่นี้ก็ทุบหัวผม ทำให้ผมได้คิดกับตัวเองว่า การมองดูโลกโดยการผ่านกรอบทางจริยธรรมหรือกรอบความรู้ใด ๆ ก็แล้วแต่ กับการมองโลกด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าและตรงไปตรงมา ความเข้าใจในภาพที่มองเห็นมันต่างกัน และประการหลังแลดูน่าเชื่อถือ และตรงกับความเป็นจริงมากกว่าโดยเฉพาะเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัวของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน เราแทบจะเอาอะไรไปแตะต้องตัดสินเขาไม่ได้เลย เพราะเขาชอบของเขาอย่างนั้นใครจะทำไม.22 พฤศจิกายน 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่** ขอบคุณภาพประกอบจากเอดส์เน็ท
แสงดาว ศรัทธามั่น
พ.ร.บ.ความมั่นคงมั่นคงของใคร?ของเผด็จการทหาร ?ของเผด็จการรัฐสภาจอมปลอมของเผด็จการข้าราชการศักดินาฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา  สัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ปกติ“ข้างหน้ามีด่านตรวจ” พะเลอโดะพูดสั้นเพียงนั้น  อย่างกับได้กลิ่นอันตรายบางอย่าง แล้วส่องไฟฉายจัดสิ่งของในรถเสียใหม่  มะพร้าวงอกหน่อสูงเท่าข้อศอก  หน่อกล้วย ถุงข้าว  ถุงเกลือ  หม้อสนาม เปล  ถุงนอน จอบเสียม  มีดทำสวน  ต้นไม้ในถุงเพาะชำอีกจำนวนหนึ่ง   ทำให้ดูประหนึ่งเป็นรถคนสวนแถบนี้“พะตี  เขาถามให้บอกว่าไปโข่โละโกร”  พะเลอโดะหันไปพูดกับลุงเวยซา  ผมได้ยินลุงเวยซาพูด เหม่ เหม่ รับคำอยู่ในความมืด “พวกโง่ทั้งนั้น  ยังเฝ้ายามกันอยู่”  พะเลโดะพูดไปหัวเราะไป  ผมเห็นความเด็ดขาด  การตัดสินใจฉับพลัน  และท่าทีไม่กลัวใครในเวลาสำคัญมาตลอด  เหมือนเขาเคลื่อนไหวอยู่ในเขตสู้รบ  โดยไม่มีอาวุธหรือกระสุนแม้แต่นัดเดียวรถถอนตัวออกจากข้างทาง  อย่างกับลุกขึ้นมาจากหลุมก้อนหิน  ไฟหน้ารถสว่างโล่ไกลออกไป  เห็นไฟฉายหลายกระบอกส่องขวางถนนอยู่แล้ว  คนในชุดพรางอาวุธสงครามโบกมือไหวๆพร้อมโบกมือ  พะเลอโดะหยุดรถ  ไม่แสดงอาการตื่นกลัวใดๆ  กลับนั่งสง่านิ่งสงบอย่างกับผู้บังคับบัญชากำลังตรวจกำลังพลแนวหน้า“ไปไหน” เสียงหนึ่งดังง้วนสั้น  ไฟฉายส่องแสงวาบเข้ามาในรถ  พะเลอโดะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือด้วยท่าทีอ่อนน้อมเจียมตน  “ไปสาละวินครับ” เสียงคำถามดังมาทางด้านประตูรถที่ผมนั่ง“มาจากไหน” เสียงนั้นดังมาจากความมืด“เชียงใหม่” ผมตอบแล้วยิ้มมุมปาก“ช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ” พะเลอโดะโยนคำถาม“ข้างในกำลังสู้รบ  มาแถบนี้กลางคืนไม่ปลอดภัย” เสียงหนึ่งดังสอดขึ้นมา“ลุงไปไหน ไปทำอะไร”“โข่โละโกร” ลุงเวยซาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นๆ  พะเลอโดะพูดแทรกขึ้นมาว่า  ลุงอยู่แม่เงาขอติดรถมาด้วย  เอาต้นไม้ข้าวของไปฝากลูกหลานไม่มีเสียงถามต่อ  แสงไฟฉายสาดไปทั่วรถ   ราวกับจะค้นหาสิ่งแปลกปลอมที่อาจแฝงตัวมากับฝุ่นในรถ   ผมเสียอีกกลับใจเต้นตึงๆตังๆ  ผมไม่รู้ว่าซอมีญอกับกะฌอไปแอบซ่อนอยู่ตรงไหนของตัวรถ  เกิดเขาค้นหาเจอ  จะมีอะไรเกิดขึ้นนับจากนี้ไป“นี่อะไร”เงียบกันชั่วอึดใจ  แสงไฟฉายสาดไปจ่อหน่อมะพร้าว“ไปได้ๆ ระวังๆ หน่อยแล้วกัน”  กลุ่มคนในชุดพรางหลีกทางให้  พะเลอโดะกล่าวขอบคุณ แสงไฟส่องไกลไปตามถนนที่คดเคี้ยวไปเรื่อยๆ
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ หรืออ้างไปก่อนขณะที่ยังไม่เปลี่ยนศาสนาเป็นอื่น น้อยคนนักที่จะรู้ความหมายว่า วิปัสสนา หมายถึงอะไร และน้อยลงไปอีกที่ต้องการจะรับรู้ประสบการณ์วิปัสสนา ทั้งที่อาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งนี้ คือหนทางแห่งปัญญา อันเป็นคำสอนสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูผู้ยิ่งใหญ่ และศาสดาของศาสนาพุทธแน่ละ ผมเองก็เป็นคนหมู่มาก ที่บอกได้ว่าเป็นชาวพุทธตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยรู้เรื่องวิปัสสนาแม้แต่น้อย จนกระทั่งได้มีโอกาสไปเข้าอบรมการวิปัสสนาที่ศูนย์ธรรมอาภา1 จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วยการสนับสนุนจากมูลนิธิที่นา พร้อมกับเพื่อนอีกสี่คนผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมปฏิบัติวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอบรมใดๆ เลย หากแต่ต้องยอมรับที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ว่าด้วยความเงียบอย่างเคร่งครัด ทั้งการไม่พูดคุยกันแม้แต่คำเดียวตลอดสิบวัน ทั้งการห้ามใช้โทรศัพท์มือถือโดยเด็ดขาด ทั้งการห้ามอ่าน-ห้ามเขียน ฯลฯ ที่ล้วนแต่สามารถทรมานกิเลสคนเมืองได้ทั้งสิ้น เพราะแต่ละคนได้ผูกติดตนเองไว้กับสังคมอย่างแน่นหนาเสียแล้ว ครอบครัว คนรัก เพื่อน ที่ทำงาน โรงเรียน ฯลฯ เวลาเกือบสองสัปดาห์สำหรับคนที่เคยชินกับการพุ่งความสนใจออกไปนอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันไม่ง่ายเลยวิปัสสนา แปลว่า ทำให้เห็นความจริง ความจริงของโลก ความจริงของชีวิต ความจริงของตัวเรา ผ่านเครื่องมือที่ง่ายที่สุดคือ ลมหายใจของเราซึ่งเป็นเครื่องหมายของชีวิต เมื่อผมหันความสนใจจากที่เคยมุ่งสู่ภายนอกให้กลับมาดูที่ลมหายใจของตัวเองผมก็ได้เห็น โลกภายในที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนสามวันแรกของการปฏิบัติ การปรับตัวให้เข้ากับตาราง การตื่นแต่เช้ามืดเพื่อนั่งสมาธิ สถานที่ใหม่ อาหารมังสวิรัติ กฎแห่งความเงียบ หลายสิ่งหลายอย่างทำให้ผมอึดอัด ฟุ้งซ่าน ห่วงงาน ห่วงครอบครัว จนอดคิดไม่ได้ว่าจะอยู่จนครบสิบวันได้หรือไม่ แต่อาจเพราะความสนใจใคร่รู้จากการฟังธรรมะบรรยายในช่วงเย็นของทุกวันที่บอกว่า ‘...การฝึกอานาปานสติ ดูลมหายใจนี้คือการลับมีดให้คมเพื่อผ่าตัดจิตใจ...’ ทำให้ผมอยากจะลองดูสักตั้งว่า ตลอดทั้งสิบวันนี้ หากผมปฏิบัติอย่างจริงจัง มันจะทำให้ผมดาวดิ้นลงไปได้หรือเปล่า ดังนั้น แม้จะร้อนรนเหลือเกินและคิดห่วงไปสารพัดอย่าง แต่ผมก็ตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ จนกระทั่งลมหายใจเริ่มละเอียดลงเรื่อยๆ และสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นจากลมหายใจที่เหนือริมฝีปากแล้วในวันที่สี่ วันที่ได้เริ่มฝึกวิปัสสนา เมื่อเริ่มเคลื่อนสติมาจดจ่อที่กลางกระหม่อมผมก็รู้สึกได้ว่า มีดแห่งสติที่ผมเพียรลับมาตลอดสามวันนั้น มันช่างคมกริบเหลือเกิน มันผ่าเอาเวทนาผมผุดพลุ่งออกมาราวกับน้ำพุ หนังหัวของผมเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ใบหน้าเหมือนมีตัวอะไรวิ่งอยู่ใต้ผิวหนัง ไหล่ขวาหนักราวกับหินทับ กล้ามเนื้อตามร่างกายกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ บางครั้งก็ร้อนผ่าวไปทั้งตัว บางครั้งก็รู้สึกเบาเหมือนจะลอยได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุปาทาน แต่เกิดขึ้นจริงๆ ประจักษ์ด้วยตนเองจริงๆ แม้แต่ความเจ็บปวดตามร่างกายอันเกิดจากการนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ผมก็ได้เห็นด้วยตนเองว่ามันเกิดขึ้นเฉพาะขณะเข้าวิปัสสนา มันปวดเหมือนกับจะทนไม่ได้ แต่มันก็หายไปแทบจะทันทีที่ออกจากสมาธิ หรือนี่จะเป็นอาการที่เรียกว่า กิเลสกำลังถูกเผา...?ผมฝันร้ายในคืนที่สี่นั้น เป็นฝันร้ายที่มาเป็นชุดๆ มากเสียจนจำรายละเอียดและจำนวนเรื่องที่ฝันไม่ได้ รู้แต่ว่ามันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผมไม่เคยรู้เลยว่า ในหัวสมองของผมจะมีจินตนาการที่เลวร้ายซ่อนเร้นอยู่มากมายขนาดนี้ ผมสะดุ้งตื่นหลายครั้งและรู้สึกว่าตัวเองหายใจเบาและเร็วมาก ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย เช้าวันนั้น ธรรมบริกร ผู้คอยดูแลผู้เข้าอบรม มาบอกผมว่า เมื่อคืนผมนอนกรนเสียงดัง เขาไปเคาะประตูห้องแล้วแต่ผมไม่ตื่น ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้หลับลึกไปขนาดไหน หรือนอนหลับไม่สนิทขนาดไหนในวันต่อๆ มา ผมรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างที่ดำมืดในตัวค่อยๆ ถูกชำระล้างออกไป ผมเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ความฟุ้งซ่านในใจเหมือนถูกกวนจนฟุ้งกระจายไปทั่วแล้วจางหายไปเรื่อยๆ ความขุ่นเคืองที่หมักหมมคล้ายตะกอนนอนก้นอยู่ ค่อยๆ ถูกระบายออกไปจนเกือบหมด ธรรมบรรยายได้ย้ำเตือนอยู่หลายครั้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎบนร่างกายล้วนเป็นผลมาจากการหลุดร่อนของสังขารที่ทับถมกันอยู่ภายในมาตลอดชีวิต ตามหลักที่ว่า เมื่อหยุดการปรุงแต่ง การปรุงแต่ง(สังขาร)เดิมก็หลุดร่อนออกมา แล้วผลแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสนานาประการในใจ ก็ผุดโผล่ออกมาบนผิวกาย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งอาการที่น่าพอใจ ทั้งอาการที่ไม่น่าพอใจ ไม่มีอะไรคงทนสักอย่าง แม้แต่ความเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวมันก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นจากการปฏิบัติติดต่อกันหลายวัน ผมพบว่าร่างกายกับจิตใจมันสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกจริงๆ ขณะที่จิตใจปั่นป่วนร่างกายก็ปั่นป่วน มันต่อต้านการหยุดนิ่ง มันเคยชินกับการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มันต่อสู้เพื่อจะสร้าง เพื่อจะปรุงแต่งต่อทุกความรู้สึกทางกายทางใจ แล้วเมื่อจิตใจสงบร่างกายก็สงบลงไปพร้อมๆ กันถึงวันที่แปด ผมนั่งวิปัสสนาติดต่อกันได้นานกว่าสองชั่วโมง แม้อาการเมื่อยล้า เจ็บปวดขาจะยังมีอยู่ แต่ผมรู้ว่ามันจะหายไปในเวลาไม่นาน มันมาแล้วมันก็ไป เช่นเดียวกับความฟุ้งซ่านของจิตที่ยังกระโดดไปมาระหว่างอดีตกับอนาคต มันก็ยังเป็นของมันอยู่ แต่ผมก็รู้แล้วว่า เมื่อมันมาเดี๋ยวมันก็ต้องไป แค่ตามดู รู้ทัน วางเฉยเสียมันก็ไม่อาจไปไหนได้ไกลหลังสิบโมงเช้าของวันสุดท้าย ทุกคนได้รับอนุญาตให้พูดคุยกันได้ ใช้โทรศัพท์ได้ ซึ่งธรรมบรรยายอธิบายว่านี่คือวิธีสมานแผล หลังจากการผ่าตัดจิตใจแล้ว ผมคิดว่า วิธีนี้จะมีประโยชน์มากจริงๆ ในกรณีที่เราไปกันเป็นกลุ่ม เพราะเมื่อเราสามารถพูดคุยกันได้ เราก็ย่อมจะเปิดใจพูดคุยกันได้มากกว่าคนที่มาลำพัง (แต่นี่ก็อาจเป็นข้อเสียเพราะมันอาจทำให้เราอดคุยกันไม่ได้ระหว่างที่รักษาความเงียบ) ดังนั้น ในช่วงพัก ชายหนุ่มทั้งห้าจากมูลนิธิที่นา จึงตั้งหน้าตั้งตาคุยกันชนิดไม่สนใจคนอื่น เมื่อถึงวันที่ต้องกล่าวอำลา สิบวันที่ยาวนานเหมือนสิบสัปดาห์ในตอนแรก กลับดูสั้นกว่าเดิม ประสบการณ์ตลอดสิบวันแห่งการสำรวจจิตตัวเอง อาจมากพอที่จะเขียนบรรยายเป็นหนังสือได้หลายเล่ม แต่สิ่งที่ทรงคุณค่าที่แท้จริงนั้นกลับยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวอักษร อาจเพราะมันไม่ต้องการคำอธิบาย หรืออาจเพราะไม่มีคำอธิบายใดจะบอกได้อย่างครบถ้วน ผมรู้เพียงว่า ผลลัพธ์ของมันช่างมหัศจรรย์ หลายสิ่งหลายอย่างในตัวผมเปลี่ยนแปลงไป ผมรู้สึกถึงการ ‘เลือก’ อย่างมีสติมากขึ้น เข้าใจมากกว่าเพียงแค่พูดว่า อนิจจัง-ทุกข์ขัง-อนัตตา อย่างที่เคยได้ยินมาตลอดชีวิต‘…ภูเขาก็เป็นภูเขา. น้ำก็เป็นน้ำ. บรรพชิตก็เป็นบรรพชิต.ชาวบ้านก็เป็นชาวบ้าน.แต่ว่าภูเขาเหล่านี้ แม่น้ำเหล่านี้ โลกเองทั้งหมด พร้อมทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลาย, ทั้งหมดนั้นไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่ตั้งอยู่ภายนอกจิตของเธอ! สากลโลกธาตุอันไพศาล ก็ตั้งอยู่แต่ภายในใจเธอเท่านั้น,เมื่อเป็นดังนั้น จะมีที่อื่นที่ไหนอีกเล่า ที่จะหาพบสิ่งต่างๆ ที่มีปรากฎการณ์นานาชนิด. ภายนอกของจิตไม่มีอะไรเลย. ...’2ธาตุดั้งเดิมของมนุษย์ ก็ไม่ต่างจากธาตุดั้งเดิมที่ประกอบอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูป และเป็นนาม หากเข้าใจปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเรา ก็ย่อมจะเข้าใจปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนอกตัวเรา หากประจักษ์ถึงสัจจะในตัวเรา ก็ย่อมประจักษ์ถึงสัจจะนอกตัวเรา เมื่อเห็นความจริงของสรรพสิ่ง อัตตาก็ถูกสลายไปเรื่อยๆ มนุษย์แต่ละคนย่อมสามารถเข้าถึงความจริงที่เขาพร้อมจะรับ แต่หากปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงก็เท่ากับขีดวงล้อมให้ตัวเองแคบเข้าไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็รุมล้อมมาจากทุกด้าน คล้ายกับว่า เมื่อต่อต้านมัน มันจึงคงอยู่ แต่เมื่อมองดูมันกลับสลายไปสิบวันแห่งการสำรวจจิตใจตนเอง คือประสบการณ์ล้ำค่าที่เราทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตหรือชาวนา ‘ธรรม’ นั้นย่อมเป็นของกลางสำหรับทุกคน นับแต่ขจัดทุกข์ กำจัดกิเลศ ไปจนถึงพบกับความจริงสูงสุด แต่ที่ไม่มีใครต้องการจะไป อาจเป็นเพราะกิเลสมันได้ยึดครองจิตใจไปเสียหมดแล้ว และมันกลัวที่จะต้องถูกกำจัดจึงหลีกเลี่ยงทุกวิถีทางที่จะไป เราได้ปล่อยให้กิเลสมันเป็นนายเหนือเรามาตลอด สุตตะมยปัญญา ได้จากการฟัง การอ่าน การรับรู้ทุกชนิด จินตามยปัญญา ได้จากการคิดใคร่ครวญ และ ภาวนามยปัญญา ได้จากประสบการณ์ จึงมีคำพูดที่ว่า อ่านหนังสือพันเล่ม ไม่เท่าออกเดินทางไกล การประจักษ์แจ้งในตน ย่อมไม่อาจได้จากการอ่านหรือการคิดเอาเอง หากแต่ต้องปฏิบัติให้รู้เห็นด้วยตนเองเท่านั้น การวิปัสสนานั้น แม้จะอ่านหนังสือสักเท่าไร ก็ไร้ประโยชน์หากไม่ได้ผ่านประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง ภาวะของการเป็น ที่ได้รับจากประสบการณ์เท่านั้น ที่จะทำให้แต่ละคนได้ประจักษ์ และซาบซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต รู้สึกอยากจะขอบคุณทุกๆ คน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้นำพาให้ตนเองได้มาถึงจุดนี้ เหตุผลที่เราทุกคนควรจะมีโอกาสไปวิปัสสนาสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น อาจกล่าวได้มากมาย แต่ถึงที่สุดแล้วอาจมีแค่ข้อเดียวเพราะภาวะแห่งการ ‘เป็น’ นี้เท่านั้น ที่จะทำให้เรา ‘เป็น’ ยิ่งๆ ขึ้นไปอีกและเมื่อเราได้รู้จักตนเองแล้ว เราจึงพร้อมจะช่วยให้ผู้อื่นได้รู้จักตนเองด้วย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากที่ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาได้จากไป เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544 ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเต็ม ๆ ผมคิดว่านอกจากบทเพลงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามากมายหลายชุด ที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่ทำให้เราคิดถึงถึงเขา ยามได้ยินบทเพลงของเขา ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ยังมีสถานที่และผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของเขา บางสถานที่บางบุคคล ที่ทำให้เราคิดถึงเขา ยามได้ไปเยือนสถานที่แห่งนั้น และได้พบใครบางคนดังกล่าว เช่นร้านอาหาร สายหมอกกับดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่ 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มีใครต่อใครมากมายหลายคนบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า ยามได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้แล้ว ทำให้คิดถึง คุณจรัล มโนเพ็ชร เหลือเกินซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลก เพราะ สายหมอกกับดอกไม้ เป็นร้านอาหารที่คุณอันยา โพธิวัฒน์ คนรักของคุณจรัล ได้ร่วมมือร่วมใจกับคุณจรัลสร้างร้านนี้ขึ้นมาและเริ่มเปิดบริการอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 โดยมีเจตนาทำร้านที่มีลักษณะเป็นสวนอาหารขนาดย่อมนี้ เป็นที่ต้อนรับญาติสนิทมิตรสหาย ต่อมาเมื่อคุณจรัล มโนเพ็ชร ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะโยกย้ายจากกรุงเทพฯกลับคืนมาอยู่บ้านเกิด ได้บินจากกรุงเทพฯมาเล่นดนตรีประจำร้านนี้อาทิตย์ละ 2-3 วัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2543จนกระทั่งจากไปด้วยโรคปัจจุบัน ขณะกำลังเตรียมงานคอนเสิร์ต 25 ปี จรัล มโนเพ็ชร ที่บ้านดวงดอกไม้ ทุ่งหลวง จังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2544ร้านสายหมอกกับดอกไม้ จึงกลายเป็นสถานที่และผู้คนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่จากล้านนาที่จากไป นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาแน่ล่ะ หลังจากวันที่คุณจรัลจากไป ถึงแม้ว่าผู้คนจะค่อย ๆบางตาลง แต่คนที่รักและคิดถึงคุณจรัล ก็ยังคงมาเยี่ยมเยือนร้านนี้กันอยู่เสมอ ซึ่งก็ตรงกับใจของคุณอันยาเจ้าของร้าน ที่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยกับการรับแขกมากเกินไป เหมือนสมัยที่คุณจรัลยังมีชีวิตอยู่และมาเล่นดนตรีประจำที่ร้านนี้วันนี้ถ้าคุณย่างก้าวเข้าไปในบริเวณร้านสายหมอกกับดอกไม้ สิ่งแรกที่จะสะดุดตาคุณก็คือรูปปั้นครึ่งตัวของ คุณจรัล ฝีมือของคุณหงส์จร เสน่ห์งามเมือง ที่ตั้งอยู่บนแท่นสูงประมาณเมตรครึ่ง ใกล้ ๆ กับประตูทางเข้าร้านทางด้านขวามือและเมื่อเดินเข้าไปในร้านที่คุณจรัลออกแบบเป็นอาคารไม้หลังคาหน้าจั่วเชิงซ้อนแบบล้านนาประยุกต์ คุณก็จะพบภาพถ่ายของคุณจรัลในอิริยาบถต่าง ๆ ที่คุณอันยา ใส่กรอบแล้วนำมาติดไว้อย่างสวยงามตามซอกมุมต่าง ๆ ภายในร้าน เช่นเดียวกับเวทีที่คุณจรัลเคยมานั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลง ก็ถูกจัดวางเอาไว้ในที่เดิมรวมทั้งข้าวของกระจุกกระจิกส่วนตัวและเทปเพลงของคุณจรัลในตู้โชว์ และหนังสือสองเล่มที่คุณอันยา เขียนถึงคุณจรัลเอาไว้อย่างงดงาม นั่นคือรักและคิดถึง จรัล มโนเพ็ชรและตามรอยฝัน จรัล มโนเพ็ชรจึงมิใช่เรื่องที่แปลกที่ร้านอาหารสายหมอกกับดอกไม้ จะเป็นสถานที่ที่ใครต่อใครหลายคนได้เข้ามาเยือนแล้ว จะพากันคิดถึง จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินทระนงผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา โดยเฉพาะตัวผม ที่ได้ร่วมเล่นบนเวทีเล็ก ๆ ที่น่ารักและอบอุ่นร่วมกับคุณจรัล ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่สายหมอกกับดอกไม้ร้านสายหมอกกับดอกไม้ จึงเป็นสถานที่แห่งความคิดถึง จรัล มโนเพ็ชร ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะมันคือสถานที่แห่งความรักของเขา และอันยา โพธิวัฒน์ เธอผู้รู้จักตัวตนของเขาอย่างลึกซึ้ง ได้เขียนบทกวีบทหนึ่งไว้อาลัย แด่การจากไปของเขาเอาไว้ว่าดอกไม้ดอกเดียวของฉัน ดอกไม้ดอกเดียวของฉันเป็นนักกีตาร์เป็นนักร้องแสนดีเป็นนักแต่งเพลงแสนวิเศษคุณรู้ โลกก็รู้และตระหนักเขาเป็นนักกีตาร์ที่มีวิถีใช้นิ้วเป็นของตนเองสัมผัสเส้นสายบนเครื่องดนตรีที่ลี้ลับต่อการเรียนรู้มันเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มีผู้เล่นเท่านั้นจะตระหนักได้ว่าจะนำทางไปสู่ทิศทางใดในโลกลี้ลับที่เปี่ยมมนต์ขลังจากเสียงเพียงประการเดียวนี่คือสิ่งที่ฉันเรียก...ศิลปะและเมื่อใครสักคนดุ่มเดินไปในวิถีที่ลี้ลับ ซึ่งรังสรรค์ขึ้นจากตัวตนของเขาเองนั่นคือ ศิลปินดอกไม้ของฉันอยู่กับฉันมาเนิ่นนานหลายปีนำกลิ่นหอมแสนหวานจากเสียงกังวานของกีตาร์มาสู่ฉัน ทั้งกลางวัน กลางคืนตลอดฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาวฉันคงไม่อาจมอบตำแหน่งใดในโลกนี้ให้เขาได้นอกจาก...ศิลปินที่รักสุดหัวใจแด่ดอกไม้เมื่อเสียงนุ่มแผ่วจากดนตรีของเจ้าจางจากไปกังวานยังสะท้านอยู่ในความรู้สึกกลิ่นหอมของกุหลาบเหลืองแสนหวานที่โรยรายังอ้อยอิ่งอยู่ในอารมณ์ที่เร่งเร้าดอกไม้เจ้าเอย...เจ้าเป็นดอกไม้ดอกเดียวของฉันเมื่อกลีบของเจ้าร่วงหล่นทับถมลงบนดินบนฟูกของความตายเมื่อเธอจากไป ความรักจะปิดเปลือกตาลงและหลับสนิทอยู่ในนิทราเช่นเดียวกับร่างไร้ชีวิตซึ่งนิ่งสนิทอยู่ตรงหน้าฉันในห้วงนิทราของความตายเธอยังคงงดงามเช่นเดียวกับเด็กน้อยที่น่ารักด้วยน้ำตาและความเงียบ ฉันกล่าวอำลาเธอ.***อันยา โพธิวัฒน์ เขียนไว้ในหนังสือ แก้วก๊อล้านนา 13 พฤศจิกายน 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่