Skip to main content

นายยืนยง

20080611 bookgarden

ประเภท          :    วรรณกรรมแปล
จัดพิมพ์โดย      :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้า (พิมพ์ครั้งที่ 2 เมษายน 2530)
ผู้ประพันธ์     :    Bhabani Bhattacharya
ผู้แปล         :    จิตร ภูมิศักดิ์

ใครเล่าจะหลอกลวงเลือดและกระดูกของตนเองได้ตลอด?  
ถ้อยอักษรจากหน้า 424 ในอมตะนิยายเรื่อง คนขี่เสือได้กะเทาะเปลือกจิตวิญญาณมนุษย์ออกมาอย่างเข้มข้น และอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของ คนขี่เสือมาบ้าง บางคนอาจเคยอ่าน และรู้ซึ้ง แน่นอนว่านวนิยายเรื่องนี้จะยังคงอยู่ในใจผู้ที่เคยอ่านมัน เคยสนุก เคยดื่มด่ำ เคยซาบซึ้ง กับมัน แม้ว่าเราจะไม่เคยได้สัมผัสถึงรสชาติชีวิตเยี่ยง คนขี่เสือแต่เราก็จะรักมันและมอบให้เป็นหนังสือในดวงใจเล่มหนึ่ง

คนขี่เสือ เคยถูกกล่าวขานถึงในหลายแง่มุม ในนามหนึ่ง คนขี่เสือถือเป็นวรรณกรรมปฏิวัติทางชนชั้นวรรณะของอินเดียที่ทรงอิทธิพล ขณะอีกในนามหนึ่ง ก็เป็นวรรณกรรมที่สร้างขวัญกำลังใจให้ลุกขึ้นต่อสู้ ส่วนในแง่ของอรรถรสทางวรรณศิลป์นั้น นามของจิตร ภูมิศักดิ์ผู้แปล เราก็รู้จักกันดีถึงฝีมือและศักยภาพ
 
ส่วนเค้าโครงเรื่องที่แต่งตามขนบของเรื่องแต่งนั้น มีการวางเค้าโครงเรื่อง การปูพื้นฐานตัวละคร สร้างลักษณะนิสัยจำเพาะ โศกนาฏกรรม และความสะเทือนใจ แต่คุณค่าที่แท้ของวรรณกรรมหาใช่อยู่ที่องค์ประกอบโครงสร้างเท่านั้น หากอยู่ที่จิตวิญญาณของวรรณกรรม ซึ่งได้เข้าสถิตอยู่ในใจของผู้อ่าน

ขณะที่วรรณกรรมได้สัญจรลึกเข้าถึงจิตวิญญาณของเราผ่านภาษาที่สลักร้อยอย่างประณีตนั้น เราต้องยอมรับเสียก่อนว่า ภาษาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะนำพาเราไปสู่เจตนารมของผู้ประพันธ์ โดยเฉพาะวรรณกรรมแปล ยิ่งต้องผ่านปราการทางเชื้อชาติ วัฒนธรรมประเพณีส่งผ่านศิลปะการแปลอีกทอดหนึ่ง กว่าจะมาถึงเราผู้อ่าน สำนวนการแปลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ละเอียดอ่อน และควรใจใส่พิจารณาให้ถ่องแท้ ด้วยเหตุที่ว่าการเดินทางข้ามวัฒนธรรม หรือนำเอาวัฒนธรรมออกเผยแพร่สู่สายตาของวัฒนธรรมอื่นนั้น อาจจะมีเหตุผลแฝงอื่นพ่วงพันมาด้วย เราจะเห็นได้จากหนังสือแปลที่ออกสู่ตลาดการอ่านจากอเมริกาบ้าง จากอังกฤษบ้าง ญี่ปุ่นหรือเกาหลีบ้าง ซึ่งบ่อยครั้งนักวิจารณ์ได้ออกความเห็นไปทำนองที่ว่า เป็นการล่าอาณานิคมแบบใหม่ หรือเป็นการแสวงหาอำนาจซื้อใหม่ ๆ จากภายนอกประเทศ แต่กับ คนขี่เสือเราจะเข้าใจได้ว่าเป็นการแสวงหาแนวร่วมเพื่อไปสู่โลกใหม่ โลกแห่งความเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ

เป็นที่เข้าใจกันดีว่า ในอินเดียมีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน และมีกฎบังคับตายตัวยิ่งเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างวรรณะ เห็นจะไม่ต้องกล่าวซ้ำไว้ ณ ที่นี้ หากมองผิวเผินด้วยวัฒนธรรมใหม่ในเชิงที่ว่า มนุษย์มีสิทธิโดยเท่าเทียมกัน เสมอภาคกัน ชนชั้นวรรณะของอินเดียอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นการฆาตกรรมมนุษยชาติก็เป็นได้ แต่หากได้ศึกษาลึกซึ้งในหลายแง่มุม บางคนอาจมองว่าเป็นศิลปะชิ้นเอกของโลกก็ได้

คนขี่เสือ เป็นเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันของช่างตีเหล็กชนชั้นกรรมกรกับลูกสาว
กาโล พ่อช่างตีเหล็ก เป็นการ์มา (กรรมกร)เนื้อตัวดำเมื่อม ผู้กรำงานหนัก ทั้งชีวิตเขารักลูกสาวนามจันทรเลขายิ่งกว่าชีวิตเขาเอง พยายามทุกวิถีทางจะให้เลขาได้เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนบาทหลวงฝรั่ง ซึ่งมีแต่เด็กวรรณะสูงได้เข้าเรียน และเลขาก็เรียนได้ดีเลิศ ขณะที่ลูกสาวเรียน กาโลผู้พ่อก็หาเวลาว่างอ่านหนังสือของลูกด้วย เลขาเองแม้จะได้เรียนสูง แต่เธอก็ชื่นชมฝีมือการตีเหล็กของพ่อมากกว่า ในทุกความรู้สึกนั้นสองพ่อลูกมั่นคงต่อรากเหง้าของชนชั้นตัวเอง

เมื่อสงครามดึงเอายุคเข็ญเข้าสู่เบงกอล เมืองชรานาที่สองพ่อลูกอาศัยอยู่เริ่มอดอยากแร้นแค้น ไม่มีใครว่าจ้างกาโลตีเหล็ก ซ่อมหม้อน้ำ ขณะผู้อดอยากต่างมุ่งหวังอาหารและอพยพเข้าสู่กัลกัตตา กาโลเองจำยอมจากเลขา โดยฝากเธอไว้กับป้าหญิงชราของเธอ

วิกฤตของสงครามที่แผ่เชื้อโรคเป็นความหิวโหยแสบไส้ให้ระบาดเข้าสู่ลำไส้ประชาชนนับล้าน มันคร่าชีวิตผู้คนไปจากอาหารเพียงให้พอประทังลมหายใจ กาโลเองก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เขาโดยสารรถไฟสายที่บรรทุกความอดอยากไปสู่ความหวังที่จะยังชีพในกัลกัตตา ความหิวได้สั่งให้เขาขโมยกล้วยสามผล และสุดท้ายก้าวย่างแรกที่บันดาลให้เขาจำต้องก้าวขึ้นสู่หลังเสือ ที่นั่นคือ คุก สถานจองจำอิสรภาพ

ป.14 คือชื่อเรียกขานในคุกของกาโล ความรู้สึกที่ร้อนรุ่มของผู้ถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่าสั่งสมอยู่ในอกของการ์มาเช่นเขาตลอดมา และที่นั่นเขาได้พบเพื่อน บ.10 นักโทษหนุ่มข้อหาปลุกเร้าให้ประชาชนผู้หิวโหยในเมืองหลวงเข้าปล้นร้านอาหาร เป็นบ.10 อีกนั่นเองที่แนะนำวิธีการหากินให้กาโลเมื่อเขาไปถึงกัลกัตตา

เมื่อพ้นโทษกาโลมุ่งหน้าเข้ากัลกัตตาด้วยความหิวโหย เขาพยายามหางานทำโดยทำหน้าที่เข็นศพคนตายตามท้องถนนเอาไปที่บ้านคุณหมอ เพื่อเลาะเอากระดูกไปขายเมืองนอก กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ทำงานเป็นคนคุมซ่องเพื่อแบ่งเบาความหิวของเขาออกไปเสียบ้าง และขณะทำงานนั้นก็ได้พบกับเลขา ลูกสาวผู้ถูกนางแม่เล้าหลอกเอามาขายซ่อง แม้กาโลช่วยลูกสาวออกมาได้ทัน แต่บาดแผลที่กรีดรอยฝังลึกในจิตวิญญาณของหญิงสาวยังสร้างรอยทางทุกข์โศกแก่เธอเหมือนอย่างจะไม่มีวันเลือนหาย

กาโลนึกถึงบทเพลงของนักโทษ (น.198-199) และเล่าให้เลขาฟังว่า
“ลูกเข้าใจถึงความรู้สึกเบื้องหลังเพลงที่นักโทษร้องเวลาทำงานยังกะวัวกะควายไหม ? ” เขาปาดเอาเหงื่อจากใบหน้ามาไว้ในกำมือ แล้วก็สวดพร้อมกันเป็นหมู่ว่า “กินนี่สิ น้ำมันจากกระดูกของพวกกู กินซะ..เอานี่ไปทอดปลา...อี้ เอานี่ไปใส่แกงมะเขือที่พวกมึงโปรดปรานกันนัก...แล้วนี่เอาไว้ทาตัว...กินนี่สิน้ำมันกระดูกของพวกกู กินซะ !”  และคำพูดในคุกของ บ.10 ที่ว่า (น.72)

“เราเป็นคนชั้นต่ำเป็นผงคลีดิน ได้พวกที่เป็นเจ้านายมันสาปแช่งด่าทอเรา เพราะมันกลัวเรา มันชกเราตรงที่เจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุด – ตรงท้องของเรานี่ เราต้องชกตอบ”

เมื่อถูกกระทำหยามเหยียดจนรวดร้าวถึงที่สุดแล้ว กาโลตัดสินใจก้าวขึ้นหลังเสือเพื่อแก้แค้น เป็นการตีโต้ที่หนักหน่วง เขาทำตามแผนการของ บ.10 และกลายเป็นผู้เกิดสองหน (น.201)

เขาแสดงบทบาทของพราหมณ์ได้ด้วยท่าทางอันเหมือนกับเป็นผู้เกิดสองหนที่แท้จริง เคล็ดลับในการเป็นผู้อยู่ในวรรณะสูงนั้นวางอยู่ในกำมือของเขา และเขาก็กำลังพิทักษ์รักษามันไว้เพื่อให้เป็นกำลังของเขาเอง เออ, มันได้กลายมาเป็นเกราะป้องกันภัยแม้กระทั่งจากตัวของเขาเองเข้าแล้วหรือนี่? หรือว่าสายเชือกด้ายศักดิ์สิทธิ์ที่เขาคล้องเฉวียงบ่าผ่านหน้าอกลงมานั้นมันได้รึงรัดเอาดวงใจของเขาไว้เสียด้วยแล้วหรือไฉน?

กาโลได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในชื่อใหม่และวรรณะใหม่ เขาคือ มงคล อธิการี ฐานะของข้าช่วงใช้ของพระศิวะ เจ้าอธิการในเทวาลัยอันสง่างาม ฐานะความเป็นอยู่ของเขาและเลขาดีขึ้นเป็นลำดับด้วยเงินบริจาค แต่เลขายังคงจมอยู่ในบาดแผลอันร้าวรานนั้นอยู่ตลอดมา กาโลเองก็สังเกตเห็นมาโดยตลอด

แม้กาโลจะครองวรรณะใหม่ได้อย่างสง่างาม แต่เขาไม่อาจละทิ้งความซื่อสัตย์ต่อความเป็นกามาร์ของตัวเองได้ วันหนึ่งเขาได้พบกับ วิศวนาถ ชายชราอีดตช่างตีเหล็กผู้หิวโซ กาโลรับวิศวนาถเข้ามาช่วยงานเล็กน้อยที่เทวสถาน และวิศวนาถนี่เองที่สะกิดให้เขาตระหนักที่จะซื่อสัตย์ในรากเหง้าของตนเอง เขาแอบเอาน้ำนมจากพิธีสรงพระศิวะที่ต้องนำไปเทลงสู่แม่น้ำคงคาตามธรรมเนียม โดยนำเอาน้ำนมนั้นไปแจกจ่ายให้เด็ก ๆ ผู้หิวโหยตามท้องถนน กระทั่งถูกพราหมณ์เฒ่าผู้ดูแลเรื่องพิธีกรรมในเทวสถานจับได้ แต่กาโลออกหน้ารับแทน โดยไม่ยอมไล่วิศวนาถออกจากงาน (น.225) ทำให้วิศวนาถซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขาพูดกับกาโลว่า

“ตราบใดที่พวกนี้ยังมีคนอย่างหลวงพ่อ, เขาก็ปลอดภัย ”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ตราบใดที่ยังมีพราหมณ์ที่มีดวงใจเป็นพราหมณ์อย่างแท้จริงอย่างท่านอยู่ ประชาชนก็จะไม่หมดความศรัทธาในระบบสังคมเช่นนี้”


ดวงใจเป็นพราหมณ์? เขาหรือ? กาโลอยากจะหัวเราะ ถ้าหากชายชราผู้นี้รู้ความจริงละก็...? ถ้าหากวิศวนาถเพียงแต่รู้ว่าเขาคือมหาโจรที่เลวทรามที่สุดในประวัติศาสตร์ของนครนี้... และรู้ว่าวิศวนาถกับเจ้าอธิการเทวาลัยเป็นพี่น้องร่วมวรรณะเดียวกัน ...

ในที่สุดกาโลก็เอาชนะในเรื่องน้ำนมได้ เขาฉลาดที่จะใช้อำนาจเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์บางอย่าง ขณะเดียวกันเขาก็ได้แก้แค้นด้วย

เมื่อกาโลได้ก้าวขึ้นนั่นบนหลังเสือ ทรงตัวและบังคับเสือให้เดินไปตามอำนาจของตัวเองนั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับความสับสน ความเจ็บปวดที่สาหัส บ่อยครั้งเขานึกถึงชีวิตแบบช่างตีเหล็กที่เมืองชารนาบ้านเกิด ซึ่งก็ได้แต่โหยหาเท่านั้น เขาไม่สามารถก้าวลงจากหลังเสือได้ กระทั่งเมื่อ บ.10 พ้นโทษออกจากคุกมาและได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากกาโลที่ไปรอรับเขาที่หน้าประตูคุกพร้อมกับเลขา

บ.10 หรือเขาบอกให้ใคร ๆ เรียกเขาว่า บีเทน เป็นวรรณะพราหมณ์โดยกำเนิด แต่เขาได้เป็นผู้เกิดสองครั้ง (ทวิชากร) โดยดึงสายเชือกศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวของวรรณะพราหมณ์ทิ้งไป

เขารู้สึกเป็นอิสระจากรากเหง้าเดิมของเขา, รากที่หยั่งความเชื่ออย่างล้ำลึกลงไปในหัวใจของพ่อและแม่ของเขา และบิดเบือนความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ของพ่อและแม่ไปเสียจนไม่หลงเหลือคงรูป (น.296)

น่าหัวเราะเยาะหยันเสียนี่กระไร ที่เขาผู้ซึ่งได้สลัดขาดแล้วจากศาสนาพราหมณ์ได้กลายกลับมาเป็นเครื่องมือในการสร้างพราหมณ์ขึ้นใหม่อีกผู้หนึ่ง ( นั่นคือ กาโล) นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ? พราหมณ์ใหม่กำลังดำเนินงานไปตามแผน เพื่อทำให้คนทั้งหลายทำลายความสูงส่งศักดิ์สิทธิ์แห่งวรรณะของตน และกระทำประทุษฐกรรมต่อเทวะผู้ทรงศักดิ์ และมิใช่พราหมณ์ใหม่ผู้นี่ดอกหรือ ที่แสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อของผู้อื่นและจะพาบรรดาผู้คนไปสู่ความหายนะในท่ามกลางความขัดแย้งอันประหลาดล้ำนี้ (น.300-301)

เรื่องดำเนินมาถึงวาระที่กาโลตัดสินใจเด็ดขาด เขาไม่อยากหลอกลวงเลือดและกระดูกของตนเองได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยท่าทีที่บีเทน (บ.10)มีต่อเขา ท่ามกลางการเดินขบวนเรียกร้องอาหารที่กึกก้องกังวานราวกับเสียงครืนคำรามของสายฟ้าฟาด

เขากำลังขี่หลังเสือ และไม่สามารถจะลงมาได้ เขานั่งคร่อมอยู่ ทั้งทั้งที่อยากจะเลิกแต่ก็ช่วยไม่ได้, ในเมื่อเจ้าสัตว์หน้าขนเยื้องย่างบ้างวิ่งบ้างตามใจชอบ. แต่แม้ในขณะที่เขาขี่คร่อมมันอยู่, เขาได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีทางใดที่จะลงจากหลังของมัน นอกจากจะฆ่ามันเสีย

แต่ทว่าความปรารถนาที่จะฆ่าเสือทวีมากขึ้นเพราะพลังอันแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเขา, พลังที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย มันเป็นพลังที่ฟักตัวขึ้นจากการที่ได้เห็นประชาชนในสภาพอันเป็นจริง. ครั้งหนึ่งเขาเคยแต่จ้องมองดูใบหน้าของผู้ที่สูงเกียรติกว่า, บรรดาสมาชิกของสังคม “ชั้นสูง” ซึ่งเงาของสังคมนั้นครั้งหนึ่งได้หวดกระหน่ำเขาให้จมลงไปในความทุกข์ยากลำเค็ญ. แต่แล้วต่อมาเขาได้กลับกลายไปเป็นคนที่มีฐานะเสมอกับพวกมัน และมีราคาค่าตัวเท่ากับพวกนั้น. (น.413-414)

และ ณ บัดนี้ ท่ามกลางไฟ ยัคญะที่ได้จุดโพลงขึ้น, ท่ามกลางอากาศอันตลบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและเสียงสวดสาธยายมนตร์, คือเวลาอันเหมาะยิ่งแก่การฆ่า.  (น.414)

ใครเล่าจะหลอกลวงเลือดและกระดูกของตนเองได้ตลอด?

เรื่องราวของคนขี่เสือ เป็น “นิยายแห่งอิสรภาพ นิยายที่จะบันดาลใจและปลุกประชาชน”นั่นคือคำกล่าวของบีเทน (บ.10) ที่ชื่นชมในการ “ฆ่าเสือ”ครั้งนี้ของกาโล

เมื่อคนขี่เสือ อย่างกาโลได้ก้าวลงจากสถานภาพอันสูงส่งได้สำเร็จ แม้ว่าการก้าวขึ้นหลังเสือของเขาจะถูกบงการด้วยความรู้สึกอยากแก้แค้น อยากทวงคืนความเป็นธรรมมาสู่ชนชั้นวรรณะของตนเอง แต่มรรคผลที่ได้จาก คนขี่เสืออย่างกาโล ยังเป็นมรรควิถีที่ยังประโยชน์แก่คนหมู่มาก หาใช่คนขี่หลังเสือเยี่ยงนักการเมืองบางชั่ว ข้าราชการจอมทุจริต ที่อาศัยหยิบฉวยความสูงส่งของคำว่า คนขี่เสือเพื่อตีสีหน้าเย่อหยิ่งลอยตัวบนหลังเสือพลาสติกที่แต้มสีไว้เฉิดฉาย อย่าลืมแม้เสือพลาสติกจะกัดใครไม่เป็น แต่เสือพลาสติกก็พร้อมจะย่อยยับลงได้ด้วยเพียงมือหรือเท้าของคนธรรมดา ๆ .

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ                     :    เค้าขวัญวรรณกรรมผู้เขียน                         :    เขมานันทะพิมพ์ครั้งที่สอง (ฉบับปรับปรุง) ตุลาคม ๒๕๔๓     :    สำนักพิมพ์ศยาม  
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อนิตยสาร      :    ฅ คน ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๕ (๒๔)  มีนาคม ๒๕๕๑บรรณาธิการ     :    กฤษกร  วงค์กรวุฒิเจ้าของ           :    บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชะตากรรมของสังคมฝากความหวังไว้กับวรรณกรรมเพื่อชีวิตเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว  หากเมื่อความเป็นไปหรือกลไกการเคลื่อนไหวของสังคมถูกนักเขียนมองสรุปอย่างง่ายเกินไป  ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผลงานเหล่านั้นถูกนักอ่านมองผ่านอย่างง่ายเช่นกัน  เพราะนอกจากจะเชยเร่อร่าแล้ว ยังเศร้าสลด ชวนให้หดหู่...จนเกือบสิ้นหวังไม่ว่าโลกจะเศร้าได้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายรวมว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่แต่กับโลกแห่งความเศร้าใช่หรือไม่? เพราะบ่อยครั้งเราพบว่าความเศร้าก็ไม่ใช่ความทุกข์ที่ไร้แสงสว่าง  ความคาดหวังดังกล่าวจุดประกายขึ้นต่อฉัน เมื่อตั้งใจจะอ่านรวมเรื่องสั้น โลกใบเก่ายังเศร้าเหมือนเดิม ของ…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ       :    รายงานจากหมู่บ้าน       ประเภท         :    กวีนิพนธ์     ผู้เขียน         :    กานติ ณ ศรัทธา    จัดพิมพ์โดย     :    สำนักพิมพ์ใบไม้ผลิพิมพ์ครั้งแรก      :    มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๕๐เขียนบทวิจารณ์     :    นายยืนยง
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ      :    ลิกอร์ พวกเขาเปลี่ยนไปประเภท    :    เรื่องสั้น    ผู้เขียน    :    จำลอง  ฝั่งชลจิตรจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งแรก    :    มีนาคม  ๒๕๔๘    
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด ๔๒ ( ตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ) ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี จัดพิมพ์โดย : พิมพ์บูรพา สาเหตุที่วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตยังคงมีลมหายใจอยู่ในหน้าหนังสือ มีหลายเหตุผลด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตัวนักเขียนเองที่อาจมีรสนิยม ความรู้สึกฝังใจต่อวรรณกรรมแนวนี้ว่าทรงพลังสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาสังคมได้ ในที่นี้ขอกล่าวถึงเหตุผลนี้เพียงประการเดียวก่อน คำว่า แนวเพื่อชีวิต ไม่ใช่ของเชยแน่หากเราได้อ่านเพื่อชีวิตน้ำดี ซึ่งเห็นว่าเรื่องนั้นต้องมีน้ำเสียงของความรับผิดชอบสังคมและตัวเองอย่างจริงใจของนักเขียน…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ      :    เถ้าถ่านแห่งวารวัน    The Remains of the Day ประเภท            :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย    :    แพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งที่ ๑    :    กุมภาพันธ์   ๒๕๔๙ผู้เขียน            :    คาสึโอะ  อิชิงุโระ ผู้แปล            :    นาลันทา  คุปต์
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ      :    คลื่นทะเลใต้ประเภท    :    เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก    :    ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน    :    กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุง เรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตในเล่ม คลื่นทะเลใต้เล่มนี้  ทุกเรื่องล้วนมีความต่าง…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ชื่อหนังสือ : คลื่นทะเลใต้ประเภท : เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน : กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุงวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นมีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตลอดเวลาถึงปัจจุบัน ในยุคหนึ่งเรื่องสั้นเคยเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนสภาวะปัญหาสังคม สะท้อนภาพชนชั้นที่ถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ และยุคนั้นเราเคยรู้สึกว่าเรื่องสั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมได้…
สวนหนังสือ
‘พิณประภา ขันธวุธ’ ชื่อหนังสือ : ฉลามผู้แต่ง: ณัฐสวาสดิ์ หมั้นทรัพย์สำนักพิมพ์ : ระหว่างบรรทัดข้อดีของการอ่านิยายสักเรื่องคือได้เห็นตอนจบของเรื่องราวเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย...ไม่จำเป็น...ที่จะต้องเดินย่ำไปรอยเดียวกับตัวละครเล่านั้นในขณะที่สังคมไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ความเป็น “วัตถุนิยม” ที่เรียกว่า เป็นวัฒนธรรมอุปโภคบริโภค อย่างเต็มรูปแบบ ลัทธิสุขนิยม (hedonism) ก็เข้ามาแทบจะแยกไม่ออก ทำให้ความเป็น ปัจเจกบุคคล ชัดเจนขึ้นทุกขณะ ทั้งสามสิ่งที่เอ่ยไปนั้นคน สังคมไทยกำลัง โดดเดี่ยว เราเปิดเผยความโดดเดี่ยวนั้นด้วยรูปแบบของ ภาษาและถ้อยคำสำนวนที่สะท้อนโลกทัศน์ของความเป็นปัจเจกนิยมได้แก่ เอาตัวรอด…
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’  ชื่อหนังสือ      :    วิมานมายา  The house of the sleeping beautiesประเภท         :    วรรณกรรมแปลจัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์ดอกหญ้าพิมพ์ครั้งที่ ๑   :    มิถุนายน ๒๕๓๐ผู้เขียน          :    ยาสึนาริ คาวาบาตะ ผู้แปล           :    วันเพ็ญ บงกชสถิตย์   
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือประเภทจัดพิมพ์โดยผู้ประพันธ์ผู้แปล:::::เปโดร  ปาราโม ( PEDRO  PARAMO )วรรณกรรมแปลสำนักพิมพ์โพเอม่าฮวน รุลโฟราอูล  การวิจารณ์วรรณกรรมนั้น บ่อยครั้งมักพบว่าบทวิจารณ์ไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านหรืออ่านวรรณกรรมเล่มนั้นแล้วได้เข้าใจถึงแก่นสาร สาระของเรื่องลึกซึ้งขึ้น แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่บทวิจารณ์ต้องมีคือ การชี้ให้เห็นหรือตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดเด่นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ของวรรณกรรมเล่มนั้น วรรณกรรมที่ดีย่อมถ่ายทอดผ่านมุมมองอันละเอียดอ่อน ด้วยอารมณ์ประณีตของผู้ประพันธ์…