Skip to main content

 

25 ธันวาคม 2555 วันคริสต์มาส 
ผมไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ และไม่ได้รู้จักความหมายของวันคริสต์มาสเท่าไร นอกจากมีซานต้า และโรงเรียนไม่ยอมปิด สองวันก่อนหน้าเพิ่งไปร่วมงานของชาวคริสต์กลุ่มหนึ่งมา ได้ยินเขาพูดกันทำนองว่า วันคริสต์มาสจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของซานตาคลอส เท่านั้น แต่เป็นวันที่พระเจ้าอยากให้มนุษย์ทุกคนมีความสุข ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน นับถือศาสนาไหน ... ชอบแฮะ
 
เนื่องจากโรงเรียนไม่ยอมปิด ราชการไม่หยุด ศาลก็ไม่ยอมหยุด วันที่ 25 ธันวาคม ปีนี้จึงเป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและเสรีภาพการแสดงออกคดีหนึ่ง ขณะที่วันนี้ศาลอาญาก็จัดงานเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ศาล ตั้งแต่ช่วงเช้า ลานจอดรถถูกเนรมิตเป็นสถานที่จัดงาน มีเวทีใหญ่ตั้งอยู่ และมีโต๊ะจีนกำลังทยอยจัดเรียง
 
9.40 น. ห้องพิจารณาคดี 906 ศาลขึ้นบัลลังก์ จำเลย และทนายความจำเลยมาศาล อัยการไม่มาศาล ก่อนศาลอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีอื่นก่อน .... บลา บลา บลา ยกฟ้องจำเลยที่1-3 กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยที่ 4 จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร แต่สังเกตเห็นจำเลยที่ 4 เป็นชายแก่นั่งรถเข็น ท่าทางมีฐานะ เป็นคนเดียวที่ถูกตัดสินให้ต้องเข้าคุกไปในวันนี้
 
สองปีเศษๆ ก่อนหน้า ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช วันหนึ่งตลาดหุ้นไทยก็ตกระเนระนาด เป็นข่าวใหญ่โต ทีวีหลายช่องรายงานว่ามีคนปล่อย “ข่าวลือไม่เป็นมงคล” เป็นเหตุให้หุ้นตก ไม่มีสื่อไหนรายงานว่าข่าวลือคืออะไร แต่ข่าวลือนี้ทุกบ้านก็พูดกันมาก่อนหุ้นตกหลายวันแล้ว แต่ทางสำนักข่าวต่างประเทศนั้นกล้ารายงานข่าวลือนี้เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนหุ้นตกในช่วงบ่ายวันนั้นด้วย
 
ไม่กี่วันหลังจากนั้นจึงมีข่าวการจับกุมใครสักคน และมีการแถลงข่าวใหญ่โต เขาเป็นคนธรรมดา เขาเป็นนายหน้าขายหุ้นหรือโบรกเกอร์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ และไม่ว่าข่าวลือจะเป็นความจริงหรือไม่ ข้อความที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโพสลงในเว็บบอร์ด ระบุเวลา 15.05 ของวันที่หุ้นตก ซึ่งเป็นเวลาที่หุ้นตกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาถูกฟ้องฐานเป็นผู้นำเข้าซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
 
ไม่ใช่เพราะเขาเป็นโบรกเกอร์ หรือเพราะเขาเป็นคนเลว แต่เพราะในวันที่มีข่าวลือร้ายแรง ต้องมีคนถูกจับ
 
10.25 หลังอ่านคำพิพากษาคดีอื่นแล้ว จำเลยที่ 1-3 และญาติของคุณลุงยังจับกลุ่มคุยกันอยู่ในห้อง ศาลอีก 2 ท่านเดินขึ้นบัลลังก์ เรียกชื่อจำเลย “นายคธา...” จำเลยยืนขึ้น ศาลเริ่มอ่าน
 
“ในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์” ศาลเริ่มต้นด้วยการอ่านประโยคที่หัวกระดาษแบบฟอร์มศาล ทั้งที่คดีคุณลุงรถเข็นก็ไม่เห็นต้องอ่านประโยคนี้ เพียงประโยคแรก ก็แอบได้ยินผลคดีอยู่ไกลๆ
 
ศาลอ่านทวนข้อความที่ถูกนำมาฟ้อง ฟังดูแล้วเป็นการแสดงความคิดเห็น แต่ในที่นี้ก็เอามาเขียนให้อ่านไม่ได้อีกเช่นกัน
 
“ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีแนวความคิดหรือความเชื่อมั่นกับเรื่องดังกล่าวจึงได้แสดงออกโดยการโพสหรือเขียนข้อความในเรื่องดังกล่าวลงในเว็บไซต์” อย่างน้อยศาลก็รับรู้หลักการว่าที่คนแสดงออกอะไรสักอย่าง ก็เพราะเขาคิดและเขาเชื่อนั่นเอง
 
“เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพระมหากษัตริย์และรัชทายาททุกพระองค์ทรงรักและให้ความเมตตาแก่พสกนิกรของพระองค์เท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นบุคคลของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และพระมหากษัตริย์และรัชทายาททุกพระองค์ก็ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นที่รักและเคารพของปวงชนชาวไทยทุกคน ซึ่งจำเลยเป็นคนไทยคนหนึ่ง ย่อมต้องทราบความข้อนี้ดี ข้อความดังกล่าวจึงเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ” หลังจำเลยต่อสู้ว่าข้อความที่ปรากฏตามคำฟ้องนั้นเป็นเรื่องการบอกเล่าข่าวลือ ไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริง ไม่ใช่การบอกเล่าความเท็จ ศาลก็ตอบด้วยเหตุผลนี้
 
“การที่มีข่าวร้ายแรงกับประมุขสูงสุดของประเทศที่เป็นศูนย์รวมจิตใจอันเป็นที่รัก เคารพและสักการะของปวงชนชาวไทยในลักษณะดังกล่าว ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าจะไม่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ หากติดลบอยู่แล้วก็จะยิ่งติดลบกว่าเดิมอีก” หลังจำเลยต่อสู้ว่าข้อความนั้นถูกโพสหลังหุ้นตกไปแล้ว ศาลก็ตอบด้วยเหตุผลนี้
 
“นอกจากนั้นการมีข่าวร้ายแรงเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจเป็นที่รัก เคารพและสักการะของปวงชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างมารวมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนิน เพื่อถวายความจงรักภักดีเป็นจำนวนมาก จึงย่อมปฏิเสธไม่ได้อีกว่าประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าจะไม่ตื่นตระหนักตกใจกับข่าวที่เกิดขี้น” หลังจำเลยต่อสู้ว่า ข้อความตามฟ้องนั้น คนที่ได้อ่านแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังก็จะรู้ว่าไม่จริง และข้อความนั้นจึงไม่อาจก่อให้เกิดความตระหนกแก่ประชาชนได้ ศาลก็ตอบด้วยเหตุผลนี้ แถมขณะอ่านประโยคนี้ศาลคนที่อ่านใช้น้ำเสียงหนักแน่นขึ้น ขณะที่ศาลอีกท่านนั่งพยักหน้าหงึกๆๆ
 
ศาลยังไม่ลืมย้ำถึงอุดมการณ์ของรัฐอันควรยึดถือไว้ในคำพิพากษาด้วย อุดมการณ์ที่ผลักให้สิ่งที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็น หรือข่าวลือ หรืออะไรก็ตาม ให้กลายเป็นความผิด และอาชญากรรม 
 
“อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขของประชาชนและสังคมโดยรวม” 
 
จบการอ่านคำพิพากษา การโพสข้อความในเว็บบอร์ดสองข้อความ มีโทษจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินเข้ามาใส่กุญแจมือจำเลย ที่กำลังจะมีสถานะใหม่เป็น “ผู้ต้องขัง” พร้อมกับเข็นรถชายแก่ในคดีก่อนหน้า หลบกล้องของนักข่าวจำนวนมาก ผลุบผลับหายลงไปยังห้องขังใต้ถุนศาล
 
ยังคงมีประเด็นความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน ความชอบด้วยกฎหมายของการสืบสวน การพิสูจน์ตัวตนด้วยหลักฐานทางคอมพิวเตอร์ในคดีนี้ ที่เป็นปัญหาให้พูดคุยกันได้อีกมาก ซึ่งจำเลยก็ได้ใช้สิทธิต่อสู้อย่างเต็มที่แล้วแต่ศาลไม่เชื่อ ศาลเชื่อถือความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของฝ่ายโจทก์มากกว่า
 
ประเด็นที่ผมเกาหัวเล็กน้อย คือ การใช้อุดมการณ์หลักของชาติไทย เป็นเหตุผลตอบข้อต่อสู้ของจำเลย จำเลยต่อสู้ว่าเป็นเรื่องข่าวลือ ไม่ใช่ความจริง ศาลก็ตอบว่ากษัตริย์ไทยดี จำเลยต้องรู้อยู่แล้ว จำเลยต่อสู้ว่าข้อความไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ศาลก็ตอบว่ากษัตริย์ไทยดี ดังนั้นประชาชนย่อมตื่นตระหนก มีการนำอุดมการณ์อันเดิมมาใช้อธิบายซ้ำๆ อย่างน่าตกใจ
 
ผมก็รู้มาเท่าๆ กับที่คนไทยคนอื่นรู้ว่าพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของไทยมีคุณงามความดีมากเพียงไร และผมเชื่อว่าคุณคธา หรือจำเลยในคดีนี้ก็รู้มาเท่าๆ กัน แต่การพยายามใช้อุดมการณ์เดิมๆ ตอบคำถามบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มีแต่เป็นการลากเอาความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กลายมาเป็นเหตุในการลงโทษบุคคล เป็นการใช้อุดมการณ์ความเชื่อหลักกดทับความเชื่ออื่นๆ เอาไว้ ซึ่งไม่แน่นักว่าเป็นการพิทักษ์หรือระคายเคืองกับสถาบันฯกันแน่
 
11.10 ผมเดินไปเยี่ยมคุณคธาที่ห้องขังใต้ถุนศาล ห้องขังกั้นด้วยลูกกรงสองชั้นห่างกันพอประมาณ และยังมีราวเหล็กกั้นไม่ให้ญาติเข้าถึงลูกกรงชั้นแรก นักโทษกับญาติๆ ยืนตะโกนคุยกันสารพัดจากคนละฝั่งของลูกกรง คุณคธายืนยันขอประกันตัวให้ได้ก่อนและจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ภายหลัง ขณะที่เพื่อนๆ ด้านนอกวิ่งหาเงิน 5 แสนบาทมาประกันตัว
 
ห้องขังใต้ถุนศาลแบ่งเป็นสี่ห้อง “ผู้ต้องขังใหม่คดียา” “ผู้ต้องขังเก่าคดียา” “ผู้ต้องขังใหม่คดีทั่วไป” และ “ผู้ต้องขังเก่าคดีทั่วไป” แต่ละห้องมีคนอยู่มาก จนเก้าอี้ในห้องไม่พอนั่ง ขณะที่ญาติจำนวนมากก็นั่งรอฟังชะตากรรมอยู่ด้านนอกของลูกกรงเหล็ก วันคริสต์มาสปีนี้มาสอาจไม่ใช่วันที่มีความสุขสำหรับมนุษย์ทุกคนก็เป็นได้
 
15.45 หลังผ่านไปหลายชั่วโมง ศาลยังไม่มีคำสั่งเรื่องการประกันตัว ผมเดินมาเยี่ยมคุณคธาอีกครั้ง ทันทีที่เห็นผมเดินมาคุณคธารีบลุกมายืนเกาะลูกกรงเพราะเข้าใจว่าคำสั่งออกแล้ว แต่ผมบอกว่ายัง ผมอ่านปากคุณคธา น่าจะพยายามบอกว่าขอข้าว พร้อมทำท่าตักอาหารเข้าปาก ผมรับรู้แล้ว คุณคธาบอกย้ำว่า จะเอาให้คนแก่ (ลุงนั่งรถเข็นก็ยังอยู่ในห้องนั้นด้วย) พร้อมทำท่าพูดอะไรสักอย่างกับชูสองนิ้ว ขณะที่เพื่อนอีกคนอ่านปากได้ว่า “ขอสองกล่อง” ผมอ่านปากได้ว่า “ขอไข่ดาวสองฟอง” 
 
ผมซื้อข้าวซื้อน้ำ เขียนใบขออนุญาต และส่งเข้าไปด้านในลูกกรงเหล็กเสร็จแล้วก็นั่งรออย่างไม่รู้กำหนดเวลาต่อไป พยายามเอาคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเปิดเพื่อทำงาน แต่ก็ไม่มีสมาธินัก แถมในโรงอาหารศาลก็มีกฎห้ามเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุว่าเป็นไฟของหลวง
 
16.05 ที่ห้องรอฟังคำสั่งประกันตัว ญาติหลายสิบคนนั่งรออย่างกระวนกระวายอยู่เกือบเต็มห้อง เจ้าหน้าที่ศาลประกาศผ่านไมโครโฟนว่า วันนี้คดีมีปริมาณมาก คำสั่งประกันตัวทุกคดี จะออกภายในวันนี้ (แต่ไม่บอกว่ากี่โมง)
 
16.30 เจ้าหน้าที่ศาลสองคนใส่หมวกคริสต์มาสง่วนอยู่กับการเป่าลูกโป่งสีสดใสเพื่อประดับประดาห้องออฟฟิศของพวกเธอ ขณะที่เสียงจากเครื่องเสียงเวทีงานเลี้ยงหน้าตึกศาลเริ่มดังขึ้นบ้างแล้ว ผมกับคนอีกหลายสิบคนยังคงนั่งรอต่อไป โดยไม่มีอะไรให้ทำที่สร้างสรรค์ไปกว่านี้ได้ หากคำสั่งที่รอคอยอยู่นี้ยังคงยึดหลักอุดมการณ์อันเดิมเป็นเหตุผลพื้นฐาน คดีนี้คงถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงมาก โอกาสที่ชายหนุ่มหนึ่งคนจะต้องถูกบังคับโกนหัว เปลี่ยนเครื่องแต่งกายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ก็มีสูง
 
อีกไม่กี่นาทีให้หลัง เจ้าหน้าที่ศาลชายคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเค้าน์เตอร์ช่องสำหรับผู้มาติดต่อ เพื่อติดสายรุ้งเขียนว่า “สวัสดีปีใหม่” ท่ามกลางสายตานับร้อยดวงที่จับจ้องรอคอยความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่จะออกมาจากหลังเค้าน์เตอร์นั้น
 
17.50 ฟ้าเริ่มสลัวลงทุกขณะ เจ้าหน้าที่ศาลใส่หมวกแหลมสีแดงทยอยเดินออกจากตึกไปร่วมวงโต๊ะจีนยังบริเวณที่เคยเป็นลานจอดรถของประชาชนผู้มาติดต่อ ผมเดินลงไปที่ห้องขังใต้ถุนศาลอีกครั้ง ข้างรั้วเหล็กที่ใช้ตะโกนคุยกับคุณคธา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลหลายคนนั่งล้อมวงดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พร้อมกับข้าวเต็มโต๊ะ และเปิดเพลงเสียงดังทำให้การพูดคุยระหว่างสองฝั่งรั้วลำบากขึ้น
 
ผมแอบมองเข้าไปในห้องที่ติดป้ายว่า “ห้องเวรชี้” ซึ่งมีลักษณะเป็นบัลลังก์ศาล แต่ขณะนี้ตกแต่งด้วยสายรุ้ง และมีเจ้าหน้าที่ศาลในเครื่องแบบหลายคนนั่งล้อมวงกันอยู่
 
ด้านหน้าลูกกรงเหล็ก คนจำนวนไม่ต่ำกว่าสามสิบ ยังคงนั่งรอเป็นกำลังใจให้คนที่อยู่ด้านใน ส่วนคนด้านในไม่ต่ำกว่าห้าสิบ ยังคงนั่งรอเวลาที่ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานเท่าไร ถัดจากลูกกรงเหล็กไปไม่กี่เมตร รถบัสสีครีมคันใหญ่ติดลูกกรงรอบคัน พร้อมอักษรเขียนว่า “เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร” จอดรออยู่แล้ว คนขับรถคงอยากรีบไปให้ถึงที่หมายของมันเสียที เพื่อที่คนขับจะได้มีค่ำคืนแห่งเสียงเพลงในแบบของตัวเองบ้าง
 
18.10 คำสั่งออก นายคธาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเพื่อใช้สิทธิต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ผมรีบวิ่งไปบอกข่าวดี คุณคธายกมือไหว้ ขณะที่ห้องธุรการด้านบน เจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนรับเงินสดที่มีแบงค์พันมัดรวมกันเป็นปึกๆ ไปนับ ไฟบางดวงเริ่มปิดลง คดีอีกจำนวนหนึ่งยังไม่ทราบชะตากรรม
 
18.45 ระหว่างรอการเดินทางของเอกสาร ทุกคนลงมายืนรอที่จุดปล่อยตัวใต้ถุนศาล ข้างล่างนี้เหลือญาติอยู่อีกไม่กี่คดีแล้ว แต่ข้างในนั้นมีนักโทษอยู่อีกจำนวนมาก
 
19.10 คุณคธาลุกขึ้นเดินออกมาตามที่เจ้าหน้าที่เรียก พร้อมเข็นรถของคุณลุงจำเลยที่ 4 ผู้ต้องหาต่างคดีออกมาด้วยกัน วันนี้คุณคธาคงได้เพื่อนใหม่ 1 คน ญาติของลุงมารับตัวลุงที่จุดปล่อยตัว เช่นเดียวกับคุณคธาที่เดินทางกลับไปกับเพื่อน 3-4 คนที่มานั่งรอด้วยกันตั้งแต่เช้า
 
หลังคุณคธาเดินออกมาสัมผัสอิสรภาพได้ไม่กี่ก้าว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลากเอารั้วเหล็กมากั้นทางเดิน พร้อมตะโกนว่า “ญาติหลบก่อนครับ” ไฟในห้องขังถูกปิดลงทีละดวง นักโทษทั้งเก่าและใหม่จำนวนมากใส่กุญแจมือผูกติดกันเดินเรียงแถวออกมาทีละคนๆ มุ่งหน้าไปยังรถบัสสีครีมคันใหญ่ที่บัดนี้ติดเครื่องรออยู่แล้ว ผ่านสายตาของญาติที่ทำได้เพียงยืนเกาะรั้วเหล็กมองและส่งกำลังใจให้ 
 
19.20 ผมออกมาจากบริเวณอาคารศาล ขับรถมายังทางออกหน้าตึกศาลอาญา ได้ยินเสียงดังจากเวทีใหญ่เป็นเสียงงานเลี้ยงที่แขกเหรื่อผลัดกันขึ้นมาร้องเพลง เจ้าหน้าที่ศาลที่เคยทำหน้าขึงขังหลายคนบัดนี้สวมหมวกซานต้านั่งเลี้ยงฉลองการเคลียร์งานที่หนักหนาส่งท้ายปีกันอย่างเบิกบาน
 
 
ไม่ว่าใครจะทำอาชญากรรมมาเลวร้ายแค่ไหน จะค้ายา หรือฆ่าใคร หากสำนึกผิดแล้วสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าจะยกโทษให้ ถ้าจำไม่ผิดผมเข้าใจว่าชาวคริสต์เชื่ออย่างนั้น
 
วันคริสต์มาส ไม่ใช่เรื่องของซานตาคลอส เท่านั้น แต่เป็นวันที่พระเจ้าอยากให้มนุษย์ทุกคนมีความสุข ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ศาสนาไหน
... และมีความเชื่อทางการเมืองแบบไหนด้วย ผมขอเติมข้างหลังอีกหน่อย
 
 
.....................................
 
เย็นวันนั้นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ท่านหนึ่งที่เคยมาเป็นพยานให้จำเลย ส่งข้อความมาว่า “ท่าทางเรามีงานต้องทำกันอีกเยอะครับ”
 
 
 
 

บล็อกของ นายกรุ้มกริ่ม

นายกรุ้มกริ่ม
                          
นายกรุ้มกริ่ม
ผมเขียนบันทึกฉบับนี้หลังจากล่วงเลยเวลาที่ผมควรจะเขียนมาปีกว่า เพื่อรำลึกถึงพี่สาวคนหนึ่งที่สอนข้อคิดให้กับพวกเราไว้มากมายโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ เพื่อฝากเรื่องราวของเธอไว้สำหรับทุกคนที่พบผ่าน และเพื่อจดจารให้เธออยู่ในใจของเราเสมอ นานเท่าที่จะทำได้
นายกรุ้มกริ่ม
 หลังจากนั่งรถทัวร์ออกจากกรุงเทพฯ ตอนหกโมงเย็น ทันทีที่เท้าเหยียบตัวอำเภอละงู จังหวัดสตูล ตอนเก้าโมงเช้าของวันใหม่ ผมก็ถูกโยนขึ้นท้ายกระบะของคนไม่รู้จัก และเข้าร่วมขบวนโพกผ้า ติดธงเขียว เขียนว่า “ปกป้องสตูล” “STOP ท่าเรืออุตสาหกรรม” 
นายกรุ้มกริ่ม
  "ประกาศรัฐสภา เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
นายกรุ้มกริ่ม
จะจุดเทียน เขียนรุ้ง กลางกรุงร้าง                    อยากจุดเทียน เขียนรุ้ง กลางกรุงร้าง อยากเสกสรรค์ วันอ้างว้าง ทางสับสน อยากเผื่อแผ่ แง่งามใส่ หัวใจคน
นายกรุ้มกริ่ม
                        จะจุดเทียน เขียนรุ้ง กลางทุ่งหญ้า  จะสุมไฟ ใต้ฟ้า ท้าความหนาว จะไกวเปล เหล่ดารา พาพร่างพราว จะไล่เรียง เสียงสายราว ดาวดนตรี  
นายกรุ้มกริ่ม
  จะวาดเทียน เขียนรุ้ง ทุกทุ่งหญ้า 
นายกรุ้มกริ่ม
 
นายกรุ้มกริ่ม
เป็นยามเช้าที่วุ่นวาย และแสงแดดร้อนจัด ผมตื่นแล้วรีบวิ่งมาขึ้นเรือด่วนคลองแสนแสบในชั่วโมงเร่งด่วนที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน เพื่อไปให้ถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหง 
นายกรุ้มกริ่ม
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 วันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี อากง จำเลยคดีส่ง SMS หมิ่นฯ เข้ามือถือเลขาฯนายกอภิสิทธิ์ 4 ข้อความ ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมยังโอบล้อมเมืองหลวงอยู่ไม่ห่าง ต้องลุ้นกันวันต่อวันว่านัดอ่านคำพิพากษาจะถูกเลื่อนเหมือนคดีอื่นๆ หรือไม่