Skip to main content


นานเกินไปแล้วที่แม่ไม่ได้กดแป้นคีย์บอร์ด  เพื่อพิมพ์เรื่องราวใดๆถึงใครสักคนที่แม่รัก นับตั้งแต่พี่ของเจ้า “สาละวิน”อายุครบสามปี แม่ก็ได้หยุดเขียนบันทึก   ด้วยภาระหน้าที่อันหนักหน่วงในการงานข้อหนึ่งที่แม่ชอบอ้างเอากับตัวเองเสมอ เพื่อจะผ่านไปวันหนึ่งอย่างว่างเปล่า และพบว่าสูญเสียเรื่องราวและความทรงจำดีๆ มากมายไปกับข้อแก้ตัวของตนเอง

  แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง งานเขียนที่แม่ได้บันทึกถึงพี่ชายของลูก  ซึ่งนำเอาลงเว็บไซต์หนึ่งให้อ่านสาธารณะอยู่พักใหญ่ เพื่อว่าแม่จะได้เล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคนชนเผ่าเล็กๆของพ่อที่เรียกตัวเองว่า ”กระยัน” แทนที่จะเรียกตามนักท่องเที่ยวว่า “กระเหรี่ยงคอยาว”นั้น  ก็มีบก.จากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งให้ความสนใจและนำเรื่องราวที่แม่ได้บันทึกถึงพี่ชาย “สาละวิน”ลูกชายสองสายเลือดไทยและกระยันออกสู่สายตาคนทั้งประเทศ เป็นพ้อกเก็ตบุ้คเล่มแรกที่แม่ภาคภูมิใจ ใช้ชื่อว่า “บันทึกถึงลูกผู้มาจากดาวดวงอื่น”

มิใช่ว่าแม่จะภูมิใจในความเป็นนักเขียนที่มีหนังสือเป็นของตัวเองเสียที ตามความใฝ่ฝันอย่างเดียวหรอกลูก  หากทว่ามันเป็นความสุขใจที่มีใครสักคนเห็นคุณค่าในบทความเล็กๆที่แม่บันทึกผ่านไปทางพี่ชายเจ้า เพื่อสื่อสารกับโลกภายนอกในเรื่องราวของแม่และลูกชาย  ตัวตนของสาละวินพี่ของเจ้าที่เกิดมาในครอบครัวชาวกระยัน  อันเป็นความเลื่อมล้ำทางสังคมการเดียดฉันท์ชาติพันธ์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่แม่พยายามสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับคนอ่านที่ไม่ได้จำกัดเพียงแต่พี่ชายของเจ้าเท่านั้น

เมื่อแม่ได้รับการตอบรับจากสำนักพิมพ์  ทำให้แม่เกิดพลังและเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาเขียนหนังสือถึงเจ้าอีกคน ความตั้งใจที่อยากสื่อสารถึงพี่ของเจ้าจะบรรลุวัตถุประสงค์ทันทีที่วันหนึ่งหนังสือเล่มนี้ถึงมือของพี่เจ้าในวัยที่พร้อมจะอ่านและเข้าใจมัน  แต่ความปรารถนาที่แรงกล้ากว่านั้นคืออยากให้บันทึกเล่มนี้ได้ผ่านสายตาลูกในวัยที่จะมาถึงในไม่ช้าเช่นกัน

ต้นหว้าแสนรัก,หากแม่เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่มีลูกสาว คงบอกได้เลยว่า ดวงใจของแม่นั้นแสนห่วงลูกสาวมากเท่าพันทวีกว่าลูกชายที่โลกใบนี้ ได้หยิบยื่นความเสี่ยงมากมายไว้ให้ในเพศแม่ของเรา  โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างแม่ที่เห็นโลกมามากมาย ไม่อาจทนเห็นลูกสาวตกเป็นเหยื่อของสังคม อารมณ์และสติปัญญาทั้งหลายที่ผิดพลาดนั้นอีก

ในวันที่เจ้าอายุได้หนึ่งปีเจ็ดเดือนกับอีกสิบเจ็ดวันในวันนี้  แม่จึงเริ่มบันทึกถึงลูกเสียทีแม้ว่าจะมีภารกิจหน้าที่การงานรัดตัวมากมายก็ตามแต่ เสียงแป้นพิมพ์คีบอร์ดอันแสนเงียบกริบนี้กว่าจะเริ่มได้ก็เลยเวลาเที่ยงคืนมานานแล้วก็ตาม   แต่เรื่องราวก็พร้อมจะพรั่งพรูสู่ลูกได้ทันที ที่ได้เริ่มบันทึก  อาจเป็นบันทึกเล็กๆที่ไม่รู้เลยว่า  จะมีใครสักคนเห็นค่าเช่นที่เคยบันทึกถึงพี่เจ้าหรือไม่ก็ตาม  แต่จะมันเป็นบันทึกที่มีค่าที่สุดสำหรับเราสองแม่ลูกที่แม่ตั้งใจจะสื่อสารเรื่องราวต่างๆ มากมายในชีวิต ประสบการณ์และความรู้สึกต่างๆ เป็นบันทึกของแม่คนหนึ่งที่จะบอกเล่าเรื่องราวความดี ความชั่ว ความผิดพลาดต่างๆในชีวิตของตนเอง ให้เป็นบทเรียน อุทาหรณ์ให้กับลูกในอนาคต 

เพราะเรื่องราวที่แม่จะบันทึกต่อไปนี้จะเป็นเรื่องจริง  ที่เกี่ยวข้องในชีวิตของเจ้าของครอบครัวของเราทั้งห้าชีวิต  อันประกอบไปด้วยพ่อและแม่ พี่ชายเจ้า ยายและตัวเจ้าเอง  อาจจะมีสุขทุกข์บ้างปะปนกันไปแม่ก็ไม่อายที่จะบันทึกมันเพราะทุกอย่างมีทั้งด้านดีและด้านร้าย  ไม่มีใครมีชีวิตสมบูรณ์แบบหรอกลูก จงอย่าอายที่จะยอมรับในความจริง  แต่จงรู้สึกอายเมื่อมีคนมารู้ความจริงที่ลูกปกปิดซ่อนเร้นไว้ภายหลัง

ในวัยสามสิบหกของแม่นั้นเรื่องจริงอย่างแรกคือ  ตัวตนปัจจุบันของแม่ที่อยากให้ลูกรับรู้ว่า นอกจากแม่จะมีเจ้า ,ต้นหว้า เป็นลูกคนที่สองของแม่แล้ว แม่ยังเป็นลูกคนแรกที่มีพี่น้องอีกหนึ่งคนต่างบิดา ซึ่งเป็นน้าชายของเจ้า  และเป็นเมียคนแรกของพ่อเจ้า(ซึ่งแม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นคนสุดท้ายด้วย)

อาชีพของแม่คือ รับราชการครู,แม่ค้าร้านของชำและร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นอาชีพเสริมที่แม่เพิ่งริเริ่มทำได้ไม่นานโดยอาศัยทุนทรัพย์ของแม่    มีทุนกำลังจากยายและพ่อของเจ้าดูแลกิจการร้านค้าในครอบครัวของเรา ที่แบกภาระหนี้สินของแม่ที่มีอยู่เกือบสองล้านบาทและนี่คือบรรทัดย่อหน้าแรกแห่งความจริงอันน่าเจ็บปวดของครอบครัวของเรา 

แม่หาได้ย่อท้อไม่ลูกเอ๋ย  กว่าจะมีหนี้เป็นล้านๆ แม่เคยเป็นคนที่ไม่มีอะไรมาก่อนเลย ในห้วงเวลานั้นมันแสนจะแย่เสียยิ่งกว่าที่เป็นตอนนี้เสียอีก ซึ่งแม่จะค่อยๆเล่าเรื่องราวร้อนหนาวเหล่านั้นให้ลูกฟังทุกวันด้วยบันทึกฉบับนี้ ในย่อหน้าถัดไปนั้นลูกอ่านแล้วอาจตกใจยิ่งกว่า

แม่เป็นลูกที่เกิดมาโดยที่ไม่ได้เกิดจากความต้องการของแม่ด้วยซ้ำไป เมื่อยายได้เผลอเล่าว่าเคยทำแท้งเมื่อรู้ว่าตนเองตั้งท้องได้สามเดือน แต่แม่ดื้อไม่ยอมออกจนยายต้องไปนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือหลายวัน ถึงกระนั้นยายก็ยังต้องอุ้มท้องแม่กว่าสิบเดือนจึงจะคลอด  ยายว่าแม่เหมือนเด็กที่ไม่อยากจะเกิดมาดูโลกเพราะเลยกำหนดคลอดมานานแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจ็บท้องคลอดแต่อย่างใด

ในน้ำเสียงของยายที่เล่านั้นมีความรู้สึกผิดที่คิดจะเอาแม่ออก  แม่เองก็ไม่ได้สืบความเอาเหตุผลอะไรกับยายเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ใครก็คงไม่อยากพูดถึงมันอีก มันคงเป็นความผิดพลาดในวัยสาวของยายที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้

  ที่แม่เล่าขึ้นมาไม่ได้คิดจะติดใจเอาความหรือเนรคุณยายหรอกนะลูกเพียงแต่อยากให้ต้นหว้ารู้ถึงเบื้องหลังของเราสองคน ในเวลาที่แม่เกรี้ยวกราดวัยเยาว์ และมีโลกอันแสนประหลาดจนมาถึงวันนี้ได้นั้น คงเริ่มมาตั้งแต่ปฎิสนธิในท้องยายแล้วกระมัง  แม่และยายจึงไม่เลิกราที่จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแม้ว่าสุดท้ายแล้วก็รู้ว่ายังมีความรักความผูกพันที่ไม่อาจตัดขาดกันเช่นสายสะดือได้อยู่ดี

อ่านแล้วดูจะเครียดไปไหมลูก โลกก็เป็นอย่างนี้แหละ มีด้านที่ดำมืดและสว่างไสว มีใครเคยบอกว่าเรามักสังเกตเห็นแสงสว่างเพียงนิดในความมืดได้ชัดเจนกว่า  เห็นความมืดในแสงสว่างเจิดจ้า

จงจำไว้ชีวิตของลูกประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกปฏิสนธิในครรภ์ของแม่แล้ว  นับตั้งแต่ลูกวิ่งแข่งกับผู้คนอีกหลายล้านชีวิตเพื่อให้ถึงเส้นชัยโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอด  โอกาสของการเกิดจึงยิ่งใหญ่เสมอและแม่เองก็ระลึกเสมอว่า “แม่”ของแม่เป็นผู้ให้โอกาสหนึ่งเดียวในหลายล้านนั้น

วันข้างหน้าลูกผิดหวังช้ำใจในเรื่องใดๆก็ตามไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ขอจงจำไว้ว่า ไม่ใช่เราหรอกที่โชคร้ายที่สุด  แต่เพื่อนๆของเราที่วิ่งช้ากว่าเรานับล้านนับพันนั่นต่างหากล่ะลูก  ที่เขาโชคร้ายกว่าเราไม่รู้เท่าไร ที่ไม่มีโอกาสเห็นเส้นชัยที่สร้างไว้ให้เราเพียงหนึ่งเดียว และนั่นอาจเป็นที่มาอย่างหนึ่งที่แม่ได้ตั้งชื่อจริงของลูกไว้ว่า “ อณัญญา”ซึ่งแปลว่า ที่หนึ่ง หรือหนึ่งเดียว  นั้นเอง
 

รักลูกที่สุด

แม่เจน

 

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…