Skip to main content

 

ติดตามการประชุมนัดแรกของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าร่วมเปิดประชุมแล้ว มีความเห็นว่า ผู้ที่เสนอความคิดเห็นตรงกับปัญหาที่สุดคือ คุณครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ นอกนั้นล้วนแต่ “ขี่ม้าเลียบค่าย”

การจะแก้ปัญหาของประเทศ ก่อนอื่นต้องเข้าใจสมมติฐานหรือต้นเหตุของปัญหา เหมือนคนป่วยต้องรู้สมมติฐานของโรคก่อน จึงจะรักษาได้อย่างถูกต้อง และจุดหมายปลายทางของการรักษาคือหายจากโรค ไม่ใช่รักษาเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ ไม่หายสักที

สมมติฐานหรือต้นเหตุของปัญหาประเทศไทยปัจจุบัน เกิดจากความขัดแย้งของชนชั้นบนสุดของสังคม ระหว่างชนชั้นบนใหม่ คือ กลุ่มทุนใหม่โลกาภิวัตน์กับชนชั้นบนเก่า คือ กลุ่มทุนเก่าอนุรักษ์นิยม เป็นความขัดแย้งหลัก และกลุ่มทุนเก่าอนุรักษ์นิยมเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง แล้วลุกลามสู่ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง เป็นความขัดแย้งทางโครงสร้างระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยเสรีนิยมกับอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม

มีตัวแทนและแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่พรรคการเมืองและฐานมวลชนคือ พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม พรรคประชาธิปัตย์และคนเสื้อเหลืองหรือต่อมาใช้ชื่อกลุ่มต่างๆ แตกต่างกันไปอยู่ฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ในเบื้องต้นผู้เข้าร่วมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยจะยอมรับหรือไม่ว่า ที่อธิบายมานี้ คือ ต้นเหตุของปัญหาในปัจจุบัน ถ้าไม่ยอมรับก็ต้องเสนอบทวิเคราะห์เพื่อโต้แย้งอย่างมีเหตุผลให้ได้ข้อสรุปก่อน

เมื่อได้ข้อสรุปถึงสมมติฐานหรือต้นเหตุของปัญหา จากนั้นจึงกำหนดหรือมองให้ออกถึงจุดหมายปลายทางว่าจะจบลงอย่างไร แล้วจึงเริ่มต้นในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เพราะการเริ่มต้นแก้ปัญหาโดยไม่มีจุดหมายปลายทางหรือกำหนดจุดหมายปลายทางผิดก็เหมือนกับคนที่เดินทางโดยไม่มีจุดหมาย ก็คือ คนวิกลจริต หรือคนเร่ร่อนจรจัดนั่นเอง หรือไม่ก็เป็นคนหลงทิศผิดทาง 

จริงๆ แล้วการใช้คำว่า “คณะกรรมการสภาปฏิรูปประเทศไทย” ไม่ค่อยจะสอดคล้องกับวิกฤตของประเทศไทยปัจจุบัน น่าจะใช้คำว่า “คณะกรรมการสภา เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ” มากกว่า เพราะวิกฤตของประเทศไทยปัจจุบันเป็นภาวะวิกฤต “หัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลง” และต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นวิวัฒนาการ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นวัฏจักร หมุนวนเป็นวงจรอุบาทว์อย่างที่ผ่านมาแปดสิบกว่าปี หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ส.2475

“คณะกรรมการสภาเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ” จะต้องมีตัวแทนของชนชั้นบนสุดของทั้งสองฝ่าย และต้องมีตัวแทนมวลชนล่างสุดของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมด้วย

ตอนแรกๆ ฝ่ายอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมต้องปฏิเสธการเข้าร่วมอย่างแน่นอน เพราะยังหวังใช้ฐานอำนาจเก่าพลิกสถานะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างที่เคยประสบผลสำเร็จมาแล้วในปี 2549 และ 2551

แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป ฝ่ายอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์เกือบสิ้นเชิง การเคลื่อนไหวมีเพียงยุทธวิธีเท่านั้น การเคลื่อนไหวต่อสู้จึงออกมาในสภาพดื้อรั้นดันทุรัง แบบเด็กดื้อและคนเกเร

ครั้งยิ่งมาเจอกับการตั้งรับของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แบบนิ่มนวลอ่อนโยนเข้า เด็กดื้อและคนเกเรก็ตจะแค้นเคืองแทบกระอักเลือด สุดท้ายก็สิ้นฤทธิ์ยอมเข้าร่วมคณะกรรมการสภาเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ

แต่เบื้องแรกก็ขัดขวางอาละวาดตามประสาคนฤทธิ์มาก ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงก็เป็นธรรมดาของกฎวิวัฒนาการที่จะไม่ราบรื่นและงายดายในทุกประเทศทั่วโลก

ประชาชนต้องอดทนและรอคอย อย่าเป็นโรคใจร้อนอยากเปลี่ยนแปลงเร็ว จนก่อเกิดความรุนแรงเป็นสงครามกลางเมือง

จุดหมายปลายทางของการเปลี่ยนแปลงแบบเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ คือ การเมืองเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เศรษฐกิจเป็นทุนนิยมเสรี สังคมมุ่งสร้างรัฐสวัสดิการที่ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ ใช้ระบบกฎหมายและภาษีอุ้มชนชั้นล่าง ลดความได้เปรียบของชนชั้นบน สร้างชนชั้นกลางให้เป็นชนชั้นส่วนใหญ่ของประเทศ กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบต้องมีการถ่วงดุลและตรวจสอบได้ เพื่อเป็นหลักประกันในสิทธิ เสรีภาพของประชาชน

ประเทศไทยโชคดีที่ไม่ได้เป็นประเทศแรกของการเปลี่ยนแปลง จึงมีความสุ่มเสี่ยงน้อย เรามีประเทศต้นแบบให้ศึกษามากมายในโลกอยู่ที่ว่า เราจะศึกษาจากประเทศใดที่มีลักษณะคล้ายกับประเทศไทย คือเป็นประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุขและเจริญแล้ว

การแก้ปัญหาทุกปัญหาจะต้องจับจุดของปัญหาให้ถูกต้องและต้องมีจุดหมายปลายทางชัดเจน ถูกต้องด้วย มิฉะนั้น การตั้งคณะกรรมการใดๆ ขึ้นมาก็ล้มหลวอย่างที่ผ่านมา

จึงขอฝากข้อคิดนี้ต่อรัฐบาล ฝ่ายค้าน และคณะกรรมการสภาปฏิรูปประเทศไทยทุกท่านในฐานะผู้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาคนหนึ่งด้วย

 

ขอแสดงความคาราวะ

คนรากหญ้า

สิงหาคม 2556  

บล็อกของ นายหัว ส. และมิตรสหาย

นายหัว ส. และมิตรสหาย
เรื่องเล่าจากนักโทษเสื้อแดงถึงชะตาชีวิตของนักโทษการเมืองในอีกฟากฝั่งของอุดมการณ์ที่ยังต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างไม่ละวาง แต่ในพื้นที่ๆพวกเขาถูกจำกัดอิสรภาพไม่ต่างจากสัตว์ที่ถูกล่ามขัง พวกเขากลับมองกันด้วยสายตาแห่งมิตรภาพ
นายหัว ส. และมิตรสหาย
จดหมายตอบกลับจากหนุ่ม เรดนนท์ ผู้ต้องขัง 112 ถึงบุคคลต่างๆ ที่เขียนจดหมายเข้าไปพูดคุยกับนักโทษการเมือง เขาไม่ได้ตอบกลับรายบุคคลเพราะไม่มีที่อยู่ จึงเขียนตอบในที่สาธารณะ เป็นบทสนทนาประวัติศาสตร์ที่กระเสือกกระสนหาช่องทางเองตามประสาคนตัวเล็กๆ
นายหัว ส. และมิตรสหาย
ขอให้คนเสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งเพื่อรณรงค์เรียกร้องต่อศาลสถิตยุติธรรมให้พิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่คนไทยทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปรองดองของคนในชาติ
นายหัว ส. และมิตรสหาย
เมียนมาร์เป็นตัวอย่างที่น่าศึกษาสำหรับประเทศไทย ประเทศพม่า หรือเมียนม่า ปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารมาช้านานห้าสิบกว่าปี ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร ประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่จับอาวุธขึ้นสู้ รวมกับผู้รักประชาธิปไตยชาวเมียนม่าที่นำโดย ออง ซาน ซูจี
นายหัว ส. และมิตรสหาย
ความปรารถนาดีจากผู้ถูกคุมขังลอดผ่านซี่กรงแดนตารางสู่ผู้รักประชาธิปไตย
นายหัว ส. และมิตรสหาย
      จากกองทัพปลดแอกประชาชนไทย กลายเป็นกองทัพรับจ้างระบอบอำมาตย์และพรรคคอมมิวนิสต์บุพกาล
นายหัว ส. และมิตรสหาย
สภาผู้แทนคนเสื้อแดงในคุกอภิปรายถึง สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ผู้ต้องขังคดีการเมืองวัย 70ปี ถึงประวัติการถูกจองจำจากคดีการเมืองอันโชกโชน
นายหัว ส. และมิตรสหาย
โดย นายหัว ส. 27 มิถุนายน 2555       การประชุมสภาผู้แทนคนเสื้อแดงในคุกวันนี้ วันที่ 27 มิถุนายน 2555 เพื่อแสดงความยินดีที่คนเสื้อแดง ผู้ต้องหาเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหารทั้ง 13 คน ได้รับอิสรภาพจากการอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวของศาลอุทธรณ์ สภาคนเสื้อแดงคุกมีความหวังว่า คนเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขังอยู่ ในคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองอีก 40 กว่าคน จะได้รับอิสรภาพในเร็วๆ นี้ด้วย  
นายหัว ส. และมิตรสหาย
 นายหัว ส.
นายหัว ส. และมิตรสหาย
  นายหัว ส. พฤหัสบดี 26 เมษายน 2555  
นายหัว ส. และมิตรสหาย
โดย... นายหัว ส. ชื่อบทความเดิม: เสื้อแดงในคุกถือคติหมากัดอย่ากัดตอบ ผิดระบอบ..เพราะเราไม่ใช่หมา !!