Skip to main content

ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์

ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวัน

ฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไม

ไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ ไปอาจจะได้คำตอบ

ในโลกนี้มีหลายเรื่องราวที่เรายังไม่รู้ และบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ อย่างเช่นเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณยังไม่รีบไปไหน อุตส่าห์เข้ามาแล้วก็โปรดอ่านไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเถิดนะคะ

ไม่แน่นะ บางเรื่องไร้สาระอาจแฝงปรัชญาแห่งชีวิตอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้ (ว่าเข้าไปนั่น)

......................

แตงกวาเป็นชื่อของลูกหมาหน้าตาหมกมุ่นตัวหนึ่ง ที่ถูกคนเอามาทิ้งไว้ข้างถนนใกล้ๆ ท่ารถโดยสารระหว่างอำเภอ สภาพของแตงกวาเมื่อแรกนั้นห่างไกลจากคำว่าน่ารักอยู่มาก ทั้งเหม็นสาบ ผอมโซ ขนร่วงเป็นหย่อมๆ เพราะโรคผิวหนัง และมีแผลเล็กบ้างใหญ่บ้างทั่วตัว

มันค่อยๆ คลานอย่างกล้าๆ กลัวๆ เข้ามาหมอบเงียบอยู่ตรงเท้าของฉัน อายุของมันไม่น่าจะเกินสองเดือน

“ใครเอามาทิ้งไม่รู้ สามสี่วันแล้วละ” คนขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็นแถวๆ นั้นบอก “ไม่เห็นมันไปหากินที่ไหน คงกลัวหมาใหญ่ๆ กัดมั้ง นึกว่าถูกรถเหยียบไปแล้ว เพิ่งเห็นนะเนี่ยว่ายังอยู่”

ฉันใจอ่อนเกินกว่าจะปล่อยให้มันเผชิญกับความหิว ความกลัว และความเสี่ยงที่จะถูกรถทับตาย จึงหยิบมันใส่กระเป๋าสะพายกลับบ้านด้วย แตงกวาซุกเงียบอยู่ในกระเป๋าตลอดทาง

การรับเลี้ยงหมากว่าสี่สิบตัวที่ผ่านมากับปัญหาสารพัดแบบ ทำให้ฉันคิดว่า นับประสาอะไรกับลูกหมาอีกตัวหนึ่ง  

........................

เนื่องจากเป็นสมาชิกใหม่ ฉันจำเป็นต้องแยกแตงกวาไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ถูก “รุ่นพี่” เกือบสี่สิบตัวทำพิธีรับน้อง สถานที่ที่พอมีเหลือก็คือในบ้าน ซึ่งนอกจากจะมีกรงแมวแล้ว ตอนนี้ยังใช้เป็นสถานพักฟื้นสำหรับหมาอีกสองตัว คือน้อยหน่ากับตะโก้

น้อยหน่าไม่ชอบสุงสิงกับใคร จึงหลบไปนอนใต้ตู้กับข้าว เหลือแต่ตะโก้ที่ยืนจ้องหน้าฉันสลับกับหน้าหมาใหม่ เหมือนจะข้องใจว่า “พาใครมาอีกละเนี่ย”

“ตะโก้ นี่น้องชื่อแตงกวานะ อย่าแกล้งน้องล่ะ” ฉันสั่ง ตะโก้กระดิกหางรับ ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยว ส่งเสียงขู่ดังฮื่อๆ ใส่น้องใหม่ แตงกวายืนตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มต้วลงนอนหงายกางขาอันเป็นท่ายอมจำนน

ฉันเห็นแล้วก็วางใจ คิดว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

.........................

ความวุ่นวายเริ่มทะยอยมาอย่างต่อเนื่องเหมือนมีใครจัดให้ นอกจากรักษาแผลและโรคผิวหนัง แตงกวายังเวียนไปหาหมอด้วยโรคหวัด โรคเลือดจาง โรคพยาธิเม็ดเลือด และโรคลำไส้อักเสบ เรียกว่าไม่มีช่วงไหนที่แตงกวาว่างเว้นจากโรค ในขณะที่กระเป๋าของฉันก็เริ่มว่างเว้นจากสตางค์

โรคหลังนี้อันตรายที่สุดเพราะอัตราตายมากกว่ารอด แตงกวาทั้งอึทั้งอ้วกจนหมดแรง ต้องฉีดยาและให้น้ำเกลือต่อเนื่องหลายวัน มันนอนหายใจแผ่วๆ จนฉันเกือบขุดหลุมรอ แต่โชคดีที่ไม่ได้ขุด

เมื่อฟื้นจากโรคลำไส้อักเสบ ฉันพยายามบำรุงแตงกวาอย่างหนักเพื่อให้มันแข็งแรงพอที่จะฉีดวัคซีนได้ วันที่หมอยื่นสมุดวัคซีนประจำตัวมันให้นั้น ฉันยิ้มแฉ่งและพูดกับหมอว่า “คงหมดเรื่องเสียทีนะคะ”

หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น แตงกวาเริ่มมีอาการหิวผิดปกติ มันปลุกฉัน(หรือไม่ก็แม่) ตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขอกิน กินเข้าไปไม่ถึงห้านาที มันก็อึออกมา อึเหลวเป็นน้ำเหมือนคนท้องร่วงอย่างหนัก มากมายไหลนองออกพ้นกระดาษที่ปูให้จนต้องเช็ดเป็นการใหญ่ ชั่วโมงถัดมามันหิวอีก กินแล้วก็อึพรั่งพรูออกมาอีก สรุปว่ามันหิวและอึแทบทุกชั่วโมง วิ่งไปอึบนกระดาษไม่ทันก็หลายหน ฉันกับแม่เช็ดบ้านกันจนหมดแรง

........................

แตงกวากินมากขึ้นจนน่าตกใจ แต่ผอมกะหร่องเหมือนหมาขาดอาหาร แม่ฉันบ่นว่ามันอึวันละสิบรอบจะเอาอะไรไปอ้วน แม่คงจะผอมตามหมาในไม่ช้านี้เพราะไม่มีเวลากินข้าว(มัวแต่เช็ดอึ)

แรกๆ นั้น แตงกวาจะวิ่งไปอึบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ปูไว้หลังบ้าน แต่ปริมาณและความถี่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้พิกัดการอึของมันกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ที่ร้ายคือไปอึบนที่นอนของน้อยหน่ากับตะโก้ วงแตกสิคะงานนี้

หมาทั้งสองเริ่มไม่เป็นสุขเพราะถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ฉันต้องหาโต๊ะมาทำที่นอนให้มันใหม่ แม่ปูกระดาษหนังสือพิมพ์หนาๆ ทั่วบ้านเพื่อให้เก็บอึที่เหลวเป็นน้ำได้ง่ายขึ้น ฉันต้องควานหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์จากร้านค้าทั่วตลาด เพราะใช้วันละเกือบครึ่งกิโล  

หมอบอกว่า กระเพาะของแตงกวาขาดจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากการรักษาโรคลำไส้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อได้พลอยฆ่าจุลินทรีย์ดีๆ ในกระเพาะมันไปหมด พูดง่ายๆ คือมันย่อยไม่ได้ วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยมันคือการให้กินยาคูลท์ (ที่มีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสนั่นละค่ะ)

แตงกวาเกลียดยาคูลท์ แค่ได้กลิ่นมันก็ดิ้นพราดๆ ฉันต้องบังคับจับปากมันแล้วป้อนด้วยไซริงค์ มันอดทนกลืนได้แค่วันละครึ่งขวด(มากกว่านั้นจะอ้วก) คนจัดการที่เหลือคือแม่ฉันเอง

“นึกถึงเมื่อก่อนที่ต้องกินของเหลือจากลูกๆ เพราะเสียดาย” แม่พูด “ดีนะเนี่ยที่แม่ชอบกินยาคูลท์”

หนึ่งเดือนผ่านไป หมดยาคูลท์ไปสามสิบกว่าขวด ค่ากระดาษหนังสือพิมพ์อีกหลายสิบกิโล แตงกวายังคงหิวบ่อย อึบ่อย แต่ก็ร่าเริงดี แม่ผู้สังเกตการณ์ทุกวันรายงานฉันอย่างดีใจว่า “เริ่มมีเนื้อมากกว่าน้ำแล้วละ” ฉันโทรศัพท์รายงานหมออีกต่อหนึ่ง หมอบอกว่าให้มันกินยาคูลท์ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าอึจะเป็นก้อน

......................

เล่ามาถึงบรรทัดนี้ ยังไม่รู้เลยว่ามันมีปรัชญาชีวิตซ่อนอยู่ตรงไหน ฉันเพียงแต่ยินดีที่พบว่า ตัวเองสามารถเก็บอึเละๆ ของหมาได้โดยไม่ลำบาก บางคนอาจถามว่า น่าภูมิใจตรงไหน น่าคลื่นไส้มากกว่า

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มีหลายรูปแบบ แต่ฉันคิดว่า การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถภูมิใจได้พอๆ กัน 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…