Skip to main content

วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม


ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น หรือความบันเทิงพร้อมสาระแบบเดียวกับทอล์คโชว์หรือละครหลังข่าว


มาตาปารี เด็กชายจากดวงดาว” เป็นผลงานเขียนของ เอ็มมานูเอล ดอนกาลา นักเขียนจากสาธารณรัฐคองโก แห่งทวีปแอฟริกา และแปลเป็นไทยโดยนักเขียนรางวัลซีไรท์นวนิยายของไทย งามพรรณ เวชชาชีวะ


เอ็มมานูเอล ดอนกาลา เป็นชื่อไม่คุ้นหูของวงการนักอ่านบ้านเราซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะหากไม่มีการแปลออกมาเป็นไทยแล้วก็ยากที่คนไทยจะรู้จัก หรือแม้เมื่อแปลเป็นไทยแล้วหลายคนก็ไม่คุ้นหูอยู่ดีเพราะรสนิยมการอ่านจะเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงวรรณกรรมประเภทนี้ อย่างไรก็ตามต้องขอชื่นชมนักแปลและสำนักพิมพ์ที่กล้าพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมาแม้จะคาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่าผลลัพธ์ในแง่ของยอดขายจะเป็นอย่างไร


เอ็มมานูเอล ดอนกาลา เป็นทั้งนักเขียนและนักวิชาการ เขาเคยสอนในมหาวิทยาลัยบราซซาวิล ในสาธารณรัฐคองโก ก่อนจะย้ายไปอยู่แมสซาซูเซตส์ และสอนที่ไซมอนส์ ร็อค แห่งมหาวิทยาลัยบาร์ด เขามีความสนใจเป็นพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเคมี ซึ่งเขาได้สอดแทรกเกร็ดความรู้ด้านนี้ไว้โดยทั่วไปในวรรณกรรมเรื่องนี้


ข้อสังเกตประการหนึ่งเมื่อได้อ่านประวัติเบื้องต้นของเขาก็คือ เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สนใจการเขียนวรรณกรรมซึ่งยากที่จะเป็นไปได้ในวงการวรรณกรรมของเมืองไทย ที่นักเขียนกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยจะแยกออกจากกันค่อนข้างเด็ดขาด นักวิชาการเป็นเพียงแค่กรรมการตัดสินวรรณกรรมประจำปีในรายการต่าง ๆ ในขณะที่นักเขียนมีสถานะที่ตกต่ำลงทุกวัน? อันเนื่องมาจากการผลิตงานที่ไร้คุณภาพและไม่สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป ?


แม้ว่าบรรดานักเขียนและ/หรือศิลปินจะพยายามเข้ามามีบทบาทในสังคมการเมือง (แบบเดียวกับนักวิชาการ)โดยการเคลื่อนไหวเรียกร้องในประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับ “ภาคประชาชน” ก็ไม่ได้ทำให้สถานะนักเขียนและ/หรือศิลปินดูดีขึ้นมาแต่ประการใด


นักเขียนและ/หรือศิลปินบางรายอาศัยกระแสสังคมการเมือง ที่มีความขัดแย้งแหลมคมระหว่างสองขั้วฉวยโอกาสผลักดันตนเองให้เข้าไปมีบทบาทร่วม โดยยึดถือเอาแนวคิดในเรื่องชาตินิยมคับแคบล้าสมัยเป็นตัวนำทางโดยคิดเอาง่าย ๆ ว่าแนวคิดในเรื่องชาตินิยมอย่างประเด็นเรื่อง “เขาพระวิหาร” จะสามารถสร้างความนิยมชมชอบหรือได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญโดยไม่ดูข้อเท็จจริงหรือคิดให้ลึกซึ้งว่าแนวคิดเรื่องชาตินิยมขาดสติที่สมาทานอยู่นั้น ก่อให้เกิดผลดีผลเสียแท้จริงอย่างไรบ้างต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งการหาข้าวกินไปวัน ๆ นั้นสำคัญกว่าการถกเถียงเคลื่อนไหวไร้สาระเรื่องเขาพระวิหาร-นี่เป็นตัวอย่างของนักเขียนและ/หรือศิลปินที่ไม่รู้จักโตทางความคิดซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ “ตก” ขบวนรถไฟแห่งความเปลี่ยนแปลง


วรรณกรรมฉลาด ๆ และมีอารมณ์ขันอย่างร้ายกาจ เรื่อง “มาตาปารี” นี้อาจช่วยสร้างสรรค์คำตอบหรือหาทางออกให้ได้บ้างในแง่ของการไม่ยึดติดกับแนวคิดอะไรเลยไม่ว่าจะเป็น “สังคมนิยม” “กษัตริย์นิยม” และแน่นอน ”ชาตินิยม” ซึ่งต่างก็มีข้อจำกัดและล้วนแล้วแต่กดขี่เอาเปรียบประชาชนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น


เรื่องราวต่าง ๆ ในวรรณกรรมเรื่อง “มาตาปารี” ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของเด็กชายที่ชื่อ “มาตาปารี” เขาเป็นเด็กแฝดคนที่สามที่คลอดออกมาทีหลังพี่ชายสองคนนานมากจนใคร ๆ พากันคิดว่าแม่มีเพียงแฝดสองเท่านั้น มาตาปารีมีนิสัยแตกต่างกับพี่ชายอีกสองคนอย่างสิ้นเชิง และพี่ชายทั้งสองคนพากันกลัวเขาเพราะความแปลกประหลาดบางอย่างของเขา


แม้ว่าเรื่องราวจะถูกเล่าผ่านสายตาของเด็กแต่เนื้อหาที่เล่าหาได้เป็นแบบเด็ก ๆ ไม่ วรรณกรรมพาผู้อ่านเข้าสู่การวิพากษ์วิจารณ์ของตัวละครเด็กอย่างมีอารมณ์ขัน แต่ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปด้านต่าง ๆ ในยุคแห่งสาธารณรัฐคองโก วรรณกรรมเล่มนี้ก็ไม่ละเลยที่จะวิพากษ์วิจารณ์ลัทธิอาณานิคมเสียก่อนเป็นเบื้องแรก


คนฝรั่งเศสหาผลประโยชน์จากเรามากเสียจนเมื่อยี่สิบปีก่อนเราลุกฮือต่อต้านการเอาเปรียบที่เรียกว่า “ลัทธิอาณานิคม” และเราก็ปลดแอกจนเป็นไท หมายความว่าเรากุมชะตาชีวิตตัวเองได้ แต่ในเมื่อเราไม่สามารถขับไล่ทุกอย่างที่คนฝรั่งเศสเอามาให้ และเราใกล้ชิดผูกพันมาเกือบหนึ่งศตวรรษ เราจึงนำบรรพบุรุษกลับมาโดยยังคงรักษาพระเยซู คัมภีร์ไบเบิลและไม้กางเขนไว้ เรายังคงเก็บรักษาภาษาฝรั่งเศสไว้เคียงข้างภาษาของเรา เช่นเดียวกับเสื้อผ้าคนขาว ไวน์แดง เนยแข็งกามองแบร์และขนมปังบาแก็ต เหมือนกับว่าเราเกิดใหม่จากสองรากเหง้า” (หน้า 13-14)

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…