Skip to main content

1. คำนำ

ขณะนี้มีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังครุ่นคิดถึง
"การเมืองใหม่" ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่ามันคืออะไรกันแน่ ทราบแต่ว่า "การเมืองเดิม" ซึ่งก็คือการเมืองแบบตัวแทน (representative democracy) กำลังมีปัญหาหลายอย่างและรุนแรงขึ้นทุกขณะ

บทความนี้จะนำเสนอความล้มเหลวของ "การเมืองแบบตัวแทน" อย่างสั้นๆ พร้อมกับนำเสนอ "การเมืองแบบไฮเพอร์ (hyperpolitics)" ให้พอเป็นประกายเบื้องต้น หากสังคมนี้สนใจก็มีช่องทางให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมกันต่อไป

2. สาเหตุความล้มเหลวของการเมืองแบบตัวแทน

เราท่องกันจนขึ้นใจมาตั้งแต่วัยเด็กแล้วว่า สาเหตุสำคัญของการมี "การเมืองแบบตัวแทน" คือเป็นเพราะคนมันเยอะ สภามันแคบจึงต้องมีการเลือกตั้ง "ผู้แทน" เข้าไปพูด ทำหน้าที่แทนเราในสภา

คำถามก็คือว่า แล้วผู้แทนที่เราเลือกเข้าไปแล้ว ได้ทำหน้าที่ตามเจตจำนงที่ประชาชนผู้เลือกตั้งได้กำหนดไว้หรือไม่ ขอย้อนไปดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ สักสองตัวอย่าง

ตัวอย่างแรก การเปิดรัฐสภาเพื่ออภิปรายรับฟังความคิดเห็นของ ส.. และ ส.. ครั้งล่าสุด (รัฐบาลสมัคร) ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้อภิปรายกันสักคำเลย ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลก็ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีต่อไป ตัวอย่างที่สอง ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไป (ธันวาคม 2550) พรรคชาติไทยได้ให้สัญญาก่อนการเลือกตั้งว่า "จะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชาชนอย่างเด็ดขาด" จนทำให้นักวิชาการชื่อดังท่านหนึ่งถึงกับเสนอยุทธศาสตร์การลงคะแนนให้กับประชาชน แต่แล้วพรรคชาติไทยก็ได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนเองได้สัญญาไว้

จากตัวอย่างทั้งสองได้สะท้อนว่า "การเมืองแบบตัวแทน" เป็นสิ่งที่ล้มเหลว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เลือกได้ ไม่เฉพาะแต่สองตัวอย่างนี้ที่ชัดเจนนี้เท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ให้เห็นทั่วไปจนนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งสิ่งที่นักการเมืองชอบอ้างว่า ตนเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่มาจากการเลือกตั้ง ใครไม่พอใจอะไรก็ขอให้ใช้กระบวนการทางรัฐสภา อย่าใช้คนข้างถนนจำนวนหยิบมือเดียวมาบีบ

จนอาจกล่าวได้ว่า การเมืองแบบตัวแทนเป็น "ยาที่หมดอายุ" ไม่ใช่ "นักการเมืองหมดอายุ" ตามที่มีการโต้เถียงกันก่อนหน้านี้

เราลองดูทัศนะของนักปราชญ์ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนกันสักหน่อย ท่านคือ อมาตยา เซ็น (Amartya Sen) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 2531 ท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานคลุกคลีอยู่กับนโยบายเพื่อคนจนมาตลอด นักข่าวถามท่านว่า

คุณพอจะบอกเหตุผลได้ไหมว่า ทำไมจึงยึดมั่นและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่คลอนแคลนมาตลอดชีวิต? ท่านอมาตยา เซ็น ได้สรุปไว้ 2 ข้อใหญ่ๆ คือ เพราะ
1.ประชาธิปไตยอำนวยโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและถกเถียงกันด้วยเหตุผล
2.ประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้เรียกร้องความยุติธรรมและความเท่าเทียม รวมทั้งปฏิเสธนโยบายต่างๆ ที่สังคมยอมรับไม่ได้

ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันคิดทบทวนดูว่า (1) ในกระบวนการประชาธิปไตยในเมืองไทยได้มีการถกเถียงกันด้วยเหตุผลหรือไม่ เริ่มตั้งแต่การตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง การซื้อเสียง การอภิปรายในสภาและ (2) การปฏิเสธนโยบายต่างๆ การประท้วง การร้องเรียน รวมถึงการนัดหยุดงาน เป็นสิ่งที่เป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่

เท่าที่ผมได้สัมผัส ผมรู้สึกว่าสังคมไทยเรามีความบกพร่องในกระบวนที่นำไปสู่ "การเมืองแบบตัวแทน" อย่างรุนแรง เมื่อกระบวนการหรือ "มรรค" บกพร่องเสียแล้ว ก็ย่อมนำไปสู่ผลล้มเหลวจนต้องคิดค้นหาการเมืองใหม่

3. การเมืองแบบไฮเพอร์

นักคิดบางกลุ่ม (http://www.edge.org/ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติกับนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งที่เขียนหนังสือชื่อ Dreams of Reason: The Rise of the Sciences of Complexity) ได้นำเอาคำบรรยายของผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ท่านหนึ่ง มาเป็นข้อสรุปถึงความล้มเหลวของประชาธิปไตยแบบตัวแทนว่า

"การกระจายอำนาจใหม่ (power redistribution) ในศตวรรษที่ 21 ได้ขับเอาประชาธิปไตยแบบตัวแทนออกไปแล้ว ประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้แก้ปัญหาที่ท้าทายอยู่ข้างหน้า และการที่จะเริ่มต้นฟื้นฟูขึ้นใหม่ก็ไม่เพียงพอแล้ว ในอนาคตดูเหมือนไม่มีอะไรที่เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยมักแสวงหาความเข้มแข็งของปัจเจกบุคคล"

ผู้เชี่ยวชาญที่ว่านี้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เขาชื่อ มาร์ก เพสซิ (Mark Pesce) ศาสตราจารย์เพสซิได้แสดงปาฐกถาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เวที "Personal Democracy Forum" ที่ศูนย์ลินคอล์น นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้เอง

ท่านที่สนใจและสามารถเข้าถึงอินเตอร์เนตได้กรุณาเข้าไฟฟังเสียงบรรยายและอ่านเอกสารได้ที่ http://blog.futurestreetconsulting.com/ จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันวิจารณ์ สำหรับผมเองจะค่อยๆ ทำความเข้าใจแล้วนำมาเสนอต่อสาธารณะครับ

ศาสตราจารย์ท่านนี้อ้างถึงผลงานของนักวิชาการท่านอื่นๆว่า มนุษย์เราได้มีมานานประมาณ 6 หมื่นปี เรามีร่างกายที่ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ เรามีสมองที่โตกว่า เรามีกล่องเสียงที่สามารถสื่อสารได้หลากหลายเสียง เรามีหัวแม่มือกับนิ้วชี้ที่สามารถจับสิ่งของได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น โดยสรุปคือเรามี "ฮาร์ดแวร์" ที่วิเศษมาก แต่มันใช้เวลานานมากในการพัฒนา "โปรแกรม" เพื่อมารองรับกับฮาร์ดแวร์ดังกล่าวเพื่อให้ได้ใช้งานอย่างเต็มความสามารถ

มนุษย์เริ่มใช้เสียง ท่าทาง เครื่องพิมพ์ในการสื่อสาร แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เนต ได้เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้สื่อสารถึงกันอย่างรวดเร็วในอัตราเร่ง

การสื่อสารได้ช่วยให้มนุษย์ได้มีการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

เมื่อสิบปีก่อน โลกได้ผ่านพ้นจากสภาพที่คนครึ่งโลกไม่เคยได้รับโทรศัพท์เลย มาสู่สภาพที่คนครึ่งโลกมีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง คาดกันว่าอีก 2 ปีข้างหน้ากว่า 80% คนในโลกจะมีโทรศัพท์มือถือ

เมื่อปีที่แล้ว ทั่วโลกมีการส่ง SMS ถึงกันจำนวนกว่า 43 พันล้านข้อความ (เฉลี่ยคนละ 7 ข้อความต่อปี) นอกจากนี้ระบบการสื่อสารผ่านอินเตอร์เนตแบบสามมิติที่สามารถตอบสนองได้ทันที (VRML) ที่มีทั้งเสียง ภาพสีและมองได้หลายมุม

เราเรียกการสื่อสารยุคใหม่นี้ว่า "การเชื่อมต่อแบบไฮเพอร์ (hyperconnected)"

สังคมไทยเราเข้าใจคำว่า "ไฮเพอร์ (hyper)" จากคำว่า "เด็กไฮเพอร์" ซึ่งหมายถึงเด็กที่ไม่ค่อยปกติทางกิจกรรมที่แสดงออก ชอบอยู่ไม่นิ่ง เล่นโน่น ทำนี่ไปเรื่อย และบางครั้งอาจจะสมาธิสั้นกว่าเด็กๆ ทั่วไปด้วย ทางการแพทย์เชื่อกันว่าเด็กไฮเพอร์เกิดจากความบกพร่องที่มาจากหลายสาเหตุ รวมทั้งอาจเป็นเพราะกินของหวานจนมากเกินไปด้วย.

ในทางวิชาการสาขาอื่น คำว่า "ไฮเพอร์" ใช้เติมหน้าคำอื่นเพื่อบ่งบอกถึงความ "มากกว่า" หรือ "เหนือกว่า" เช่น ความเร็วที่มากกว่าความเร็วเสียง เราเรียกว่า "ซุพเพอร์โซนิค(supersonic)" เราใช้คำว่า "ซุพเพอร์" เติมหน้า "โซนิก" ซึ่งหมายถึงเกี่ยวกับเสียง แต่ "ไฮเพอร์โซนิก (hypersonic)" เป็นระดับของความเร็วของวัตถุใดก็ตามที่สูงกว่าความเร็วเสียงถึงห้าเท่าตัว ดังนั้น คำว่า "ไฮเพอร์ (hyper)" จึงเหนือกว่าหรือมากกว่า "ซุพเพอร์ (super)" มากมายนัก

หลายสิบปีก่อน เราทั้งหลายรู้จักและเข้าใจดีถึงพลังของ"ซุพเพอร์แมน (superman)" ที่สามารถเหาะได้และแข็งแรงพอที่จะผลักลมพายุให้เปลี่ยนทิศทางได้ ในระยะหลังเรารู้จัก "ซุพเพอร์มาร์เก็ต" ที่ทำเอาร้านโชห่วยดั้งเดิมของเราเจ๊งไปตามๆกัน

ดังนั้นเราลองจินตนาการดูซิครับว่า ถ้าเรามีคำว่า "ไฮเพอร์แมน (hyperman)" หรือ "ไฮเพอร์มาเก็ต" แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ก่อนจะกล่าวถึง "การเมืองแบบไฮเพอร์ (Hyperpolitics)" ผมขออนุญาตขยายความให้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง คราวนี้แหละท่านจะเข้าใจความหมายของคำได้ชัดเจนขึ้น ในวงการคณิตศาสตร์ ถ้าเราใช้คำว่า "ไฮเพอร์" เติมหน้าคำว่า "ลูกบาศก์(cube)" ซึ่งหมายถึงรูปทรงเรขาคณิตที่เป็นรูปลูกบาศก์หรือลูกเต๋าซึ่งมีสามมิติที่เราสามารถสัมผัสด้วยสายตาหรือลูบครำได้ แต่คำว่า "ไฮเพอร์ลูกบาศก์ (hypercube)" หมายถึงรูปทรงเรขาคณิตที่มีมิติตั้งสี่ขึ้นไป คราวนี้แหละเราคนธรรมดาๆ ไม่สามารถจินตนาการได้ว่า มันคือรูปทรงอะไรกันแน่ แต่นักคณิตศาสตร์เขาสามารถเข้าใจและว่ากันไปตามภาษาของเขาได้

เมื่อเรามีการเชื่อมต่อแบบไฮเพอร์เป็นโปรแกรมแล้ว สังคมจะเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ท่านเรียกการเรียนรู้นี้ว่าว่า "การลอกเลียนแบบชนิดไฮเพอร์ (Hyperminesis)"

ท่านติดตามการถ่ายทอดสดของเวที "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ย่อมสังเกตเห็นพฤติกรรมดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แม้แต่คำทักทายก็ขึ้นต้นด้วย "พ่อแม่พี่น้องเฮอ สู้ไม่สู้" ฯลฯ

พฤติกรรมของมนุษย์ที่นิยมลอกเลียนแบบกันมาจากรุ่นแล้วรุ่นเล่า ในปัจจุบันการเรียนรู้เป็นไปอย่างรวดเร็ว แผ่ซ่านไปอย่างกว้างขวาง ท่านใช้คำว่า "กระจายตัวแบบไฮเพอร์(hyperdistribution)" โดยผ่านทาง "การเชื่อมต่อแบบไฮเพอร์"

"มนุษย์ต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วยเอกสารที่เราส่งถึงกัน และแต่ละสิ่งใหม่จะกลายเป็นโปรแกรมใหม่สำหรับความรุ่งเรืองใหม่ๆ"

ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้จะทำให้ผู้รับได้พัฒนาขึ้น รู้เท่าทันกลลวงของนักการเมือง ท่านใช้คำว่า "ความเข็มแข็งแบบไฮเพอร์ (Hyperempowerment)"

ความพยายามที่จะปิดกั้นการกระจายของข้อมูลข่าวสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ในตอนหนึ่ง ผู้บรรยายได้กล่าวว่า "พัฒนาการทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีมากว่า 5 หมื่นปี อาจจะถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงภายในเวลา 20 ปี ด้วยการสื่อสารแบบไฮเพอร์"

การเมืองแบบไฮเพอร์จะเปลี่ยนแปลงสังคมโลกไปอย่างที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ คาดไม่ถึงก็แล้วกัน ผู้บรรยายสรุป

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org