Skip to main content

ปลายเดือนตุลาคม ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรกในรอบหลายปี ทั้งที่จริง ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องไปแต่อย่างใด เพราะครอบครัวของผม บ้านของผม ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่ มีเพียงความทรงจำตลอดสิบแปดปีที่ผมได้เติบโตมา


โรงเรียน บ้านพักอาจารย์ สนามเด็กเล่น หอนาฬิกา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สถาบันราชภัฎซึ่งเมื่อก่อนคือวิทยาลัยครู ทุกๆ สถานที่ที่คุ้นเคย ยังปรากฎภาพชัดเจนทุกครั้งที่ระลึกถึง


แต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในวันนี้ เหลือเพียงแค่ร่องรอยบางส่วนจากอดีต


เพราะวันนี้ เมืองเติบโตขึ้นมาก อาคารเก่าๆ ถูกรื้อถอนกลายเป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก กลายเป็นอาคารพาณิชย์สูงหลายชั้น ร้านข้าวขาหมูเจ้าประจำ ร้านชำเจ้าเก่า เป็นเพียงภาพในความทรงจำ ถนนหนทางที่ตอนเป็นเด็กเคยรู้สึกว่ามันแสนไกลก็ดูเหมือนจะใกล้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว


ความรู้สึกขณะที่เห็นนั้น จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ จะว่าสุขก็ไม่เชิง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เคยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน คล้ายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านเกิดของตัวเอง


ผมแวะไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอเป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับผม และเป็นเพื่อนในกลุ่มที่สนิทและยังติดต่อกันอยู่จนกระทั่งทำงาน เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่หลังจากเรียนจบแล้ว เลือกที่จะกลับมาหางานทำที่บ้าน


“...
เหมือนเดิม แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยนะ...” เธอทักผมเมื่อเจอหน้า

ผมหัวเราะ แต่สะดุดใจกับคำทัก

คำทักธรรมดาๆ ของเธอทำให้ผมประหลาดใจ


แน่นอน...เราต่างรู้ดี ไม่มีใครเหมือนเดิม ไม่มีใครไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องพูดถึงว่า สิบกว่าปีที่ผ่านมา เราแต่ละคนต่างเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดไหน อาจมากจนกระทั่ง เราลืมไปว่าเราเคยเป็นอย่างไร แต่การได้เจอเพื่อนเก่า กลับทำให้เราได้เห็นความเหมือนเดิม ในตัวเรา และในตัวเพื่อน สำหรับคนที่ไม่ได้เจอเพื่อนเก่านานหลายปีอย่างผม “คนเดิม” ในตัวผม ถูกหลงลืมไปนานอย่างเหลือเชื่อ


“...
เพื่อนๆ ตามหาตัวกันแทบแย่ หาตัวยากจริงๆ ว่าจะชวนมางานแต่งงานเราซะหน่อย...” เธอหยิบการ์ดแต่งงานซึ่งเป็นรูปคู่ของเธอกับเจ้าบ่าวของเธอ ส่งให้

ผมมองการ์ดแต่งงาน ประหลาดใจเป็นครั้งที่สอง


เจ้าบ่าวของเธอ เป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กของผม เราไปมาหาสู่กันตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมต้น ตอนขึ้นมัธยมปลาย เรามาเรียนที่เดียวกัน แต่อยู่กันคนละห้อง ผมไม่ได้ติดต่อหรือรับรู้ความเป็นไปของเขาอีกเลยตั้งแต่เรียนจบ ม.6

วันนี้ เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวของเพื่อนผม

โลกช่างกลมเหลือเกิน


เมื่อกลับมา ผมกลับกังวลกับสองเหตุผล ที่ทำให้ผมไม่อยากไปงานแต่งงานของเพื่อน

หนึ่ง ผมเพิ่งจะกลับไป ซึ่งค่าเดินทางนั้นก็มากโขอยู่ ถ้าจะไปอีกครั้ง ก็หมายความว่าผมต้องจ่ายอีกไม่น้อยเลย

สอง เนื่องจากพ่อแม่ของเจ้าบ่าวเป็นอาจารย์ผู้สอนในสถาบันเดียวกับที่พ่อของผมเคยสอน ก็หมายความว่า งานนี้จะต้องมีอาจารย์ซึ่งรู้จักกับพ่อมาร่วมงานจำนวนไม่น้อย


ด้วยเหตุที่ผมไม่ได้พบเจอ ไม่ได้ติดต่อใครเลยตลอดหลายปี ทั้งที่หลายๆ คนมีบุญคุณเคยช่วยเหลือครอบครัวของผม ทำให้ผมกลัวบางสิ่งที่ผมเองก็อธิบายไม่ได้ เป็นความกลัว ของเด็กคนหนึ่ง สำหรับการที่ต้องเจอผู้ใหญ่หลายคน ที่ไม่ได้เจอมาเป็นเวลานาน

คล้ายๆ ตัวเองเป็นเด็กไม่รู้จักบุญคุณ ไม่เคยส่งข่าวใดๆ ให้ผู้ใหญ่รับรู้

แต่มีเหตุผลเพียงข้อเดียว ที่ผมอยากมางานแต่งงานของเพื่อน

คือ ผมอยากเจอเพื่อน


ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนแบบค่อนข้างจะพร้อมหน้าแค่ 1-2 ครั้ง หลังจากเรียนจบและทำงาน ผมได้เจอกับเพื่อนๆ อีกครั้งในงานแต่งงานของเพื่อนคนหนึ่ง และอีกครั้งในงานแต่งงานของผมเอง


สรุปแล้ว สิบกว่าปีหลังจากเรียนจบ ม.6 ผมได้เจอเพื่อนน้อยครั้งเหลือเกิน ยิ่งในช่วงหลังจากแต่งงานและโยกย้ายไปอยู่ทางเหนือด้วยแล้ว ผมแทบจะไม่ได้ติดต่อใครเลย


ที่จริง เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องสุดแสนจะธรรมดาของชีวิตคนยุคนี้


เมื่อเราเติบโตขึ้น ทำงาน มีครอบครัว มีชีวิตของใครของมัน แยกย้ายกันไปอยู่หลายแห่งหลายที่ตามแต่ชีวิตจะพาไป โอกาสที่จะมาเจอกันก็คงมีแค่งานแต่งงานของเพื่อน (คงไม่มีใครคิดอยากจะไปเจอเพื่อนในงานศพ) ที่ยังติดต่อ พบเจอกันอยู่ ก็เป็นแค่กลุ่มเพื่อนสนิทไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย สำหรับบางคน เกือบจะลืมกันไปแล้ว


สำหรับผม

ไม่มีช่วงเวลาใดในชีวิตที่จะเปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดังเช่นช่วงเวลาเหล่านั้น…


เราเคยลงหุ้นออกร้านขายของในงานโรงเรียน (และเจ๊ง)

เราเคยลงแข่งกีฬาระหว่างห้อง (และตกรอบ)

เราเคยประกวดเต้นลีลาศ (และตกรอบ-เช่นเคย)

เราเคยร่วมกันซ้อมละครของโรงเรียนอย่างหามรุ่งหามค่ำ และออกแสดงด้วยกัน

เราเคยเรียนเลิกสองทุ่ม ทั้งที่ไม่ต้องการ แต่ครูปรารถนาติวเข้มให้พวกเราเป็นการพิเศษ

เราเคยกอดคอกันร้องไห้ตอนที่สอบไม่ติดโควต้า

ฯลฯ


แน่ละ ความทรงจำที่ไม่ดีมันก็มีอยู่ แต่มีน้อย น้อยเสียจนไม่คิดจะจำ แถมบางเรื่องก็กลายเป็นเรื่องตลก ที่ย้อนคิดทีไรก็ขำทุกที


ขณะที่ผมดำเนินชีวิตอย่างคนห่างอดีต แต่เพื่อนหลายคนกลับไม่เคยลืมผม และยังพยายามติดต่อผมอีกด้วย


เพื่อนไม่เคยลืมผม แม้ว่าผมเกือบจะลืมเพื่อนไปแล้วก็ตาม …

ห้าวันก่อนวันงาน ผมยังคิดไม่ตกว่า ควรจะไปดีหรือเปล่า แล้วขณะที่ผมกำลังลังเล แต่ค่อนไปทางจะไม่ไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

...นี่...มีรถไปงานแต่งแล้วนะ เดี๋ยวนั่งรถไปด้วยกัน...”

ในที่สุด ผมเดินทางไปและกลับ ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน

ได้ที่พักและการดูแลตลอดทริป จากเพื่อน

ผมได้รับน้ำใจอย่างมากมายจากเพื่อนทุกคน น้ำใจที่แสดงออกทั้งทางคำพูด รอยยิ้ม และสายตา บางคนเพียงแค่ได้เห็นหน้า ได้ทักทาย ได้ยิ้มให้กัน ก็รู้สึกดีมากเหลือเกิน


สิ่งที่ผมกลัวกลับหายไป ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่อาจอธิบายได้ คุณป้า คุณลุง คณาจารย์ทุกคน ต่างดีใจที่ได้เจอผม ทุกคนเข้ามาไถ่ถาม จับไม้จับมือ ความอาทรห่วงใยที่ท่วมท้น ทำให้ผมตื้นตันจนพูดไม่ถูก


ปมในใจของผมคล้ายกับถูกคลายออกทีละน้อย อดีตที่ผมเคยลืม แกล้งทำเป็นลืม หรือพยายามจะลืม กลับมาผสานกับปัจจุบันอีกครั้ง


เมื่อหันมองเพื่อนแต่ละคน ผมมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับรู้

เพราะสิ่งที่ดีที่สุด คือเราไม่มี และไม่ต้องการคำตัดสินใดๆ ให้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น เราต่างยินดี กับหนทางของเพื่อน

เพื่อนที่พาคนรักมาเปิดตัว และกำลังจะมีครอบครัว

เพื่อนที่เพิ่งจะมีครอบครัว ทั้งที่ได้วางแผนไว้ และทั้งที่มีโดยบังเอิญ

เพื่อนที่มีครอบครัวแล้ว ทั้งที่มีทายาทแล้ว (และอยากจะมีอีก) และที่ยังไม่มี

เพื่อนที่ยังโสด ยังพยายามแสวงหา

เพื่อนที่ยังโสด แต่ชัดเจนในความรักอิสระของตน

เพื่อนที่หมุนแต่เงินล้าน และเพื่อนที่จับแต่เงินร้อย

เพื่อนที่ชีวิตเริ่มนิ่ง และเพื่อนที่ยังดิ้นรน

เพื่อนทุกคน ได้เติบโต เปลี่ยนแปลง และคลี่คลายไปสู่หนทางชีวิตที่เขาเป็นผู้เลือกเอง


ผมดีใจที่ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ

เพราะมีเพื่อน ผมจึงได้รู้จักตัวเอง หากปราศจากเพื่อน ตัวตนของผมก็ไม่อาจครบถ้วน


สำหรับผม ไม่มากไปเลยที่จะบอกว่า เพื่อนเป็นเสมือนครอบครัวที่สอง และความเป็นเพื่อน คือ สมบัติล้ำค่า ที่ไม่อาจหาสิ่งอื่นใด มาทดแทนได้เลย


****



บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
เมื่อแรกแรกที่มีข่าวว่าโรคนี้เกิดขึ้นในโลก ใครใครก็พากันเรียกชื่อมันว่าไข้หวัดหมู เพราะว่ากันว่ามันเป็นโรคของหมูที่ดันมาติดคน(ถ้าหากมีโรคของคนไปติดหมูไม่รู้จะเรียกว่าไข้หวัดคนด้วยหรือเปล่า) แต่ต่อมาเขาไม่อยากให้เรียกไข้หวัดหมู เพราะเกรงว่าจะเป็นการใส่ร้ายหมูซึ่งไม่มีความผิด และจะทำให้หมูทั่วโลกพลอยถูกรังเกียจ แต่คงไม่ใช่ความกลัวว่าหมูจะประท้วง เพราะถึงอย่างไรหมูก็มีสิทธิ์อันชอบเพียงอย่างเดียวคือสิทธิ์ในการเป็นอาหารของมนุษย์ ไม่สามารถชูป้ายประท้วงหรือเขวี้ยงก้อนอิฐใส่ตำรวจปราบจลาจลได้แต่ประการใด
ฐาปนา
ไม่เคยมีใครถามถึงความยินยอมพร้อมใจของทั้งคู่เลยว่าอยากจะย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอนที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยพวกพ้อง มาอยู่ในเมืองร้อนที่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร หรือไม่ ถึงจะมีคนถาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้ หรือแม้พวกเขาจะตอบว่า "ไม่อยากไป" แต่พวกเขามีสิทธิ์ปฏิเสธละหรือ ? ...
ฐาปนา
10 คำถามตั้งต้น เพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า "นักลงทุน"1. จากคำพูดของนักธุรกิจการเมืองที่มักจะอ้างถึง"ความเชื่อมั่นของนักลงทุน" อยู่เสมอ น่าสงสัยว่านักลงทุนจะเป็นมนุษย์ประเภทขาดความเชื่อมั่น มากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป หรือไม่?ตอบ ไม่มีใครทราบ แต่ถ้าสันนิษฐานอย่างไม่มีฐานอ้างอิง การลงทุนก็จำเป็นต้องใช้ความเชื่อมั่นไม่น้อยไปกว่าการพนัน ทว่าในแง่ของเหตุผลน่าจะมากกว่า เพราะการพนันจะใช้ปัจจัยด้านอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ ขณะที่การลงทุนจะต้องใช้เหตุผล ตัวเลข ตัวแปร เอกสารต่างๆ มากมายก่อนการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยขั้นตอนซับซ้อน…
ฐาปนา
ลุงอู๋ ผู้ใหญ่บ้านประกาศเรียกประชุมชาวบ้านหมู่สิบสองตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงประกาศนั้นเน้นย้ำนักหนาว่า หนึ่งทุ่มตรงวันนี้ทุกคนต้องไปร่วมประชุมให้ได้ เพราะนี่คือเรื่องความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้าน และีทุกคนจะได้ประโยชน์ โชคดีที่วันนั้น เป็นช่วงว่างจากการทำไร่ ทำนา ที่สำคัญ ละครสุดฮิตที่ชาวบ้านติดกันก็เพิ่งจะจบลงไป พอตอนค่ำ ชาวหมู่บ้านจึงมาประชุมที่ศาลาอย่างหนาตา
ฐาปนา
ลุงเหมือน อดีตทหารผ่านศึก คนปลูกแตงโมมือวางท้อปไฟว์ประจำหมู่บ้าน นั่งมองไร่แตงโมอย่างสบายอารมณ์ปีนี้แตงโมราคาดีไม่น้อย พ่อค้ามารับซื้อหน้าไร่กิโลกรัมละสิบห้าถึงยี่สิบห้าบาท ยิ่งลูกใหญ่ยิ่งได้ราคา มดแมลงก็ไม่ค่อยจะกวนเท่าไร ลุงเหมือนกะว่าปีนี้คงได้เงินจากแตงโมสักห้าหกหมื่น แล้วจากนั้นจะได้ปลูกกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก แบบ "พอเพียง-เพียงพอ" บ้าง
ฐาปนา
ยายช้อย คนเคยรวย ชีวิตเปลี่ยนไปมาก หลังจากเป็นหนี้สหกรณ์ฯ หลายแสน ก็ใครจะไปคิดเล่า อยู่ๆ เคยเลี้ยงหมูได้กำไรทีละเป็นแสน จู่ๆ หมูราคาตก กำไรที่คาดหวังเลยเข้าเนื้อแทน เมื่อทนทำต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งขาดทุน ทุนหายกำไรหด จนกลายเป็นหนี้ ถึงที่สุดก็ต้องหยุดเลี้ยง ยายช้อยผู้เคยเดินชูคอสั้นๆ ป้อมๆ ของแกไปทั่วหมู่บ้าน ในฐานะเมียอดีตกำนันหลายสมัย มาบัดนี้ กลับไม่สง่าผ่าเผยเป็นคุณนายกำนันเหมือนเดิมอีกแล้ว
ฐาปนา
เกษตรทางเลือก เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เกษตรแนวใหม่ ฯลฯ ล้วนแต่น่าสนใจ และกำลังเป็นทางเลือกสำหรับการทำการเกษตรในอนาคตทว่า ชาวบ้านจำนวนมากก็ยังคงรู้จักอยู่แค่อย่างเดียวคือ เกษตรเคมี ฟังดูอาจจะขัดกับความรู้สึกของคนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง ที่กำลังอินกับกระแสรักสุขภาพ แต่ก็โปรดรับรู้เถิดว่า ผักที่ท่านซื้อจากตลาด(ไม่ว่าจะติดแอร์หรือไม่ก็ตาม) เกือบจะร้อยเปอร์เซนต์ ล้วนมีสารเคมีทั้งสิ้น  มากบ้างน้อยบ้างตามประเภทของผัก และตามปริมาณการใช้ของผู้ปลูก
ฐาปนา
ผมยังจำได้ดี ภาพของชายวัยเจ็ดสิบนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ คร่ำเคร่งอยู่กับการจิ้มนิ้วไปบนแป้นพิมพ์ดีด ขณะที่ข้างกายมีถังอ๊อกซิเจนขนาดใหญ่ต่อสายยางยาวมาสู่จมูกเป็นภาพที่ชวนให้ครั่นคร้าม ไม่น้อยไปกว่าชื่อเสียงเรียงนามในฐานะตำนานที่ยังมีชีวิตเจ้าของบ้านหันมาบอกให้รอประเดี๋ยว เดี๋ยวจะไปนั่งคุยด้วย ผู้นำทางจึงกระซิบให้ลงไปนั่งรอที่ห้องรับแขก
ฐาปนา
ชีวิตชาวนาชาวไร่ สินค้าที่ใช้ ร้อยละเก้าสิบเก้าหนีไม่พ้นซื้อจากร้านค้าในหมู่บ้าน นานๆ จะได้เข้าตลาดในอำเภอ หรือ ห้างใหญ่ในตัวจังหวัดเสียที ก็ของใช้จำเป็นอย่าง สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม ฯลฯ มันเป็นของประเภท ที่ไหนก็มี ซื้อที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ราคาอาจถูกแพงกว่ากันบ้างไม่กี่บาท น้อยรายที่สนใจรักสวยรักงามถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางค์ราคาเป็นร้อยเป็นพัน หรือ สินค้าเกรดเอ คุณภาพเกินร้อยอย่างที่เขาชอบโฆษณา
ฐาปนา
หลายปีที่ผ่านมา พื้นที่การเกษตรขยายตัวอย่างช้าๆ จากพื้นที่ดินเค็มหรือพื้นที่ดอนอันแห้งแล้งก็แปรเปลี่ยนเป็นที่สวน ที่ไร่ ที่นา เมื่อพื้นที่ขยายตัวไปมาก คลองส่งน้ำก็ถูกขุดต่อไปจนถึงพื้นที่ บางแห่งคลองไปไม่ถึงก็ขุดหาแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อจะพลิกฟื้นผืนดินไร้ชีวิตให้กลับมามีชีวิตให้ได้อัตราเร่งเพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ข้าว" มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ดินรกร้าง ที่ป่ารกเรื้อ ถูกรถไถจัดการเสียเรียบเตียน ไม่กี่วันก็พร้อมสำหรับการเพาะปลูก คลองส่งน้ำสายใหม่(เทคอนกรีต) ที่จะถูกต่อมาจากลำคลองสายหลักอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงรถเกรดดิน รถบรรทุก รถบด…
ฐาปนา
กลางเดือนกุมภาพันธ์ ดูเหมือนแดดจะแผดแสงก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้นเสียอีก ความร้อนแห่งวันเริ่มต้นพร้อมกับเสียงไก่ขัน เด็กๆ ไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ก็จับจอบจับเสียมเตรียมตัวไปไร่  หลังจากฤดูหนาว(กว่าปกติ)ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หน้าร้อนปีนี้ ก็เข้าแทนที่อย่างแทบไม่ทันตั้งตัว แต่ชีวิตคนใต้ท้องฟ้า จะร้อนจะหนาวแค่ไหนก็ได้แค่บ่น แล้วก็ทนๆ กันไป กระนั้น ความร้อนตามทุ่งนา ป่า เขา ก็ยังพอมีร่มให้หลบ มีลมเย็นพัดโชยให้คลายได้บ้าง
ฐาปนา
แสงสีแดงพาดผ่านท้องฟ้าสีดำ เหนือดินแดนปาเลสไตน์เหนือหมู่ตึกอันแออัดและทรุดโทรม ลูกเหล็กบรรทุกดินระเบิดพุ่งปะทะคอนกรีตหนึ่งลูก สองลูก สิบลูก ร้อยลูก พันลูก หมื่นลูก แสนลูก ล้านลูก