Skip to main content

หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้หนึ่งสัปดาห์ เสียงโทรศัพท์ทางไกลจากที่ราบกลางหุบเขา แห่งเมืองมายโจว ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ก็ดังกรี๊งกร๊าง ขึ้นมา “...อาโล้ถุกเลิมอ่า...ขันบ่าวล้า” (ฮัลโหล...”ถุกเลิม” (ชื่อภาษาเวียดของผู้เขียน) เหรอ สบายดีมั้ย) แล้วตามมาด้วยเสียงแห่งความห่วงใย “...ฮ่อมแล้วบ่...เป็นกู้ม...” (หายรึยัง ที่เป็นไข้) “หง่ำว่าน้องเจ็บเตียว บ่าเห่ฮ่อม” (คิดว่าน้องเจ็บหนักยังไม่หาย) ปากเราก็ตอบกลับไปว่า “น้องยังบ่ตาย ฮ่อมโม้ม เหวินขันยองหย่ายหล่อก” (น้องยังไม่ตาย หายแล้ว ก็ยังสบายตามประสาดอก) “มาฟังแกนอยู่ไถลาน มันเหิ่บเถ่ยเตี๊ยด น้อยก็หายหล่อก” (มาพักฟื้นที่เมืองไทย ปรับตัวกับสภาพอากาศได้ เด๋วก็หายป่วย) ผู้เขียนตอบไป...

พี่ซ้วน หญิงชาวบ้านมายโจว เวียดนามโทรมาถามด้วยความเป็นห่วง เดาว่าลึกๆ คงนึกว่าผู้เขียนเจ็บหนักมว๊าก หรืออาจจะเด๊ดสะมอเร่ไปแล้ว เพราะตั้งแต่ผู้เขียนไปร่วมงาน “เซ่นเมืองมุน” (ปัจจุบันคืออำเภอมายโจว จังหวัดฮว่าบิ่ง ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม) เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ป่วยเป็นไข้ ไปโรงพยาบาล แล้วกลับมานอนทนทุกเวทนาในหมู่บ้านไทขาวมาตลอด สัปดาห์กว่าๆ ก่อนที่จะโงหัวกลับไปฮานอยและเมืองไทยในที่สุด

ชาวบ้านคงคิดว่าผู้เขียนคงจะตายไปแล้ว เพราะไปทำให้ผี “ก่ามเถ๋ยหล่ะ” (รู้สึกแปลกๆ) (“เกิ่นเล้อ...เกิ่นหล่ะ บ่าวแม่นไตเฮา” – ใครหว่า หน้าตาแปลกๆ ไม่ใช่ลูกหลานไทเรา) เลยขอแกล้ง-ลงโทษซะหน่อย การไปร่วมพิธีนั้น ผู้เขียนก็ลืมใส่กำไลทองเหลือง ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเอาไว้ป้องกันผี (เพราะเมื่อ 3 ปีก่อน ผู้เขียนก็ไปดูการซ้อมทำพิธีเซ่นเมือง ไม่ได้ใส่กำไลทองเหลือง แถมก่อนไป ดันไปชักดาบโบราณของเจ้าเมืองออกจากฝัก ก็เลย “ถูกผีเข้า” ....แต่ในเวลานั้น หลังจากผีออก ผู้เขียนไม่ป่วยและที่แน่ๆ ยังไม่ตาย อิอิ)

...ในวันเซ่นเมืองปีนี้ ผู้เขียนเข้าไปในตัวศาลเจ้า(เมือง) ในขณะที่หมอผีกำลังทำพิธีสวดเชิญดวงวิญญาณเจ้าเมือง ผีน้ำ ผีป่า และผีอื่นๆ มารับเครื่องเซ่น อยู่ในศาลนั้นคนเดียว พิธีนี้ ชาวบ้านไม่เข้าไปดูใกล้ๆ มีเฉพาะก็แต่เจ้าหน้าที่ของอำเภอ (ซึ่งวันนั้น ท่านเหล่านี้ถูกปู่ติ๋น ผู้อาวุโสของอำเภอและเป็นอาจารย์สอนภาษาไทขาวของผู้เขียนแนะนำว่า เป็น “เจ้าเมือง” และเป็น “กวาน” (ขุนนาง)) ที่ไปนั่งเฝ้าพิธีสวดข้างๆ ศาลเจ้าเมือง

ก็ไม่ได้เกิดทะลึ่งอะไรที่เข้าไปใน “ตัว” ศาลฯ ขณะหมอผีทำพิธีสวดหรอก แต่ปู่ติ๋นนั่นแหละบอกว่าให้เข้าไปถ่ายวีดีโอได้ อย่างนี้มีเหรอะ ที่ ethnographer อย่างเราจะไม่เข้าไป เมื่อเข้าไปข้างในจริงๆ หมอผีที่กำลังสวดอยู่ก็มองมา ทำหน้าเลิ่กลักๆ คงคิดในใจว่า “นังนี่ ทะลึ่งเข้ามาได้ไงวะ” ว่าแล้วก็ทำการสวดต่อไป พร้อมโบกพัด เป็นระยะๆ เหมือนซินแสจีนกำลังพูดจาภาษาผีกับผีอยู่ (ดังภาพ) 

กระซิบเบราๆ...เอาเข้าจริงๆ แล้ว เชื่อปู่ติ๋นเนี่ยเกือบทำเราเจ็บ/ป่วยมาแล้ว เพราะตอนฝึกอ่านภาษาไทขาวเมื่อ 3 ปีก่อน ปู่ก็ให้อ่านบทสวด เดือนนั้น เจอตะขาบต่างวัย ต่างไซด์ ใหญ่/น้อย ถึง 7 ครั้ง ในหมอนมั่ง ที่นอนมั่ง กองเสื้อผ้ามั่ง หรือนั่งอ่านหนังสืออยูใต้ถุนเรือนดีๆ ก็มีตะขาบตกมาใส่หนังสือ (เฉี่ยวอีกไม่กี่เซนต์ ก็ตกใส่หัวพอดี) ...เล่นเอาร้องว้าย...พร้อมอาการอกสั่นขวัญแขวน ประสาทจะกิน โดยเฉพาะเวลาจะนอน จะเปลี่ยนเสื้อผ้า อันนี้ยังไม่รวมความฝันแปลกๆ อีกหลายครั้งที่ชาวบ้านทำนายว่าผีจะมาเอาไปอยู่ด้วย จนต้องเลิกอ่านบทสวด แล้วฝึกอ่านนิยายเรื่อง “นางเจียวกวน” แทน ชาวบ้านบอกว่าไปสวดเรียกผีๆ เขาก็มา “หยอก” ...โอ้วมายก๊อดดดด)

จะว่าไปแล้ว มายโจว “ไม่ได้” ทำพิธีเซ่นเมืองมาเป็นเวลากว่า 60 ปีแล้ว ตั้งแต่เวียดนามเหนือเข้าสู่ยุคสังคมนิยมหลังจากชัยชนะกองทัพฝรั่งเศสที่ยุทธภูมิเดียนเบียนฟู เมื่อปี ค.ศ. 1954 รัฐบาลเวียดนามในเวลานั้น แม้จะมีนโยบายรักษาวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แต่ก็ให้กลุ่มชาติพันธุ์รักษาวัฒนธรรมของตัวเองได้เท่าที่ไม่ขัดกับอุดมการณ์และวิถีทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ปัญหาก็คือว่า ใครคือผู้ “ตีความ” ว่าวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ขัด หรือไม่ขัดกับอุดมการณ์และวิถีทางดังกล่าว

ขณะเดียวกัน รัฐชาติเวียดนามก็มีนโยบายชาตินิยม ที่ต้องการทำให้คนในชาติให้กลายเป็นเวียด หรือที่เรียกว่า Vietnamization นั่นคือการสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยการยกย่องวัฒนธรรมของคนกิง(เวียด) ว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดี พร้อมทั้งการเปลี่ยนวิถีชิวิตทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ ภายใต้แคมเปญ “เน๊ปสงเหม๋ย” (วิถีชีวิตใหม่) “วันฮว๋าเหม๋ย” (วัฒนธรรมใหม่)  ทั้งนี้เพื่อจะลบทิ้งความล้าหลัง ความเชื่อเรื่องผีและสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งของไทขาวที่มายโจวนี้ด้วย ภายใต้นโยบายนี้ มีเอกสารภาษาไทขาวหลายชิ้นถูกเผา ห้ามไม่ให้พวกเขาจัดพิธีกรรมเซ่นบ้าน เซ่นเมือง การจัดงานศพ และงานแต่ง ที่มีการเลี้ยงแขกเกินกว่า 2 วัน เป็นต้น

การควบคุมวิถีชีวิตดังกล่าวยังกระทำผ่านการศึกษาที่ทุกคนต้องเข้าโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาเวียด ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมเวียด ซึ่งก็ไม่ต่างกับประเทศอื่นๆ ในกระบวนการของการสร้างรัฐชาติ แต่กระนั้นก็ดี ในเขตปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐก็ยังให้เรียนภาษา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ตน เท่าที่ไม่ขัดกับอุดมการณ์สังคมนิยม (ซึ่งคนตีความว่าขัดหรือไม่ คือ จนท.รัฐ ไม่ใช่ชาวบ้าน) ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ผู้คนมีอัตลักษณ์ร่วมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้ชาตินิยมและการควบคุมในทางอุดมการณ์ หรือการรวมผู้คน (integration) เข้าเป็นหนึ่งเดียวในชาติ

เมื่อเวียดนามเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นระบบการตลาดเสรี เวียดนามถูกบังคับกลายๆ จากนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศให้ต้องเปิดกว้างในการควบคุมการปฏิบัติการทางศาสนา/ลัทธิ ความเชื่อ และพิธีกรรมที่เกียวข้อง มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ก็ยังมีการควบคุมอยู่ อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมาไม่ใช่แค่เฉพาะเปิดกว้าง แต่รัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการประกอบกิจกรรมทางศาสนา/ลัทธิตามความเชื่อในกลุ่มชาติพันธุ์ของตัวเอง ในทางปฏิบัติคือการให้ทางจังหวัดจัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมกิจกรรมดังกล่าว รวมทั้งงบฯ ในการบูรณะวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญทางศาสนาและลัทธิต่างๆ ก็เกิดขึ้นอย่าง

แต่จริงๆ แล้ว แม้ส่งเสริมให้ทำกิจกรรมตามความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ตน ไม่คุม ไม่ห้าม แบบ “เห็นจะจะ” อย่างในอดีตแล้ว รัฐชาติเวียดนามก็ยังคงมีการควบคุมทางอุดมการณ์ชาตินิยม ในกระบวนการ Vietnamization (การกลายไปเป็นเวียดนาม) แบบ “เนียนๆ” อยู่ นั่นก็คือว่า รัฐบาลส่งเสริมให้มีการบูชาบรรพบุรุษ วีรบุรุษชาวเวียด รวมทั้งการผนวกการบูชาวีรบุรุษเหล่านี้ไปในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา/ลัทธิของกลุ่มตน เพื่อการหา “รากร่วม” หรือ การ “กลับไปสู่จุดกำเนิด” บรรพบุรุษและวีรบุรุษที่ได้รับการส่งเสริม เช่น “วัวฮุ่ง” (ปฐมกษัริย์ของชนชาติเวียดรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) “โฮจิมิงห์” (ประธานาธิบดีคนแรก และวีรบุรุษกู้ชาติจากมหาอำนาจตะวันตก) “วัวหลีไท้โต๋” (ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หลี ผู้สถาปนากรุงทังลอง หรือฮานอยในปัจจุบัน) 

นั่นคือ รัฐบาลเวียดนามต้องการให้ลัทธิบูชาบรรพบุรุษเหล่านี้เป็น “ศาสนาประจำชาติ” และการทำให้การประกอบกิจกรรมทางศาสนามีมาตรฐานอันเดียวกัน อันเป็นการควบคุมพลเมืองผ่านอุดมการณ์ “การเป็นคนในชาติเวียดนามเหมือนกัน มีบรรพบุรุษร่วมและร่วมสร้างชาติมาด้วยกัน” (การบูชาโฮจิมิงห์ ถือเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของการร่วมรบ/ต่อสู้กับตะวันตก การสร้างรัฐชาติเวียดนามด้วยกันระหว่างคนกิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)

ทั้งปวงนี้ ก็เพื่อการสร้างอัตลักษณ์และศาสนาประจำชาติเวียดนามขึ้นมา (จากการไม่มีศาสนาในยุคสังคมนิยม) ควบคุมทาง “อุดมการณ์” ของพลเมืองในยุคโลกาภิวัตน์ของการหลากหลายทางวัฒนธรรม และเครือข่ายทางเศรษฐกิจ-สังคมของการข้ามพรมแดน

วงเล็บซะหน่อยก็ได้ว่า ผู้เขียนได้รับการกระซิบ (ประเภท “ไม่รัก ไม่บอกนะเนี่ย”) จากนักวิชาการด้านมานุษยวิทยาชื่อดังของเวียดนามว่า รัฐบาลเวียดนามกำลังใช้อุดมการณ์นี้ต่อสู้กับโลภาภิวัตน์ทางสังคม-วัฒนธรรม เช่น กับศาสนาคริสต์ ศาสนาของทางตะวันตก ซึ่งเป็นศาสนาที่ได้รับการเผยแพร่ในกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม เช่น ม้ง ในเครือข่ายทางศาสนา ทำให้ม้ง ในเวียดนามสามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองข้ามพรมแดนกับม้งในตะวันตกและทั่วโลกได้ คนที่ไม่ได้ถูก “กลืน” (disintegrate) ทั้งในทางอุดมการณ์ (ความภักดี) และปฏิบัติการ ต่อชาติเวียดนาม จะไม่ยึดโยง ฝังตรึงตัวเอง (disembedded และ unbounded) ไว้กับรัฐขาติ ทำให้รัฐควบคุมกิจกรรมของการข้ามพรมแดนของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ได้ยาก อีกทั้งการมีวิถีชีวิตที่ไป “ขึ้นอยู่” กับเครือข่ายนอกประเทศ ทำให้สูญรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคเดียวไปได้ง่าย

เมื่อไทขาวเมืองมายโจว ได้รับงบฯ จากทางจังหวัดให้ส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนา พวกเขาเป็นคนไทเพียงแค่ 3 จาก 20 กว่าเมืองในเวียดนามที่ “รื้อฟื้น” พิธีกรรม “เซ่นเมือง” อย่างกระตือรือร้น (จนท.อำเภอกว่าร้อยละ 70 เป็นคนไทขาว) ไม่ใช่เพราะเพื่อการแปลงวัฒนธรรมนี้เป็นสินค้าการท่องเที่ยว เพื่อหาจุดขายเพิ่ม (เนื่องจากมายโจวเป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเวียดนามอยู่แล้ว) เลยแม้แต่น้อย อย่างที่ผู้เขียนเข้าใจเมื่อ 3 ปีก่อน (ก่อนที่จะไปดูพิธีนี้จริงๆ 2 ครั้ง) พวกเขาไม่แคร์เรื่องการท่องเที่ยว แม้จะมีคนในและต่างอำเภอมาร่วมงานอย่างมัวดิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ มองง่ายๆ หาก ประชาสัมพันธ์ไปยังนักท่องเที่ยว รับรองดึงดูดมาได้เยอะ เศรษฐกิจก็จะเฟื่องฟู  โฮมสเตย์ และของก็จะขายได้มาก ชื่อเสียงมายโจวก็จะขจรไกล แต่ที่น่าแปลกคือ เขาไม่สนใจการรื้อฟื้นการเซ่นเมืองท่องเที่ยวเลย ทั้งๆ ที่โอกาสทางเศรษฐกิจก็จ่ออยู่ตรงปากประตูแท้ๆ

ทาง “เจ้าเมืองและกวาน” ของมายโจวเขากำลังคิดและทำอะไรอยู่หว่า...เขาทำตามรัฐบาลเวียดนาม ฟื้นพิธีกรรมเพื่อพิธีกรรม ที่ศาสนา(ลัทธิ) บูชาบรรพบุรุษของชาติ ถูกนำมา “เนียน” ไปด้วยหรือไม่ หรือชีวิตที่เสี่ยง/ตกเป็นเบี้ยล่างในตลาดเสรีโลกาภิวัตน์ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองโหยหาสิ่งพิธีกรรมศักดิ์สิทธิมาบรรเทาความทุกข์ หรือเขาตอบโต้ ต่อรอง กับเรื่องอื่น...เขาใช้การเซ่นเมืองเพื่ออะไรกันแน่

โปรดติดตามต่อใน ตอนที่ 2 : การเมืองของการเซ่นเมือง: ผี พิธีกรรม การต่อรองกับ Vietnamization ในกระบวนการ Thai-ization 

บล็อกของ เก๋ อัจฉริยา

เก๋ อัจฉริยา
เหมือนประเทศทั้งหลาย ตลาดเสรีโลกาภิวัตน์ของการแปลงที่ดินเป็นสินค้า กำลังดุเดือดเลือดพล่านอยู่ในเวียดนาม ในขณะนี้ เห็นได้จากตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีความตึงเครียดและการประท้วงของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่สูงตอนกลางของประเทศ การประท้วงการ privatization ที่ดิน และการสร้างเขื่อนเซินลา เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่าน
เก๋ อัจฉริยา
หลังจากกลับมาถึงเมืองไทยได้หนึ่งสัปดาห์ เสียงโทรศัพท์ทางไกลจากที่ราบกลางหุบเขา แห่งเมืองมายโจว ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ก็ดังกรี๊งกร๊าง ขึ้นมา “...อาโล้…ถุกเลิมอ่า...ขันบ่าวล้า” (ฮัลโหล...”ถุกเลิม” (ชื่อภาษาเวียดของผู้เขียน) เหรอ สบายดีมั้ย) แล้วตามมาด้วยเสียงแ
เก๋ อัจฉริยา
พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาการเมืองสู่ระบอบประชาธิปไตย การเปิดประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ การทะยอยสงบศึกกับชนกลุ่มน้อย การเปิดเสรีด้านแรงงานและเศรษฐกิจอาเซียน การลงทุนเมกาโปรเจคที่ท่าเรือน้ำลึกทวาย (ที่เขาว่าขนาดของอุตสาหกรรมน่าจะใหญ่กว่ามาบตาพุด 10 – 15 เท่า) การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และอื่นๆ แรงงานชาวพม่
เก๋ อัจฉริยา
ใครว่าสาวบริการทางเพศนั้นไม่มีสิทธิ “เลือก” ลูกค้า ทว่าเป็นแค่ “วัตถุ” ที่รอให้ผู้ชายมาหยิบไป “เสพสม” ใครว่าสาวไม่มีทางเลือกในการทำให้ตัวเองปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ลูกค้าเหนือกว่า ทั้งโดยความเป็น “ชาย” และความเป็น “ผู้ซื้อ”
เก๋ อัจฉริยา
กาลครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว ณ เมืองหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกที่มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่อยู่บนภาพตัวแทนของการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้มาก  เช่น ภาพอันวิจิตรอลังการของวัดวาอารามต่างๆ ที่มีถึง 37 แห่ง ภาพพระสงฆ์เดินเป็นแถวมารับบิณฑบาตรยาม
เก๋ อัจฉริยา
  วันหนึ่งในหน้าร้อน กลางปี 2556 ณ เมืองเซี่ยงไฮ้